องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 987 สถานการณ์ดี
เดิมคิดว่าได้ล่าสังหารพวกหมิงให้สิ้นซาก คิดไม่ถึงสุดท้ายฝ่ายตนต้องมาสูญเสียไปถึงสามคน ที่เหลืออีกสองคนล้วนตกใจหวาดกลัวส่งเสียงร้องดัง คว้าธนูยิงไปยังทิศทางนั้นทันที
ระยะ 30 ก้าว สามารถยิงทะลุคอได้ ย่อมต้องเป็นชาวหมิงที่ฝีมือดีผู้นั้น สังหารเขาทิ้ง ที่เหลืออีกคนที่ถูกยิงก่อนก็ย่อมไม่อาจทนพิษบาดแผลไหว มีชีวิตต่อไม่นาน ไม่น่าเป็นห่วง
พื้นหิมะถูกย่ำเป็นรอย คนตรงหน้าวิ่งได้ไม่ไกล คนด้านหลังตามไม่ทัน แต่ไม่อาจทิ้งระยะห่างได้ ชาวหมิงสวมเกราะวิ่งเปะปะไปซ้ายขวา ท่ามกลางการบังของต้นไม้ในป่า คิดจะยิงโดนก็ยาก
ไล่ไปได้ 30 ก้าว ระยะเกือบเท่าที่ชาวหมิงเมื่อครู่ยิงมา รีบวิ่งตามเข้าไปติดๆ ด้านหลังต้นไม้หนึ่ง ก็มีคนพุ่งออกมา
คนผู้นี้เหมือนว่าหลบอยู่หลังต้นไม้ พอพุ่งออกมารวบขาไว้ได้คนหนึ่ง แรงปะทะไม่มากนัก เพียงแค่ทำให้ตัวเอียง ถูกเผ่าหนี่ว์เจินที่ถูกรวบไว้ด่าพร้อมจะฟันด้วยอาวุธ แต่แค่เงื้อ ก็ส่งเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวด
คนที่รวบขาเขาไว้ในมือมีมีดสั้น พยายามแทงเข้าใส่ด้านล่างชายเผ่าหนี่ว์เจินอย่างไม่คิดชีวิต ชายเผ่าหนี่ว์เจินส่งเสียงร้องดัง คว้าดาบฟันลงไป
พริบตา ชาวฮั่นตรงหน้าก็แน่นิ่งไป รอยธนูปักบนร่างกายเขาเห็นได้ชัด ฟันศัตรูตาย ชายเผ่าหนี่ว์เจินก็เจ็บปวดกลิ้งไปมาบนพื้น
เพื่อนทหารถูกลอบโจมตี อีกคนก็ไม่อาจตั้งสมาธิ พอเห็นท่อนล่างมีเลือดสาด ก็รู้ว่าไม่อาจสนใจอันใดได้แล้ว แต่การที่ขาดสมาธิ ชาวฮั่นตรงหน้าก็หันหน้ามา ยกธนูเล็งใส่ สายไปก้าวหนึ่ง คิดจะทำอันใดก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ชายเผ่าหนี่ว์เจินผู้นี้ทิ้งธนูในมือ คว้าดาบออกมาบุกเข้าใส่ ชาวฮั่นเหล่านี้ไม่เคยเห็นการสังหารซึ่งหน้าสักเท่าไร ระยะ 30 ก้าวนี้ ตนเองบุกเข้าไป อีกฝ่ายไม่แน่อาจตกใจลนลาน โอกาสก็มีแค่ยามนี้แล้ว
ตอนแรกที่ได้พบชาวเผ่าหนี่ว์เจินที่องอาจกล้าหาญ อวี๋เฟิงตกใจหวาดกลัวจริง แต่มาถึงตอนนี้ เพื่อนกันตายไปหลายคน ใจอวี๋เฟิงก็แกร่งกร้าวขึ้นมาก
เขายกธนูเล็งได้นิ่งมาก พอยิงออกไป ก็ยิงเข้าใส่หน้าอกคนตรงหน้าล้มลงทันที
อวี๋เฟิงโยนธนูทิ้ง ถอนหายใจยาว เขาชักดาบยาวตนเองออกมา ค่อยๆ ย่ำเท้าไปด้านหน้า เพื่อนตนถูกฆ่าตายไปแล้ว ชายเผ่าหนี่ว์เจินผู้นั้นยังคงกุมบาดแผลส่งเสียงร้องเจ็บปวด อวี๋เฟิงเดินไปด้านหน้า ยกดาบขึ้นฟันฉับลงไปทันที
