องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 979 รู้บารมี ทหารเก่าร่วมทัพ
ครั้งนี้โครงสร้างทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออก หวังซีเจวี๋ยดำรงตำแหน่งสูงสุด หวังทงตำแหน่งรองลงมา เฉินจวี่เทียบเท่าหวังทง คนนอกมองมาแล้วรู้ว่าเป็นแผนสมดุลอำนาจของฮ่องเต้ที่มีต่อหวังทง ในกองทัพหวังทงทำอะไรย่อมต้องไม่สะดวกนัก ไม่อาจทำอะไรได้ดังใจ
ที่ว่าฮ่องเต้วันๆ อยู่แต่ในวังกินดีอยู่ดีก็คงเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ความเป็นจริงโลกภายนอก เอาแต่คิดเหลวไหลไปเรื่อยด้วยอาศัยความรู้บ้างไม่รู้บ้าง
จากเมืองหลวงไปด่านซานไห่กวน ตลอดทางหวังทงกับหวังซีเจวี๋ยก็ปรองดองกันดี เฉินจวี่จากสำนักส่วนพระองค์ก็เกรงใจกันดี ทุกคนรักษาท่าทีได้ดีผิดปกติ
เมื่อก่อนเฉินจวี่ทำงานอยู่หน่วยงานอื่นในวัง ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่หวังทงมาบ้าง แต่ทว่าไม่ลึกซึ้งนัก ครั้งนี้ได้มีโอกาสมาทำหน้าที่ขันทีคุมกำลังก็ไม่แปลก เพราะสำนักส่วนพระองค์ออกปฏิบัติหน้าที่นอกวัง ก็ล้วนเป็นการไปเฝ้าประจำเมือง เช่นหนานจิงหรือเฟิ่งหยาง หรือไม่ก็ขันทีคุมกำลังประจำเมืองชายแดน เรื่องนี้ไม่ต่างจากประจำเมืองชายแดน เป็นงานในหน้าที่
แต่ครั้งนี้ทัพใหญ่ออกศึก ตามหลักควรเป็นคนจากสำนักอาชาหลวง แต่กลับให้เขาจากสำนักส่วนพระองค์ไป ทำให้งงยิ่งนัก
ก่อนออกเดินทาง อย่างไรก็ต้องถูกหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้เรียกไปคุย กล่าวว่าการไปเมืองเหลียวโจวครั้งนี้ ก็เพื่อจับตาดูหวังทงให้ดี อย่าให้เขาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องได้ และต้องดูให้ละเอียด ดูว่าหวังทงคิดการไม่ซื่อหรือไม่ รู้ไหมทำไมส่งเจ้าไป? เพราะคนสำนักอาชาหลวงล้วนไม่กล้าต่อหน้าหวังทง ต้องให้หน่วยงานหลักในวังอย่างเราออกไปทำหน้าที่แทนจึงจะได้
กล่าวถึงตรงนี้ทำเฉินจวี่อึ้งไป ในใจก็แอบคิดว่า พวกเจ้าสามคนไยไม่ใช่เหมาะกว่าหรือ ไยต้องให้ข้าไปเสี่ยงซวยคนเดียว
เถียนอี้กล่าวเรื่องอื่นต่อ ว่าเจ้าจับตาดูก็พอ ให้มีใจภักดี อย่าได้ลืมคุณธรรม ก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ คนในวังเราออกไปทำงาน มักวางตนเหนือผู้อื่น อวดบารมี แต่ต่อหน้าหวังทง เจ้าอย่าได้คิดทำ อย่างไรก็ระวังหัวตนเองให้ดี
หัวหน้าสำนักกล่าวจบ ผู้ช่วยสำนักบูรพาโจวอี้ก็มาคุยด้วยต่อ วาจาโจวอี้อ่อนโยนกว่ามาก เมื่อก่อนเขาเคยอยู่สำนักอาชาหลวงมา จึงพอเข้าใจระบบงานอยู่ จึงได้เอ่ยเตือน จากนั้นก็กล่าวเรื่องอื่นต่อว่า สามารถได้ทำงานกับหวังทงได้ นับเป็นวาสนาเจ้า ต้องคว้าโอกาสให้ดี
เฉินจวี่อายุมากกว่าเถียนอี้และโจวอี้ ในวังอยู่มานานหลายปี แน่นอนเข้าใจว่าสองขันทีใหญ่อยู่คนละฝ่าย สองคนวาจาแสดงจุดยืนต่างกัน แต่จุดยืนต่างก็ส่วนจุดยืนต่าง วาจาความหมายชัดเจน ว่าอย่าล่วงเกินหวังทง แตะต้องหวังทงไม่ได้
