องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 986 ล่าสังหาร
ตั้งแต่หลี่เฉิงเหลียงนำทัพ ตระกูลหลี่ครองเมืองเหลียวโจวมานานสามสิบปี อิทธิพลอำนาจแน่นอนไม่เพียงแค่ทหารแสนกว่าที่เห็น ยังมีทหารส่วนตัวและคนงานรวมหมื่นกว่า สายสัมพันธ์ย่อมซับซ้อนหลายชั้น
“เรื่องนี้ข้ามีความมั่นใจ แม้ว่าพื้นที่พวกนอกด่าน ข้าก็มั่นใจว่าแพร่ข่าวไปถึง”
ได้ยินหลี่เฉิงเหลียงตอบ หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีข่าวหนึ่งต้องแพร่ออกไปให้เร็วที่สุด ให้พวกนอกด่านแต่ละทางได้รู้เร็วที่สุด…”
……
อวี๋เฟิงเป็นทหารกองกำลังไห่โจวหมู่บ้านกู่เฉิงถุน กล่าวเช่นนี้ไม่ตรงนัก เมืองเหลียวโจวไม่มีผู้ใดไม่เป็นครอบครัวทหาร พูดให้ตรงก็คือ ตระกูลอวี๋เฟิงเป็นตระกูลทหารทำไร่ทำนา ตระกูลพวกเขาผู้ชายล้วนไม่อาจไปเป็นทหารได้หมด ได้แต่เพาะปลูกยังชีพ ไม่ต่างอันใดกับชาวนาในด่าน
เมืองเหลียวโจวมีคนน้อยพื้นที่มาก ผลผลิตค่อนข้างดี ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้แรงงานทั้งหมดไปเพาะปลูก หากเจ้าไปเป็นทหารได้ ครอบครัวก็ได้เว้นภาษี หากเจ้าสามารถเป็นทหารสังกัดตระกูลหลี่ได้ ยังอาจถึงขั้นมีคนทำนาแทนเจ้า มีเงินเบี้ยหวัดให้เพิ่มอีกด้วย
แต่ทว่าชาวเมืองเหลียวโจวนับล้าน ชายฉกรรจ์นับแสนสามารถไปดำรงตำแหน่งขุนนางบู๊ได้ หากไม่ใช่ตกทอดมาจากต้นตระกูลย่อมไม่อาจทำได้ แม้ว่าจะเก่งกล้าโดดเด่นก็ตาม เช่นอวี๋เฟิงนับว่ายากจะได้รับเลือก
อวี๋เฟิงปีนี้ 21 เพื่อนที่โตมากับเขาสองคนตอนนี้คนหนึ่งไปเป็นทหารให้ซุนโส่วเหลียน อีกคนไปทำงานรับใช้หลี่หรูเหมย วันๆ ครอบครัวล้วนมีชีวิตไม่เลว เพื่อนสองคนนี้บางครั้งกลับมายังหมู่บ้านกู่เฉิงถุนเยี่ยมญาติ ล้วนมีหน้ามีตา ท่าทางมากบารมีไม่เบา
ผู้ชายชอบอาวุธ เห็นเพื่อนสองคนได้ดีเช่นนี้ อวี๋เฟิงอิจฉามาก และเรื่องอิจฉานี้ไม่ใช่แค่ปีสองปี ทำให้เขาไม่อยากทำนาลำบาก จึงออกไปยิงธนู ขี่ม้า ล่าสัตว์ยังชีพ
เมืองเหลียวโจวยังมีที่กว้างใหญ่ให้บุกเบิก ป่าเขามีไม่น้อย รอบๆ หมู่บ้านกู่เฉิงถุนก็มีเทือกเขา อวี๋เฟิงเรียนยิงธนูขี่ม้ากับทหารเก่าในหมู่บ้านกู่เฉิงถุนนับว่าลำบากมาก ได้ออกล่าสัตว์ เลี้ยงครอบครัวได้ไม่เลว อย่างน้อยทำให้ครอบครัวได้มีชีวิตที่ดีกว่า ‘ครอบครัวทหารเพาะปลูก’ คนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
อวี๋เฟิงไม่พอใจสถานการณ์ตรงหน้า ทหารติดตามเมืองเหลียวโจวแต่ละแห่งล้วนขาดหนึ่งเติมหนึ่ง ขุนพลทหารยังคงพอใจกับการรักษาสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่คิดขยาย เพราะมีเพื่อนวัยเด็กเปรียบเทียบ ตอนนี้ให้อวี๋เฟิงไปเป็นหทารหน้าใหม่ เขาย่อมรู้สึกยอมรับไม่ได้
