องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 991 ข้อเรียกร้องที่เกินขอบเขต
ถูกล้อมเมืองมานานหลายเดือน พ้นการปิดล้อมได้ในวันเดียว บรรยากาศตอนนี้ ศัตรูนอกเมืองที่เคยฮึกเหิมตอนนี้ถูกสังหารเกลี้ยง
ทหารรักษาเมืองเหลียวโจวบนกำแพงเห็นการต่อสู้ทั้งหมด ไม่ได้มีแผนแปลกพิสดารอันใด ไม่ได้เป็นทหารกล้าหาญอันใด การต่อสู้เรียกได้ว่าง่ายดายธรรมดายิ่ง
ทหารราบเดินหน้าบีบ ให้ทหารม้าเข้าปะทะ จากนั้นปืนไฟสังหารกวาดล้างยกใหญ่ ปืนใหญ่ถล่มตาม ทำทัพศัตรูแตกพ่าย จากนั้นทหารม้ากองใหญ่โอบล้อม ทำให้ศัตรูไม่อาจหนีรอด จากนั้นก็รุมสังหารสิ้นซาก
การต่อสู้น่าเบื่อเช่นนี้ แต่คนที่เป็นทหารมานานล้วนรู้ว่าหมายถึงสิ่งใด หกหน่วยกองกำลังตั้งทัพ พลทวนยาวเคลื่อนกำลังไปจนถึงเริ่มต่อสู้ ก็ยังคงอยู่ในความสงบมีวินัย บนกำแพงล้วนสามารถเห็นรูปทัพเหลี่ยมทั้งหกหน่วยได้ชัด พลปืนไฟยิ่งน่ากลัว ปืนไฟและปืนใหญ่เมืองเหลียวโจวมีแค่อานุภาพสังหาร หากเรื่องอื่นไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
ทุกคนล้วนไม่เชื่อมั่นในของเล่นพวกนี้ เห็นศัตรูบุกมาจะถึง มักจะยิงปืนในมือใส่ก่อนให้อุ่นใจ ยิงปืนหมด กระบอกปืนร้อน ศัตรูยังมาไม่ถึงตรงหน้า หากจะบอกว่าพลปืนขี้ขลาดก็ไม่ใช่ เพราะคนยิงปืนก็ชักดาบออกมาสู้ตายกับพวกนอกด่านเช่นกัน
ปืนพวกนี้ทำให้ทุกคนไม่อยากไว้ใจ พอยิงไปรอบหนึ่ง เติมดินปืนอะไรก็ยุ่งยาก ยังไม่แน่ว่าจะยิงได้หรือไม่ บางครั้งยิงออก แต่ศัตรูล้วนไม่บาดเจ็บ พริบตาก็เข้าประชิด ปืนก็เหมือนกระบองเหล็ก เสียเปรียบหนักมาก
แต่พอเห็นความสามารถกองกำลังหู่เวย พลปืนไฟพวกเขากล้าหาญเผชิญหน้าทหารม้าศัตรูนับหมื่นพันไม่เกรงกลัว จากนั้นก็ยิงในระยะใกล้เช่นนั้นอีก อานุภาพสังหารยิ่งมาก เหมือนว่าคนหนึ่งถือเคียวขนาดใหญ่กวาดเกี่ยวต้นข้าวสาลีไปทั้งแถบ ทุกครั้งที่กวาดไปย่อมทำให้ต้นข้าวสาลีล้มไปทั้งแถบ บนสนามรบนี้ ต้นข้าวสาลีก็คือบรรดาทหารม้า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปืนใหญ่ ปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยดูแล้วไม่ได้ใหญ่เทอะทะเหมือนปืนบนกำแพง แต่อัตราการยิงปืนใหญ่ถึงกับเร็วได้เพียงนั้น ยิงได้ไกลเพียงนั้นอีก สังหารศัตรูจำนวนมาก บนกำแพงมีคนพึมพำเบาๆ นี่ไปเชิญเทพองค์ใดลงมารบกัน จึงได้มีสายฟ้าฟาดกัมปนาทเช่นนี้ได้
รองแม่ทัพหม่าหลินกับหลี่หรูเจินในเมืองเมืองเหลียวโจวนับว่ายังสติดี รู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลานิ่งเฉย แต่ต้องรีบส่งคนออกไปรับศึก