ได้ข้อสรุปเช่นนี้ เฉินจวี่แน่นอนต้องระวังตัว ทัพใหญ่ออกเดินทางได้สองสามวัน เฉินจวี่ก็มองออก เขาครั้งนี้มาคุมกำลัง ก็เลือกคนจากในวังมาด้วยพันกว่านาย นี่เป็นธรรมเนียม กำลังในมือขันทีคุมกำลังหากไม่พอ เช่นนั้นผู้ใดจะฟังความ
พวกองครักษ์วังหลวงเดินบนถนนในเมืองหลวงอวดเบ่งยิ่ง ไม่ยอมลงให้ผู้ใด รู้สึกตนเองเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ ทะเลาะกับทหารเมืองหลวงประจำ บางครั้งออกไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขุนนางท้องที่ถูกรังแกไม่น้อย ครั้งนี้ทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออก ล้วนรวมกำลังทหารจากหลายหน่วย คิดไม่ถึงว่าพอมาถึง ทหารในวังล้วนสงบเสงี่ยมดี ไม่ว่ากับผู้ใดล้วนนอบน้อมเกรงใจ
เฉินจวี่อยู่ในวังมานาน ทหารองครักษ์ในวังในท่าทีเช่นไรเขาเข้าใจดี ย่อมไม่ใช่ท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ เขาเองก็งง ตามตัวผู้หนึ่งมาถาม ผู้นั้นตอบตามตรงว่า นี่เป็นกองกำลังติ้งเป่ยโหว
หากเหลวไหล คงไร้หัว จะว่าไป ครอบครัวล้วนอยู่เมืองหลวง หากล่วงเกินติ้งเป่ยโหวเข้า องครักษ์เสื้อแพรตามมาเอาเรื่องก็รับไม่ไหว และกลับเข้าวัง โจวกงกง เจ้ากงกงก็จะเอาเรื่องอีก อย่างไรก็คงโชคร้ายแน่
ทหารในวังที่แต่ไรมาวางตัวใหญ่โต ถึงกับหวาดกลัวหวังทงเช่นนี้ได้ เฉินจวี่จึงได้รู้ว่าหวังทงระดับใด ยิ่งเข้าใจมากขึ้น จัดการเรื่องราวใดก็ล้วนระวังตัวมากขึ้น
กองกำลังหู่เวยมุ่งไปรวมตัวกับทหารเมืองจี้โจวที่เมืองหย่งผิง พวกหวังทงจากเมืองหลวงมา ทหารมีแค่จากเมืองเซวียนฝู่และต้าถง และคนของหวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่
ไช่หนานครั้งนี้ก็ตามไปด้วย พอมาถึงก็เป็นผู้ช่วยขันทีคุมกำลัง สถานะเขาเห็นอยู่ ไช่หนานนอบน้อมเฉินจวี่ก็ส่วนนอบน้อม แต่เฉินจวี่ใช้งานเขาไม่ได้ ในกองทัพเรียกไช่หนานรองขันทีคุมกำลัง ความจริงนั้นไช่หนานมากองทัพ ก็กลายเป็นคนสนิทช่วยงานเบื้องหลังหวังทงทันที หากจะเรียกว่าที่ปรึกษาก็คงไม่เหมาะ แต่ทว่าคนทำงานเรื่องเอกสารเบื้องหลังก็คงได้ ไช่หนาน
วันที่ 23 เดือนสิบสอง ทัพใหญ่มารวมตัวกันที่เมืองหย่งผิง ที่นี่พักสามวัน รอทัพสองหน่วยจากเมืองกุยฮว่าเฉิงตามมาสมทบ จากนั้นทัพใหญ่ค่อยมุ่งหน้าไปยังเมืองเหลียวโจวต่อ
สถานะหวังทงไม่ต้องพูดถึง หวังซีเจวี๋ยเป็นรองอำมาตย์ เฉินจวี่เป็นขันทีสำนักส่วนพระองค์ ผู้ว่าเมืองหย่งผิงก็ย่อมต้อนรับอย่างระมัดระวัง ผู้บัญชาการเมืองจี้โจวลี่อวิ๋นไหลอย่างไรก็ต้องมาพบ มาพบกับบุตรชายตนที่เพิ่งได้เป็นหัวหน้าหน่วย และยังได้สานสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่อีก
