องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 976 มงคลใหญ่
ตั้งแต่ข่าวป้อมเจี้ยฝานไจ้ถูกตีแตกมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ได้เรียกหวังทงเข้าเฝ้า หวังทงเข้าประชุมราชสำนักทุกวัน ทุกคนล้วนต่างออกความเห็นให้ส่งขุนนางไปเมืองเหลียวโจว จัดการป้องกัน และปลอบใจประชา หวังทงฐานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นอกจากรายงานข่าวแล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีคนสนใจเช่นกัน ทำเหมือนไม่มีหวังทงอยู่ด้วย
ตามหลักแล้ว หวังทงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เมืองเหลียวโจวต้องออกรบและพ่ายแพ้ หากไม่ใช่เขาบีบคั้นเมืองเหลียวโจว เมืองเหลียวโจวก็คงไม่ยกทัพออกปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว แน่นอนก็ย่อมไม่มีผลพ่ายแพ้เช่นนี้
แต่ทว่าไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด ถึงกับไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องในการประชุมราชสำนัก ฮ่องเต้ว่านลี่กับเถียนอี้เองก็ล้วนจัดการเรื่องราวไปตามกระบวนการ ถึงกับสนใจแต่เรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ราชสำนักเป็นเช่นนี้ บรรยากาศแปลกประหลาดยิ่ง
วันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกหวังทงเข้าเฝ้า ตั้งแต่เรื่องเกิดจนกระทั่งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เป็นเรื่องแปลกจริง
ทหารติดตามหวังทงรู้สึกเครียด มีคนเตรียมม้า มีคนเตรียมชุดขุนนางให้หวังทง อดีตผู้บัญชาการหลายคนก่อน ชอบแต่งตัวแบบขุนนางบุ๋น แต่หวังทงกลับแต่งชุดมัจฉาเวหาแบบขุนนางบู๊ ทำให้พอเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพร
จวนหวังทงพื้นที่ไม่กว้างนัก ดังนั้นล้วนขึ้นม้านอกประตูใหญ่ หวังทงก้าวออกประตู ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลัง ชินเสียแล้ว อดไม่ได้ขมวดคิ้วกล่าวว่า
“ไม่ใช่ว่าบอกให้เจ้ากลับไปหรือ? คุกเข่าอยู่นี่ทั้งวัน เจ้าเหนื่อยไหม!?”
ขุนนางบู๊ผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ทางด้านขวาของหน้าประตูจวนหวังทง กำลังคุกเข่าอยู่ก็ได้ยินเสียงหวังทงกล่าว จึงได้เงยหน้าขึ้น กล่าวน้ำเสียงสะอื้นว่า
“ท่านโหว สถานการณ์เมืองเหลียวโจวพังพินาศแล้ว นายท่านเราขอท่านโหวใจกว้างเมตตา ขอทางรอดให้ตระกูลหลี่ด้วย…”
สีหน้าหวังทงเย็นเยียบ มองสีหน้าเขาแล้ว หานกังโบกมือให้ทหารติดตามสองคนเดินเข้าไปจับตัวคนผู้นั้นไว้ คนผู้นั้นดิ้นรนขัดขืนตะโกนเสียงแหบว่า
“ท่านโหว นายท่านเราเคารพท่านโหวยิ่ง ขอท่านโหวเห็นแก่…”
ทหารติดตามไม่เกรงใจ จับมัดตัวอุดปากลากออกไปทันที หวังทงเดินลงจากแท่น ก่อนขึ้นม้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ปล่อยเขา เจ้ากลับไปเมืองเซวียนฝู่ส่งข่าวได้ ข้ารับรองตระกูลหลี่ไร้ปัญหา ให้จัดการเตรียมทหาร ถึงตอนนั้นต้องใช้งานกำลังเฮือกสุดท้ายพวกเจ้า!”
กล่าวจบก็โดดขึ้นม้า ทหารติดตามปล่อยตัวนายทหารผู้นั้น นายทหารผู้นั้นยืนอึ้งอยู่กับที่ รอทหารติดตามขึ้นม้าตามหวังทงออกไป เขาจึงได้สติล้มคุกเข่ากับพื้น โขกศีรษะดัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น โขกศีรษะไปร้องไห้ไปว่า
“ขอบคุณท่านโหวที่เมตตาๆ !!!”