ทหารรักษาเมืองออกไปนอกเมืองสังหารอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนย่อมเป็นการระบายที่ตนถูกล้อมไว้นาน ระบายความโกรธแค้น แต่ก็มีพวกหนึ่งที่เห็นกองกำลังหู่เวยออกศึกทำให้หวาดกลัว ต้องการสังหารเพื่อระบายความอัดอั้นในใจได้
ได้เห็นกองทัพเป็นเช่นนี้ ราษฎรในเมืองก็เห็นเช่นกัน สนามรบไม่กว้างมาก แต่หลังสังหารกวาดล้าง ต้องการพื้นที่เก็บกวาดกว้างมาก ศพกับอาวุธยังทิ้งระเนระนาดบนสนามรบ ล้วนต้องเก็บกวาด ในเมืองนอกเมืองต้องสร้างที่เก็บขนาดใหญ่ ตอนนี้รื้อถอนสิ่งกีดขวางไปมาก เกรงว่าทัพใหญ่เดินทัพเข้ามาไม่สะดวก
แต่ราษฎรในเมืองพอได้ยินเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อ ทุกคนล้วนคิดว่านอกเมืองจะต้องเกิดเรื่องแล้ว เช่นว่าไล่ทุกคนไปเป็นตัวล่อความสนใจพวกนอกด่าน จากนั้นก็ให้ทหารในเมืองหนีกันได้ หรือว่าคิดจับชายฉกรรจ์ไปกำบังปืนใหญ่ บุกอยู่ด้านหน้า ไปรนหาที่ตาย
รักษาเมืองมาหลายเดือน ทำให้แต่ละคนล้วนเคร่งเครียดมาก อยู่ๆ มีคนบอกว่าเมืองไม่ได้ถูกปิดล้อมแล้ว ให้ทุกคนออกไปเก็บกวาดสนามรบ ผู้ใดจะเชื่อ
ในเมืองเสิ่นหยางถึงกับมีเหตุวุ่นวายหลายแห่ง แต่ทว่าทหารเมืองเหลียวโจวแต่ไรก็ไม่ใช่พวกมีเมตตาอารีอันใด พวกก่อความวุ่นวายจึงถูกปราบอย่างเข้มงวด ชายในเมืองถูกไล่ออกไปนอกเมือง
พอเห็นนอกเมือง เห็นทุกอย่างบนสนามรบ นี่มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ มีคนร้องไห้ออกมาทันที คุกเข่าขอบคุณเทพยดาฟ้าดินอยู่ตรงนั้น
ในเมืองเกิดเหตุวุ่นวายทั้งที่ไม่น่าเกิดได้ หวังทงมาถึงที่ทำการของรองแม่ทัพหม่าหลินเมืองเหลียวโจว เรียกระดมทหารมารวมกันเปิดประชุม
โถงที่ทำการเก็บกวาดเรียบร้อย เดิมตรงกลางโถงมีโต๊ะตั้งหันหน้าไปทางเหนือ สองข้างมีเก้าอี้สองแถว หม่าหลินเป็นหัวหน้า จัดสถานที่เสร็จ ก็กลับลงไปนั่งทีนั่งด้านข้าง
การประชุมใหญ่นี้ หวังทงนั่งอยู่ตรงกลาง ขุนพลที่เหลือล้วนยืนตรงสองข้าง ขุนพลในห้อง นอกจากหัวหน้าหน่วยกองกำลังหู่เวยหลายคน คนที่เหลืออายุล้วนมากกว่าหวังทง ทุกคนล้วนรู้ว่าตามหลักควรเป็นเช่นนี้ ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ผู้ใดยังมีคุณสมบัตินั่งต่อหน้าหวังทงอีก
“ทุกท่านวันนี้ชัยชนะใหญ่เป็นเพราะทุกท่านร่วมแรงร่วมใจกัน ข้าได้เขียนฎีการายงานความชอบทุกท่านไปอย่างละเอียดแล้ว”