ตามความคิดหวังซีเจวี๋ย สถานการณ์เมืองเหลียวโจวเช่นนี้ ก็ไม่ควรวางตัวรื่นเริงผ่อนคลาย งานเลี้ยงก็ควรงด แต่ทว่าหวังทงกลับรับคำ และยังเข้าร่วมงาน ทำให้หวังซีเจวี๋ยงงมาก หากเป็นคนอื่น หวังซีเจวี๋ยคงได้หนวดกระดิกนานแล้ว คงได้ชี้หน้าด่าไปแล้ว แต่เขารู้ว่าหวังทงรบไม่เคยแพ้ ไม่ใช่คนเหลวไหลขาดการระวังตัว จึงไม่อาจกล่าวอันใดได้ ได้แต่ตามไป
พอลี่อวิ๋นไหลมา หยางจิ้นรองแม่ทัพเมืองจี้โจวก็นำทัพมา สองหน่วยเมืองกุยฮว่าเฉิงก็มาถึง ที่ทำให้หวังทงคิดไม่ถึงก็คือ ถานเจียงถึงกับมาด้วย
เทียบกับครั้งก่อนที่หวังทงเห็น ถานเจียงดูอ่อนแอลงมาก และดูซูบซีดมาก ผมขาวไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ถานเจียงเรียกได้ว่าเป็นชายชราแท้จริงแล้ว
คนรอบข้างก็แล้วไป หวังทงกลับโมโหว่า
“สุขภาพเช่นนี้ ไปพักรักษาตัวที่เทียนจินให้ดี ไปพักที่เมืองกุยฮว่าเฉิงก็ได้ มาลำบากที่นี่ทำไมกัน ต้องดูแลสุขภาพตนเองให้ดี!!”
ถานเจียงกลับสีหน้านิ่งติดแววภูมิใจ แน่นอนภูมิใจที่บุตรชายสองคนตนได้เป็นรองหัวหน้าหน่วย นิ่งก็เพราะปล่อยวางได้ เขายิ้มกล่าวว่า
“นายท่านออกศึก ไปเมืองเหลียวโจวครั้งนี้ย่อมเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินหมิง ข้าน้อยแม้ไม่ได้ร่วมรบ ก็อยากไปเห็นด้วยตาก็พอใจแล้ว”
หวังทงไม่กล่าวอันใดให้มากความ ได้แต่ถอนหายใจ ให้ถานเจียงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ติดตามข้างกายตน ให้เป็นหัวหน้าของหัวหน้าทหารติดตาม แน่นอนงานหลักย่อมเป็นคนอื่นทำ ไม่จำเป็นต้องให้ถานเจียงมาทำ ถานเจียงเองอยากทำอะไรก็ทำไป
แต่ทว่าจัดการถานเจียงเสร็จ ถานเจียงอย่างไรก็ต้องพบกับถานต้าหู่และถานเอ้อร์หู่ พวกถานปิงก็ต้องพบ ก่อนเดินทางหนึ่งวัน กระโจมหวังทงรวมขุนพลทั้งหมด ไม่เพียงแต่หัวหน้าและรองหัวหน่วยกองกำลังหู่เวยสีหน้าตื่นเต้น แม้แต่พวกทหารต้าถงกับเมืองจี้โจวก็ตื่นเต้นยินดี ทุกคนอย่างไรก็ร่วมรบเคียงบ่ากันมาจากเมืองกุยฮว่าเฉิง และยังได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ การได้มารวมตัวกันครานี้ แน่นอนยินดีปรีดายิ่ง คนจากเมืองเซวียนฝู่กลับรู้สึกงง ในใจคิดจะสานสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้เช่นไร ตนเองเหมือนเป็นคนนอก
การหารือการรบครั้งนี้ ไม่ว่าจัดการลำดับเดินทัพ หรือว่าเวรเฝ้าระวัง และการรวมกำลัง ทุกคนล้วนเข้ารับคำสั่ง รับการจัดการอย่างดี
ความจริงนั้นเรื่องเช่นนี้ ตามธรรมเนียมเป็นหวังซีเจวี๋ยจัดการ แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยปล่อยวางได้ นั่งมองอยู่ข้างหวังทง ยิ้มอย่างเดียว ดูหวังทงจัดการ พอเขาเห็นหวังทงจัดการบางอย่างเหมือนไม่น่ารับได้ แต่คนรับคำสั่งเบื้องหน้าหลายคนก็รับคำสั่ง ถึงกับมีสีหน้าตกใจ หากเฉินจวี่กลับรู้จักนั่งนิ่งอยู่ทางขวาไม่ออกความเห็น