เส้นทางไปเข้าประชุมของหวังทงเป็นเส้นทางประจำ และเขาไม่นั่งเกี้ยว คนเดินผ่านไปมาก็ย่อมเห็นทหารติดตามขี่ม้าวิ่งมาก่อน ก็รู้ว่าเป็นใต้เท้าหวังผ่านมา ตนเองก็ย่อมหลีกทางให้
ขี่ม้าไม่เร็วนัก หวังทงบนหลังม้าไม่สังเกตริมทาง กำลังคิดอะไรสักอย่าง วิ่งมาได้ระยะหนึ่ง ก็มีเสียงด้านหลังตะโกนดังว่า
“ท่านโหวระวัง!”
วาจาดังว่า ‘ท่านโหวระวัง’ ขณะที่คิด ก็ได้ยินอีกว่า ‘ขุนนางชั่วภัยแห่งแผ่นดิน!!’ ทหารติดตามโอบล้อมหวังทง มีคนคว้าโล่ขึ้นมากันล้อมรอบหวังทงไว้ มีคนชักดาบมุ่งไปทางเสียงที่ดังมา
ราษฎรบนท้องถนนเดิมทีก็กำลังหลีกทางให้ คิดไม่ถึงอยู่ทหารหวังทงจะชักดาบออกมา รีบพากันแตกตื่นหลบกันจ้าละหวั่น เมืองหลวงมีเรื่องเช่นนี้จนมีประสบการณ์แล้ว เข้าไปหาบ้านเรือนข้างๆ หลบภัยกันสักพัก รอให้เรื่องเงียบค่อยออกมา
มือหวังทงกระชับปืนไฟ เสียงตะโกนดังมาว่า ‘จับมือสังหารไว้!’ กำลังชุลมุนนั่นเองก็มีคนวงนอกชักดาบออกมา
ดาบยาวแคบ เห็นดาบก็รู้ว่าเป็นดาบซาตงหนิง ทหารหวังทงนอกจากอาวุธปกติแล้ว ยังให้พวกเขาพกอาวุธตามความถนัดตน ซาตงหนิงพกดาบประเทศวัวติดตัว ดาบประเทศวัวนี้ต้องแสงตะวันส่องประกาย ตัวดาบแทงทะลุ ‘หมั่นโถว’ ลูกหนึ่ง
“ท่านโหว มือสังหารนั่นปา ‘หมั่นโถว’ มา!”
ซาตงหนิงสีหน้าบอกไม่ถูก เขาอยู่นอกวงล้อมทหารติดตาม ข้างทางมีคนปาของมา เขาได้สติชักดาบไปกันไว้ คิดจะหนี ก็คิดไม่ถึงว่ามีดาบแทงทะลุหมั่นโถวลูกนั้น
‘มือสังหาร’ ถูกคุมตัวมาหน้าหวังทง ยังมีคนอีกสองสามคนที่ถูกนำตัวมาด้วยตัวสั่นเทางันงก ‘มือสังหาร’ นั่นแต่งกายแบบบัณฑิต อีกคนที่ตัวสั่นเทาก็เหมือนเป็นพวกเถ้าแก่เสี่ยวเอ้อร์ ยังไม่ทันได้ฟัง ‘มือสังหาร’ ชายแต่งกายแบบเถ้าแก่ก็สะอื้นฟ้องขึ้นก่อนว่า
“ท่านโหวไว้ชีวิตด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าน้อยเลย ผู้ใดไม่รู้ช่างบัดซบ คิดจะทำร้ายท่านโหว ไม่เกี่ยวกับร้านข้าน้อยเลย ล้วนเป็นพวกบัดซบ…”
ที่เหลือล้วนกล่าวเช่นนี้ มีคนดิ้นรนคิดลงมือ ภาพตรงหน้าเข้าใจง่ายมาก คนผู้นั้นอยู่ๆ คว้าของกินปาใส่ คนในร้านพลอยโดนไปด้วย หวังทงโบกมือให้ปล่อยคนในร้านไป ก้มหน้าถาม ‘มือสังหาร’ ขึ้นว่า
“เจ้าทำเช่นนี้ทำไมกัน!?”
“เจ้าขุนนางชั่ว หากไม่ใช่เจ้า สถานการณ์เมืองเหลียวโจวจะเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ราษฎรเมืองเหลียวโจวจะถูกพวกนอกด่านทำร้ายย่ำยีได้อย่างไร!!”