อะไรเรียกว่าร่วมแรงร่วมใจกัน พวกที่ร่วมต่อสู้ครั้งนี้ ถึงกับพวกที่ชื่นชมบนกำแพงก็ล้วนรู้ว่าชัยชนะครั้งนี้ ล้วนเป็นผลงานกองกำลังหู่เวยฝ่ายเดียว ทหารม้าที่มาล้อมสังหารทีหลังแค่ช่วยเหลือเท่านั้น
แต่ทว่าหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็หมายความว่าวันนี้ผลงานความดีความชอบเช่นนี้ ขุนพลทหารและทหารทุกหน่วยล้วนมีส่วนแบ่ง ผลประโยชน์มากมาย
ทุกคนสีหน้าล้วนดีใจ พากันคำนับพร้อมเพรียงกล่าวว่า
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ที่เมตตา”
หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“ทุกท่านโปรดวางใจ ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังกับขันทีเฉินประจำอยู่เหลียวหยาง เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ พวกเขาก็ล้วนเข้าใจกระจ่าง ผลงานแต่ละหน่วยพวกเขาสองคนล้วนรับรองผลงาน!”
ได้ยินเช่นนี้ แต่ละคนสีหน้ายิ่งทวีความยินดี ตอนนี้ระบบทัพใหญ่ปราบตะวันออก หวังทงแม้ว่าจัดการทุกอย่าง แต่การตัดสินความชอบ ก็ต้องให้หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่รับรอง มีวาจาหวังทงเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกมั่นใจขึ้น
หวังทงพิงพนักเก้าอี้กวาดตามองคนเบื้องหน้าทุกคนรอบหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“แต่ละหน่วยคัดเลือกทหารม้าเก่งกล้าพันนาย ออกนอกเมืองไปกวาดล้าง ทุกหน่วยแบ่งเส้นทาง ไล่ล่าสายศัตรูและทหารหนีทัพ ฟ้ามืดให้กลับเข้ามา”
ทหารม้าหวังทงกับทหารม้าในเมืองเสิ่นหยางยังพอมีแรง แต่พวกที่มาจากตามแม่น้ำเรียกว่ามาทางไกลโจมตี ตอนนี้ต้องการเวลาพัก แต่คำสั่งลงไป ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน ล้วนรับคำสั่งพร้อมเพรียง
“จัดการตรวจนับทรัพย์สินได้ชัยหลังสงครามละเอียดแล้วยัง? นำบัญชีเสบียงในเมืองมาให้หรือยัง?”
สองคำสั่งกล่าวจบ หม่าหลินก็ส่งสายตาให้ทหารติดตาม ทหารติดตามรีบนำบัญชีส่งให้ หม่าหลินส่งให้หวังทงด้วยสองมือ
ทหารเมืองเหลียวโจวยามนี้สบตากัน ก่อนจะก้มหน้าลง หวังทงช่างไร้เหตุผล ของที่ได้จากสงครามมากมาย เขากินรวบไปคนเดียว แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำอันใดไม่ได้ ผู้ใดให้หวังทงรบเก่งจริงเล่า สามารถกินรวบได้มากเพียงนี้ก็เพราะเขามีความสามารถและเก่งกล้าจริง
“ให้เสิ่นหยางส่งคนงานมาห้าพัน เสบียงพวกเขาให้ใช้เสบียงในเมืองเสิ่นหยาง ม้าวัวนอกเมืองที่ได้กวาดต้อนมาก็ให้เลือกตัวแข็งแรงออกมา…”