เมืองเหลียวโจวพ่ายศึกนอกกำแพงเมือง ทำให้อวี๋เฟิงรู้สึกว่าโอกาสยิ่งริบหรี่ อวี๋เฟิงที่ความหวังหมดสิ้นก็เตรียมออกไปหาโอกาสบนทุ่งหญ้าดู เขาได้ยินทหารหมู่บ้านกู่เฉิงถุนบอกว่า บนทุ่งหญ้าพ่อค้าไม่น้อยรับสมัครผู้คุ้มกัน ผู้คุ้มกัน เหล่านี้อาศัยฝีมืออาวุธยังชีพ รายได้ดีมาก มีชีวิตที่สุขสบาย
กำลังคิดอยู่นี่เอง หวังทงยกทัพใหญ่ปราบตะวันออกมาถึงเมืองเหลียวโจว รับสมัครทหารม้า ‘ผู้กล้า’ หลายคนล้วนเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ข่าวของอวี๋เฟิงไวกว่าพวกคนเมืองเหลียวโจวรุ่นเก่า รู้เรื่องราวหวังทงไม่น้อย นี่ดูเหมือนเป็นประกาศรับสมัครที่เหลวไหล แต่ทำให้เขารู้สึกอยากไปลองดู อย่างน้อยก็มีโอกาสซ่อนอยู่
เขาเตรียมม้าและธนู และยังเอาหนังสัตว์ผืนงามสองชิ้นขายถูกๆ ให้กับนายกองร้อยในหมู่บ้าน แลกเป็นลูกธนูและเสบียง การกระทำนี้ไม่เพียงแต่คนในหมู่บ้านหัวเราะเยาะเขา แม้แต่บิดาและพี่น้องก็ยังด่าทอเขา
แต่เสียงหัวเราะเยาะนี้ หลังจากอวี๋เฟิงยิงสังหารโจรอันธพาลไปได้ 70 คน แลกเป็นเงินมา 14 ตำลึงเงิน ก็กลายเป็นคนมากความสามารถของหมู่บ้านทันที มีคนไม่น้อยอยากมาติดตามเขาทันที
พอมาถึงเหลียวหยาง อวี๋เฟิงก็มีคนติดตาม 8 คน ล้วนมีอาวุธและม้าของตนเอง เป็นชายฉกรรจ์อายุน้อยที่คิดจะเสี่ยงโชคหาทางร่ำรวยในเมืองเหลียวโจว
คนเหล่านี้ล้วนเรียกอวี๋เฟิงว่า ‘นายท่าน’ อวี๋เฟิงหวังอยากให้คนพวกนี้เรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ เพราะอวี๋เฟิงรู้ว่าในกองทัพเรียกนายกองธงเล็กเช่นนี้
ติดตามทัพใหญ่ปราบตะวันออกมา ที่อวี๋เฟิงคิดไม่ใช่แค่หาเงินทองให้เร็วเท่านั้น เขายังคิดอยากเข้าร่วมเป็นทหารใน กองกำลัง หวังทงสร้างความดีความชอบเหนือประมาณ อวี๋เฟิงคิดอยากมาเป็นทหารหวังทง
ความหวังเขานับวันยิ่งมาก หลังยิงสังหารไปได้หลายคน ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ผู้ไม่ใช่สายขุนนางบู๊แต่เกิด จำนวนที่อวี๋เฟิงสังหารได้นับว่ามากสุด ทหารม้าทัพใหญ่ปราบตะวันออกผู้หนึ่งถึงกับมาดูหน้าตาเขา คุยกับเขาสองสามคำ จากนั้นก็ให้เขาแสดงการต่อสู้บนหลังม้าให้ดู ยิงธนูสามดอก
พอได้เห็นแล้วก็ชมไปสองสามคำ ยังให้ลูกธนูและเครื่องขี่ม้าเพิ่มแก่เขา ยังให้ชุดเกราะครึ่งตัวและหมวกเกราะด้วย ชุดเกราะนี้ทำให้อวี๋เฟิงตื้นตันมาก ชุดเกราะในเมืองเหลียวโจวหากไม่ใช่สายตระกูลหลี่ก็ไม่อาจมี พวกชายหนุ่มที่ชมชอบการต่อสู้ก็ล้วนมองน้ำลายหก ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าจะอยู่กับทัพใหญ่ปราบตะวันออกให้ถึงที่สุด
หลังได้เสบียงจากเหลียวหยางพอแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทาง อวี๋เฟิงคิดสร้างเนื้อสร้างตัว คนอื่นๆ คิดล่าสังหารหัวพวกนอกด่าน เพื่อหาเงินทองกลับไปให้มาก ตอนนี้หัวหนึ่งได้ถึงห้าตำลึงเงิน คนระดับกลางมีชีวิตสบายๆ ปีหนึ่ง 12 ตำลึงเท่านั้น
ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ส่วนใหญ่ล้วนจากหลียวหยางไปยังที่ทำการทางตะวันตกของเสิ่นหยาง เพราะที่นั่นมีป้อมทหารกับหน่วยกองพันทหารหนาแน่น ค่อนข้างปลอดภัย แม้ว่าเสิ่นหยางถูกล้อมไว้ ป้อมใกล้แนวหน้าก็เริ่มถูกทิ้ง สถานการณ์ที่อื่นก็ไม่ดีนัก แต่การเคลื่อนไหวที่นั่นนับว่ายังหาที่พึ่งได้อยู่ เพราะยังมีหลายป้อม
แต่ทว่าสำหรับเหล่าทหารม้า ‘ผู้กล้า’ พวกเช่นอวี๋เฟิงหากคิดอยากเสี่ยงภัยสักครา ไปอยู่หน่วยทางการทางตะวันออกจะดีกว่า ที่นั่นมีแค่สองป้อม ที่หนึ่งร้างไปแล้ว ที่เหลือตกอยู่ใต้ครอบครองของทัพใหญ่ซูเอ่อร์ฮาฉีเผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจว ที่นั่นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพื้นที่ครอบครองพวกนอกด่านแล้ว
ที่นี่แม้ว่าเป็นที่ราบ แต่ทว่าหลายที่เป็นป่าเขาและบึงน้ำ ล้วนเป็นที่หลบซ่อนตัวได้ สายเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลต้องผ่านมา เป็นเส้นทางที่พวกเขาต้องเลือกเดินทาง
……
“ที่นี่มีศพทหารสุนัขหมิง ศพที่หกแล้ว”
ชายเผ่าหนี่ว์เจินรูปร่างสูงใหญ่เดินมาถึงใต้ต้นไม้ ด้านหลังมีเพื่อนทหารอีกสี่นายแต่งกายแบบชายเผ่าหนี่ว์เจิน เสื้อคลุมหนังพร้อมหมวกหนัง คนหนึ่งนั่งลงใต้ต้นไม้ ดูให้มั่นใจว่าเห็นศพ ท่อนขามีรอยแผลใหญ่เห็นได้ชัด หน้าขาวกลายเป็นดำ
ชายเผ่าหนี่ว์เจินเอื้อมมือไปกดศพ กล่าวว่า
“ยังไม่แข็ง น่าจะเสียเลือดมากก่อนตาย อีกสามคนที่เหลือน่าจะไม่ไปได้ไกล”
ด้านหลังมีคนเดินตามมา เอื้อมมีไปลูบศพไปมา ลุกขึ้นยกเท้าถีบไป ถ่มน้ำลายใส่กล่าวว่า
“ไม่มีอะไรสักอย่าง ม้ามันไม่รู้ยังอยู่ไหม”
“เจ้าพวกเด็กอมมือคิดจะสู้กับเรา ก็เหมือนนกกาคิดเทียบนกเหยี่ยวไห่ตงชิง น่าจะยังเหลืออีกสาม ลูกธนูข้ายา น่าจะไม่รอดนาน”
มีคนหนึ่งกล่าวสบถขึ้นท่าทางหยาบคาย คนแรกที่ก้มตัวลงไปดูศพ เห็นร่องรอยบนหิมะ เดินไปสองสามก้าวก็หันมากล่าวว่า
“พวกเขาทิ้งคนไว้ที่นี่ จากนั้นใช้ไม้กวาดรอยเท้าม้า…”
เสียงพูดไปพร้อมเสียงหัวเราะ คนที่เหลือก็ยกธนูขึ้นน้าว ยิ้มวิ่งตามไป กวาดร่องรอยหิมะมีประโยชน์อันใด ใช่ว่าเป็นการทิ้งร่องรอยให้ไล่ตามหรอกหรือ ดูท่าแล้ว ยังไม่ได้ใช้หางม้าลากท่อนไม้กวาดรอย เห็นชัดว่าเดินไปกวาดรอยไป คนย่อมไปไม่ไกล
ทหารเผ่าหนี่ว์เจินห้าคนนี้ล้วนเป็นนักล่ามือฉมังแห่งเจี้ยนโจว ครั้งนี้ส่งมาในพื้นที่เหลียวหนานกับเหลียวหยาง ผลปรากฏปะทะกับกลุ่มทหารม้า ‘ผู้กล้า’ เทียบกับพวกเผ่าหนี่ว์เจินที่ฝึกฝนตนในป่าลึกมานาน ทหารม้าเมืองเหลียวโจวไม่ใช่คู่ต่อสู้ กลุ่มหนึ่งมีถึงเก้าคน เห็นอยู่ว่าได้เปรียบ ผลปรากฏพอปะทะกันก็ถูกอีกฝ่ายไล่ยิงไปได้สองสามคน กลายเป็นผู้ล่าถูกผู้ถูกล่าไล่สังหารแทน