สำเนียงพูดบัณฑิตผู้นี้ หวังทงฟังออก คล้ายกับหลี่หรูซงมาก ก็คือสำเนียงแบบชาวเหลียวตง น่าจะเป็นบัณฑิตมาจากเมืองเหลียวโจว
บัณฑิตเห็นอะไรมามากกว่าราษฎร คิดว่าตนเองนั้นรู้มากกว่า สถานการณ์เมืองเหลียวโจวตอนนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับหวังทง แต่หากเป็นพวกเข้าใจวงการขุนนางอยู่บ้าง ก็จะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นผู้ใดเริ่มก่อน
เมื่อครู่คนที่พากันหลบไปก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา พวกที่ใจกล้าถึงกลับโผล่หน้าออกมาดู คิดจะฟังว่าบัณฑิตผู้นี้จะกล่าวอันใด บัณฑิตผู้นี้วาจาด่าทอรุนแรง ถานต้าหู่โมโหแล้ว กำลังจะก้าวเข้าไปลงดาบ หวังทงสั่งให้หยุด ให้ซาตงหนิงคว้าซาลาเปาออกจากปลายดาบ ส่ายหน้ากล่าวนิ่งๆ เรียบว่า
“นี่เป็นหมั่นโถวทำจากแป้งขาวชั้นดี หลายคนในเมืองนอกเมืองกินกันได้แต่ตอนเทศกาล เจ้าถึงกับเอามาปาเล่น ปล่อยเขา”
กล่าวจบ หวังทงก็โยนหมั่นโถวลงพื้น บัณฑิตนั่นเริ่มแรกก็โกรธแค้น แต่พอถูกทหารท่าทางน่ากลัวมาจับตัวไว้ ก็เริ่มหวาดกลัวอย่างมาก หากยังปากแข็งกล่าวออกมาเช่นนั้น ร่างกายล้วนสั่นเทา คิดไม่ถึงอยู่ๆ ปล่อยตัว หมั่นโถวถูกโยนกลับมา เขาได้สติรับไว้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอันใดต่อจากนี้
หวังทงไม่ได้สนใจเอาเรื่องเขาต่อ หากเดินทางต่อไป บัณฑิตนั่นได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่
ฉีอู่ที่ติดตามหวังทงรู้สึกงงในเรื่องนี้ เขาสามารถมองเห็นสีหน้าเรียบเฉยของหวังทง ราวกับไม่พอใจ เขาขี่ม้าเข้าไปใกล้ กล่าวว่า
“ท่านโหวไยต้องใส่ใจเจ้าพวกงี่เง่าพวกนั้นด้วย ก็แค่บัณฑิตไม่รู้ความ คิดอาศัยความเมตตาท่านโหวทำให้ตนเองมีชื่อเสียง”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“เขาพูดได้ถูกต้อง ราษฎรเมืองเหลียวโจวประสบภัย คนเริ่มต้นเรื่องเป็นข้าจริงๆ”
“ท่านโหวไยกล่าวเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงเป็นขุนพลมีชื่อ ถูกพวกนอกด่านตีพ่ายเช่นนี้ ก็ล้วนเป็นเพราะเขาไร้สามารถ เรื่องนี้เห็นๆ ว่าเปิดโอกาสให้สร้างความชอบใหญ่”
ฉีอู่กล่าวอย่างโกรธแค้น หวังทงยิ้มอย่างเสียไม่ได้ เงียบไปครู่หนึ่งก็เงยหน้ากล่าวว่า
“ความเจ็บปวดเล็กน้อยวันนี้ ก็เพื่อวันหน้าไม่ต้องเจ็บปวดอีก ที่ข้าทำนั้นไม่ผิด!”