ชายเผ่าหนี่ว์เจินเบื้องหน้าส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆ เงียบไป ดาบในมืออวี๋เฟิงยังคงฟันไม่หยุด ไม่รู้ว่าเมื่อใด น้ำตาอวี๋เฟิงไหลอาบแก้ม สีหน้านิ่งเป็นน้ำแข็ง เกราะเขาเต็มไปด้วยเลือดอุ่นสดๆ เปื้อนเลือดสดเป็นหย่อมๆ ตลอดทางที่ถูกไล่ล่ามา อวี๋เฟิงถูกยิงมาสี่ดอก หากไม่ใช่เพราะมีเกราะ เขาคงได้ตายไปนานแล้ว
……
เหลียวหยางห่างจากเสิ่นหยางไม่ไกล แต่ทัพใหญ่ค่อยๆ เดินทัพ เกือบสามวันจึงจะถึง ทัพใหญ่ออกเดินทัพได้หนึ่งวัน ก็ส่งทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ออกไป
คนที่ออกไปหลายคนยังไม่กลับมา ไม่เพียงแต่ผู้ติดตามทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ก็เช่นกัน แต่มีคนไม่น้อยกลับมา ส่วนใหญ่เดิมเป็นทหารเมืองเหลียวโจว ได้หัวกลับมารับรางวัล ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ที่โดดเด่ดมีถึงหนึ่งในสี่ส่วนกลับมา
อวี๋เฟิงกลับมาเร็วที่สุด หัวที่นำกลับมาก็มีจำนวนน้อยกว่าทหารในสังกัดขุนพลทหารไม่เท่าไร ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ เช่นนี้กลับถึงทัพใหญ่ กองกำลังหู่เวยรีบจ่ายเงิน และยังรับสมัครเขาร่วมทัพ ทหารม้ากองนี้เป็นกองแยกเดี่ยวเรียกว่า กองทหารม้าสายสืบ เบี้ยหวัดได้มากกว่าทหารม้าทั่วไป แต่งานที่พวกเขาต้องทำก็อันตรายที่สุดจริง มีหน้าที่สืบข่าว และซ่อนตัวจากสนามรบ
อวี๋เฟิงออกไปและกลับมาพร้อมห้าหัว ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองธงเล็กประจำกองทหารม้าสายสืบ หลังผ่านเหตุการณ์ถูกล่าและไล่ล่ากลับมา รอบเส้นทางหลวงเหลียวหยางกับเสิ่นหยางก็ไม่ค่อยมีพวกทหารนอกด่านปรากฏตัว พวกนอกด่านแต่ละสายได้ข่าวก็พากันคิดหนัก กองทหารม้าหวังทงไม่ได้ใช้งาน ทหารม้าอื่นไม่ต้องใช้งานเช่นกัน
ขุนพลทหารจากเมืองเหลียวโจวเดิมที่นายตนส่งมาช่วยการรบนี้ ไม่อยากร่วม หวังทงก็แล้วแต่พวกเขา รวมแล้ว 300 คนเข้าร่วมกองทหารม้าสายสืบ ทหารม้ากองกำลังหู่เวยเดิมก็ส่งคนรวมมาอีก 500 ทหารม้าเหล่านี้รับหน้าที่เป็นสายสืบระยะ 30 ลี้รอบทัพใหญ่ ค่อยสังหารทหารลาดตระเวนศัตรู
ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ 700 ที่ไม่อยากรวมกองทหารม้าสายสืบ รวมทหารม้ากองกำลังหู่เวย 500 ทหารติดตามหวังทงอีก 300 รวมแล้วก็มีทหารม้าทัพใหญ่พันห้าร้อยคน
ทุกหน่วยรวมกัน ทหารม้ากองกำลังหู่เวยก็มีอีกพันนายกว่า
คนในเมืองเหลียวหยางล้วนรู้ ตอนนี้ทัพที่ใช้เส้นทางหลวงเหลียวหยางไปเสิ่นหยางก็คือเจ็ดหน่วยกองกำลังหู่เวยประจำทัพใหญ่ และกองพลปืนใหญ่ กำลังทหารม้าตอนนี้มีจากเมืองเหลียวโจวตนเองสี่พัน เมืองจี้โจวสองพัน ต้าถงสองพัน เมืองเซวียนฝู่พันกว่า และกองกำลังหู่เวยพันกว่า มุ่งไปทางตะวันตกของเหลียวหยาง บรรดาป้อมรายทางเมืองเหลียวโจวกับทุ่งหญ้าเร่งเดินทางไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง
รวมกำลังออกเดินทางจากเหลียวหยาง ตามเส้นทางหลวงไปเสิ่นหยาง จากนั้นค่อยต่อไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง จึงเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด แต่ตอนนี้การเดินทัพจริงกลับไปตามเส้นทางแม่น้ำขึ้นเหนือไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง เท่ากับเส้นทางยาวขึ้นอีกหนึ่งในสี่ส่วน
แต่หากคิดจากเสบียงแล้วก็นับว่าเหมาะสม ทหารม้านับหมื่นต้องการเสบียงมาก ริมแม่น้ำก็มีป้อมและค่ายมากมายตั้งอยู่ สะสมไว้มาก ทัพทหารม้าทัพใหญ่ต้องการใช้เสบียงกับม้ามาก ที่เหลือหาได้จากรายทาง ความเร็วเพิ่มมากขึ้น
แต่ทว่าการเดินทัพกับเสบียงเป็นเรื่องเดียวกัน จุดหมายทัพใหญ่ก็คือชัยชนะ ทหารราบหมื่นนาย ทหารม้าพันนาย และพลกองปืนใหญ่กับคนงาน รวมแล้วไม่ถึงหมื่นหกร้อยคน แต่กองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลรอบเมืองเสิ่นหยางรวมกำลังกันสี่หมื่นได้
สำหรับทหารม้าจากเมืองต่างๆ ที่ไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่งมีทหารม้าหมื่นกว่านาย แต่เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับมองโกลทางนั้นรวมกำลังทหารม้ารอบนอกกองกำลังเถี่ยหลิ่งเกือบสามหมื่น
ยังคงมีสายสืบเข้าใกล้ทัพใหญ่ อย่างไรมีจำกัดแค่ทหารม้าพันนาย ไม่อาจครอบคลุมไปทุกพื้นที่ได้ ข่าวที่ได้เห็นท่ามกลางการพยายามปกปิดไว้ก็เริ่มเห็นมากขึ้น
ความจริงนั้นแต่ละแห่งในเมืองเหลียวโจว จากเหลียวตงไปเหลียวเป่ย พื้นที่ปกครองกองกำลังหมิงและพื้นที่พวกนอกด่านต่างก็ค่อยๆ รู้ข่าว
ทหารราบเมืองจี้โจวหมื่นกว่ารักษาการอยู่เมืองเหลียวโจว ทหารม้าทุกเมืองไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง หวังทงนำกำลังกองกำลังหู่เวยไปช่วยเสิ่นหยาง ยุทธวิธีนี้ผู้พอรู้การรบก็ล้วนคิดว่าเหลวไหล ศัตรูแบ่งเส้นทางบุก เจ้าก็แบ่งตาม ทุกเส้นทางเจ้ายังดูอ่อนกำลังกว่าศัตรู
ทางเหลียวหนาน รองแม่ทัพซุนโส่วเหลียนก็สู้เปลืองแรงมากแล้ว เสียเปรียบแล้ว ไม่มีทางมาช่วย และยังอาจต้องการให้หวังทงไปช่วยด้วยซ้ำ
สถานการณ์เมืองเหลียวโจวตอนนี้ไม่เหมือนกับพวกนอกด่าน เมืองเหลียวโจวตอนนี้สูญเสียกำลังหนัก หลังถูกเคลื่อนกำลังไปสี่พัน กำลังที่เหลือก็ได้แต่รักษาการ ไม่อาจไปช่วยเสริมได้อีก พวกนอกด่านกลับคล่องตัวกว่า ตอนนี้นู่เอ่อร์ฮาชื่อสามารถจากเฮ่อถูอาลาเข้าตีเมืองเหลียวโจวได้ เสริมกำลังตามใจที่ใดสักทาง พวกนอกด่านหลายทางก็ยังสามารถไปช่วยเหลือกันเองได้อีก กำลังสามารถรวมตัวกันได้ตลอดเวลานี้เป็นข้อได้เปรียบ
……