สองท่านนี้มายังกระโจมแม่ทัพเป็นเรื่องสมควร หวังทงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ที่เขาสนใจก็คือ ขุนพลทหารตระกูลถานสองนายสีหน้าล้วนไม่ดีนัก มีเพียงถานเจียงที่ดูปกติ ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่สีหน้าเศร้าสลดยิ่ง ท่าทางปิดๆ บังๆ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใด
แต่ทว่าพอออกไปกันแล้ว ถานเจี้ยนก็มาขอพบ เล่าสาเหตุ
“…พี่ใหญ่หลังกลับจากหม่านเท่าเอ๋อร์ สุขภาพก็ไม่ดี บางทียังแอบอาเจียนเป็นเลือด ครั้งนี้ผ่านต้าถง เชิญหมอมาดูอาการ บอกว่าเป็นเพราะสั่งสมความเหนื่อยล้ามาหลายปี ยังมีโรคเก่ากำเริบอีก เกรงว่าคงอีกไม่กี่เดือน….”
หวังทงได้ยินเช่นนี้ก็นั่งเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เขาเองรู้หรือไม่?”
“พี่ใหญ่เองน่าจะเดาได้ ดังนั้นจึงจะตามมาให้ได้ เขาช่วงนี้ก็ไม่ว่างพักเลย ข้าน้อยเองก็เตือน แต่ไม่ยอมฟัง”
หวังทงไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายได้แต่กล่าวว่า
“ทหารชราคิดอยากพลีชีพบนสนามรบ”
*****************
หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่เดิมคิดว่าเดินทัพลำบาก คิดไม่ถึงครั้งนี้ไม่ได้เดินผ่านชานเมือง หากเดินเส้นทางสบาย และยังมีเครื่องมือเดินทางพร้อม
เทียนจินเตรียมรถม้าใหญ่ให้หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่โดยเฉพาะสองคัน เดิมรถม้าระดับนี้เป็นของที่เตรียมเพื่อไช่หนาน ครั้งนี้ในเมื่อมีคนระดับนี้มา อย่างไรก็ต้องนำมาใช้
ในรถม้าอบอุ่นและยังตกแต่งหรูหราประณีต คนอยู่ด้านใน ก็สะดวกสบายมาก หน้าต่างในรถม้าใช้กระเบื้องฝัง ส่งแสงประกายสวยงามไม่เลว
หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่วันแรกที่ได้เห็น ถึงกับอุทานอย่างตกใจ ด้านในสบายและมีทุกอย่างพร้อม แม้ว่าอาหารจะธรรมดาแต่ก็เรียกได้ว่าพิถีพิถัน หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่เป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามาก รู้สึกเองได้ว่า ฝีมือการทำอาหารนี้ไม่ใช่อาหารทำหม้อใหญ่ๆ ในกองทัพ
การเดินทัพเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ใช่งานลำบาก หากกลับยังเหมือนออกเดินทางท่องเที่ยว แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยเองก็เข้าใจ อีกฝ่ายทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้พวกเขาอยู่ดีๆ เงียบๆ อย่าหาเรื่อง
หวังซีเจวี๋ยยังสังเกตได้อีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าตนเองและขันทีคุมเสบียงจะอยู่สบาย แต่หวังทงกลับอยู่เหมือนกับทหารปกติ ตอนกินข้าว หวังทงยังเดินดูทั่วค่าย กินเหมือนกับทหารทุกคน ใกล้ถึงด่านซานไห่กวน หวังซีเจวี๋ยก็พึมพำเองบนรถม้าทอดถอนใจว่า
“…ร่วมทุกข์ร่วมสุข นี่คือแม่ทัพตัวจริง…”