กล่าวจบก็กระตุกบังเหียนม้า เร่งความเร็ว
*************
ขันทีหน้าประตูวังหลวงรอรับ พอเห็นหวังทงมาถึง ก็รีบนำทางไปยังห้องทรงอักษร
หวังทงเข้าไปในห้องทรงอักษร ด้านในจุดตะเกียงสว่าง เถียนอี้กับโจวอี้รอรับใช้อยู่ คนหนึ่งกำลังจัดเอกสาร อีกคนกำลังอนุมัติ หวังทงถวายบังคม ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้เงยพระพักตร์ขึ้น ละความสนพระทัยจากฎีกามา ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า
“ลุกขึ้นพูดได้ เมืองเหลียวโจววันหนึ่งรายงานด่วนสามเวลา ทุกวันล้วนมีป้อมทหารถูกโจมตี ล้วนมีทหารและชาวบ้านบาดเจ็บล้มตาย พริบตา สถานการณ์ก็เลวร้าย ตอนนั้นที่แพ้มา เจ้าบอกว่ายินดีกับเรา ตอนนี้เล่า เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
หวังทงขอบพระทัยลุกขึ้น ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่งถามเช่นนี้ ก็นิ่งไปพักหนึ่ง สังเกตเห็นว่าโจวอี้กับเถียนอี้สองคนมองมาทางตนเอง ไม่รู้เหตุใด ปฏิกิริยาแรกหวังทงไม่ใช่ว่าไม่รู้ควรตอบเช่นไร แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าในวังและนอกวังเหตุใดชื่อช่างบังเอิญ หรือว่าทั้งหมดล้วนแซ่จาง จางจิง จางเฉิง จางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวย เป็นต้น ตอนนี้ยังเป็นสองคนชื่อเหมือนกัน ‘อี้’ ก่อนจะปรับอารมณ์เป็นปกติ หวังทงกล่าวเป็นการเป็นงานว่า
“กระหม่อมยังคงยินดีกับฝ่าบาท เป็นเรื่องมงคลใหญ่ของฝ่าบาทพะยะค่ะ!”
“หวังทง!! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากล่าวเช่นนี้!! สถานการณ์เละเทะเช่นนี้ มีอันใดน่ายินดีกัน! พวกป่าเถื่อนนอกด่านกับเผ่าหนี่ว์เจินมีทหารเท่าไร เมืองเหลียวโจวตอนนี้สูญเสียหนัก ตอนนี้ต้องจัดการสถานการณ์แล้ว ไม่ใช่เวลามากล่าวยินดีอันใด!”
ฮ่องเต้ว่านลี่โยนฎีกาลงบนโต๊ะอย่างแรง ตวาดด้วยความกริ้วดัง ห้องทรงอักษรมีช่องประตูเปิดไว้ มีคนเลือกตาเข้ามาก่อนจะปิดลง
หวังทงไม่คุกเข่ารับผิด หากกลับยืดอกกล่าวเสียงดังก้องว่า
“ฝ่าบาท ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 มา แผ่นดินหมิงก็ออกสังหารพวกนอกด่าน เมืองจี้โจวก็อออกสังหาร กองกำลังหู่เวยก็ออกสังหาร ทหารชายแดนออกสังหารหมด รวมกำลังสังหารศัตรู ตอนนี้ถึงเวลาสังหารให้สิ้นแล้ว เป็นเวลาทำให้ยั่งยืนยงแล้ว จากนี้ไป ทางเหนือจะสงบไปอีกพันปี!”
ในห้องเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่มองหวังทง อยากทรงรู้จากสีหน้าหวังทงว่าคิดอะไร แต่ทว่ากลับเห็นเพียงความตามนั้น ถึงกับไม่มีความแตกตื่นตกใจใด หวังทงกำลังบรรยายเรื่องราว ไม่ใช่กำลังตื่นเต้นปัดภัย
“ฝ่าบาท เผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า มีคนนับแสน จุดจบเช่นไร ไม่ใช่ว่าต่อหน้ากองทัพเราก็สิ้นซากหรือ พวกป่าเถื่อนกับเผ่าหนี่ว์เจินจะกระไรนัก กระหม่อมขอนำกำลังออกไปเอง เพื่อฝ่าบาท เพื่อความสงบสุขแผ่นดินหมิง”
กล่าวจบ ในห้องทรงอักษรก็เงียบอีก เถียนอี้มองไปทางโจวอี้ โจวอี้กลับก้มหน้านิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่มองหวังทง สีพระพักตร์กริ้วไม่เห็นแล้ว หากมีความสับสนพระทัยยิ่ง เงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ลุกไปด้านหน้า ตรัสถามขึ้น
“หวังทง ครั้งนี้ทัพใหญ่ออกศึก เจ้าคิดเป็นแม่ทัพจริงหรือ? เจ้าคิดเข้าใจผลจากการนำทัพครั้งนี้ไหม?”
หวังทงไม่ลังเลอันใด ทูลว่า
“กระหม่อมขอเป็นแม่ทัพออกศึก!!”