ชายเผ่าหนี่ว์เจินตามรอยเดินไปได้สองสามก้าว เพราะใช้กิ่งไม้กวาดรอย ดังนั้นพื้นหิมะจึงเป็นชั้น ที่อื่นๆ ไม่หนานแน่นเท่า เห็นชัดว่าแตกต่างกัน เดินตามไป ก็ตามทันอย่างรวดเร็ว พวกหมิงถึงกับใช้วิธีโง่เง่านี้มาปิดบังร่องรอย ช่างเหลวไหลสิ้นดี
เดิมทุกคนล้วนไม่สบายใจที่ข่านปรีชาอยู่ๆ เปิดศึกกับแผ่นดินหมิง แม้ว่ามีชัยชนะใหญ่แล้ว แต่ในใจก็ยังคงไม่มั่นใจ แต่วันนี้ที่ได้เห็น ทหารเผ่าหนี่ว์เจินล้วนรู้สึกว่าดีไม่ดีอาจก้าวไปอีกขั้น เมืองเหลียวโจวอาจกลายเป็นของตนเองก็ย่อมเป็นได้
ทุกครั้งในหน้าหนาว หิมะเมืองเหลียวโจวล้วนตกหนัก หิมะในพื้นที่เกาะตัวลื่นเป็นปกติ คนและม้าวิ่งได้ไม่เร็ว ทุกคนความจริงนั้นไม่ได้เดิน แต่เรียกว่าลุย
คนด้านหน้าสุดกวาดสายตามองไปด้านหน้า จากนั้นก็จับได้ร่องรอยหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไป แค่เวลาช่วงเสียงดังและเงียบลง อยู่ๆ พลันรู้สึกว่าหิมะอ่อนตัว มีบางอย่างขวางไว้ เพิ่งได้สติ ก็เห็นผิวหิมะด้านหน้ามีรอยเชือกโผล่ออกมา
‘ฉึก’ บนพื้นด้านหน้าสิบกว่าก้าวมีของบางอย่างโผล่ออกมา ของนี้ฝังอยู่ตื้นมาก แค่ใช้หิมะคลุมไว้ ยังมีแสงวาบ หากไม่ทันระวัง ก็ยากจะมองเห็น ทหารเผ่าหนี่ว์เจินลำพองเกินไป ติดตามไล่ล่าด้วยความชะล่าใจนึกสนุก
สายเผ่าหนี่ว์เจินส่งเสียงร้องเจ็บปวด หน้าหงายล้มลง ท้องน้อยถูกบางสิ่งแทงทะลุ กลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด คนด้านหลังรีบวิ่งตามมา
พลิกตัวดู คนบนพื้นสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“นี่มันธนูยิงหมี ตอนนี้ลำไส้ข้าหมดสิ้นแล้ว พวกเจ้าปลิดชีวิตข้าด้วย ค่อยไปตัดหัวสุนัขหมิงพวกนั้น…”
ลำไส้ขาด คนก็ย่อมไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ เพื่อนทหารเขาพากันด่าทอเสียงดัง หากก็ชักดาบออกมาตัดคอเขาทิ้ง
อยู่ๆ ต้องมาตาย ทำให้คนที่เหลือขาดสติ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหน้า ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง มีคนหนึ่งห่างจากพวกเขาไม่ถึง 20 ก้าว เมื่อครู่น่าจะหลบอยู่หลังต้นไม้ ธนูในมือน้าวเต็มที่ ชาวฮั่นผู้นี้มีคนยิงได้ดีสองคนเท่านั้น หนึ่งคนตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าฝีมือยิงธนูแย่อย่างไร ระยะแค่นี้อย่างไรไม่แม่นคงยาก ไม่มีเวลาตั้งสติแล้ว
ชาวฮั่นยิงธนูมาพร้อมส่งเสียงร้องดังเหมือนถูกยิงตาย แต่มือเขาไม่สั่น ยิงออกไปยังไม่ทันถึงหน้าอกชาวเผ่าหนี่ว์เจิน เขาก็ถูกธนูสองดอกยิงตายไปก่อนแล้ว
ไล่ล่ามาตลอดทาง เหมือนเล่นเกมส์แมวล่าหนู อยู่ๆ ตนเองตายไปสอง ทหารเผ่าหนี่ว์เจินล้วนโกรธแค้นอย่างมาก
ในตอนนั้นเองทางขวาพวกเขา ก็มีธนูหนึ่งยิงแหวกอากาศมา ชายเผ่าหนี่ว์เจินคนหนึ่งหันไปมองด้วยสัญชาตญาณ ธนูแทงทะลุลำคอ ตายไปอีกหนึ่ง