ทัพใหญ่ปราบตะวันออกมาเมืองเหลียวโจว ทุกคนล้วนรู้สึกสถานการณ์จะดีขึ้น ผู้ใดก็ไม่คิดว่า สถานการณ์ตอนนี้จะยิ่งเลวร้าย
หวังทงเห็นๆ ว่าเป็นขุนพลมากสามารถ รู้การทหาร ได้รับชัยชนะมาหลายครา คิดไม่ถึงเขาจะแบ่งทหารเป็นหลายทางอันเป็นเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้
หากกล่าวว่ามีแผนการลึกซึ้งใดก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่มีผู้ใดมองออก หากเหล่านี้ล้วนทำไม่ได้ แต่ป้องกันแน่นหนาได้ก็ยังดี ข่าวแพร่ทั่วไปในเหลียวตงเหลียวเป่ย ไม่มีผู้ใดไม่รู้ พวกนอกด่านรบชนะมาได้เช่นนี้ก็ย่อมไม่ใช่คนโง่ พวกเขาแน่นอนเข้าใจว่าควรรับมืออย่างไร
ที่ราบระหว่างเหลียวหยางกับเสิ่นหยาง พวกนอกด่านล้อมเมืองเสิ่นหยาง รู้ว่าในเมืองเสิ่นหยางไม่มีกำลังมากนัก พวกเขาเริ่มสะสมเสบียงที่นอกเมืองเสิ่นหยางได้เพียงพอแล้ว พื้นที่ก็ชำนาญแล้ว
หวังทงนำกองกำลังหู่เวยกับกำลังในเมืองเสิ่นหยางรวมกันก็ย่อมไม่อาจเทียบกับทัพใหญ่นอกด่านที่ล้อมอยู่นอกเมือง เพราะข้อได้เปรียบนี้ ดังนั้นทัพใหญ่พวกนอกด่านจึงยกไปตั้งทางใต้เมืองเสิ่นหยาง รอรบ
พวกนอกด่านส่งทหารม้าออกมาหลายกอง เตรียมตัดเส้นทางเสบียงกองกำลังหมิง กลับพบว่าเสบียงกองกำลังหู่เวยล้วนเป็นรถใหญ่ขนมาพร้อมกองกำลัง ไม่มีกองกำลังเสบียงตามหลังมา
แม้ว่ารถใหญ่ขนเสบียงได้มาก แต่ก็ใช้หมดในหนึ่งวัน สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ขาดเสบียงได้ตลอดเวลา ทำให้ทหารเริ่มวุ่นวายใจ
ล้วนรู้หวังทงเคยได้ชัยบนทุ่งหญ้าถู่ม่อเท่ออย่างยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ในมือเขามีทหารสามหมื่นกว่า มีทัพใหญ่เมืองจี้โจว ทหารเมืองจี้โจวมีชื่อเสียงบนทุ่งหญ้า แต่ครั้งนี้มีแค่ทหารราบหมื่นนาย ทหารม้าเมืองจี้โจวทิ้งไว้ที่เหลียวหยางหมด
สิ่งที่เรียกว่าเป็นหลักแห่งการพ่ายศึกนั้น ทัพหวังทงก็กระทำไปแล้วหลายข้อ สถานการณ์ตอนนี้มีแต่ทำให้ศัตรูได้ใจ ฝ่ายตนหมดหวัง
แต่มีเรื่องหนึ่งที่กองกำลังหมิงทำได้ไม่เลว ตลอดเส้นทางเดินทัพรักษาการณ์แน่นหนา พวกนอกด่านส่งทหารม้ามาคิดหาโอกาสโจมตีล้วนไม่ง่าย เข้ามาใกล้ยังอาจถูกธนูกับปืนไฟยิงเอาได้
ตลอดเส้นทางที่ได้สัมผัสมา ทำให้พวกมองโกลกับเผ่าหนี่ว์เจินโลกแคบได้เห็นบารมีกองกำลังหู่เวย รถใหญ่พวกนั้น ม้าลากสี่ตัว อาวุธในมือทหาร ชุดเกราะที่สวม ล้วนทำให้น้ำลายสอ หากกินรวบกองกำลังนี้ได้ ก็ย่อมทำให้กำลังตนเข้มแข็งขึ้นทันที ชนชั้นสูงบรรดาศักด์ระดับไถจี๋พวกนอกด่านต่างคิดเช่นนี้
นับวันยิ่งคนยิ่งมาก มารวมตัวกันที่รอบเมืองเสิ่นหยาง กองกำลังร่วมหลายฝ่ายของเผ่าหนี่ว์เจินและมองโกล สถานการณ์กำลังไปได้ดี