หวังทงจัดการเช่นนี้ทำให้ขุนพลทหารในที่นั้นพากันงง กองกำลังหู่เวยเองมีรถใหญ่กับหน่วยกองบริการ ยังจะเอาคนงานและม้าวัวไปทำไมกัน หลายคนคิดว่าตนเองรู้สาเหตุแล้ว หรือว่าจากนี้จะให้ทหารม้าหมื่นนายนี้เดินทัพไปพร้อมกองกำลังหู่เวย
จัดการได้ครึ่งเดียว ด้านนอกก็มีทหารหวังทงรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถง มากระซิบหวังทงสองสามคำ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ตอนนี้ไปจัดการตามนี้ก่อน ให้ราษฎรในเมืองจัดเตรียมเสบียงแห้งสำหรับทหารสองหมื่นหกวัน จะใช้พรุ่งนี้”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
คำสั่งเหล่านี้ล้วนสั่งการขุนพลทหารในพื้นที่ ไม่ว่ารวบรวมกำลังแรงงานชาวบ้านหรือเตรียมเสบียงแห้งจำนวนมาก ล้วนต้องให้ชาวเมืองเสิ่นหยางร่วมแรงกันทำ ดังนั้นย่อมเป็นหม่าหลินออกมารับคำสั่ง
อย่างไรก็เป็นชัยชนะใหญ่ แม้หวังทงวางตัวเป็นใหญ่ คนเบื้องหน้าก็ยังไม่รู้สึกอะไร รับคำสั่งแต่โดยดี หม่าหลินกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ เสบียงสำหรับคนสองหมื่นในหกวัน มันมากเกินไปสักหน่อยไหม ต้องใช้แรงงานไม่น้อย พรุ่งนี้ต้องใช้ ก็เร่งด่วนไปสักหน่อย ทัพใหญ่ได้ชัยชนะใหญ่เข้าเมืองมาเหน็ดเหนื่อย หรือว่าพักสักสองวันค่อยออกเดินทาง จะได้สบายๆ กันสักหน่อย”
“ไม่อาจยืดเยื้อ แรงราษฎรไม่พอก็ใช้ทหาร เสบียงในมือราษฎรไม่พอ ก็ให้เอาจากโกดังที่สะสมไว้ กลางวันทำไม่ทัน ก็ทำกลางคืนด้วย”
วาจาหวังทงราบเรียบ แต่ไม่เว้นช่องให้คนเบื้องหน้าได้กล่าวอันใดต่อ หม่าหลินสีหน้าแปรเปลี่ยน หากยังคำนับรับคำ ตอนนี้ไม่อาจต่อต้านและไม่อาจมีจุดยืนใด
“ทหารแต่ละหน่วยให้ทำตามระเบียบงานเดิม ไม่ให้เปลี่ยนแปลงใด หม่าซานเปียว หลี่หรูป๋อ หม่าหย่ง หลี่ซานสือ พวกเจ้านำทหารม้าขึ้นเหนือต่อ ครั้งนี้ไม่ต้องเร็ว ขอแค่รักษากำลังให้ดี จากเมืองเสิ่นหยางขึ้นเหนือไปกองกำลังเถี่ยหลิ่ง ระหว่างทางมีสองค่ายทหาร สามหน่วยกองพันทหาร น่าจะประสบภัยไปแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ กวาดล้างพื้นที่สำคัญที่ละแห่ง ยึดได้หนึ่งตั้งมั่นหนึ่ง หากมีอันใดผิดปกติ สามารถถอนกำลังกลับเมืองเสิ่นหยาง พวกเจ้าเข้าใจไหม?”
คำสั่งนี้เทียบกับเมื่อครู่ผ่อนปรนกว่าทางหม่าหลินมาก หลักๆ ก็คือทัพทหารม้าขึ้นเหนือ ยึดได้ยึด ยึดไม่ไหวก็ถอยกลับมา
ทุกคนงงก็ส่วนงง แต่ก็คำนับรับคำสั่ง หวังทงสั่งอีกว่า
“หม่าหลิน หลี่หรูเจิน หนึ่งเร่งสะลมเสบียงกำลังพล สองรักษาเมืองเสิ่นหยาง กองกำลังฝู่ซุ่นทางตะวันออกเมืองเสิ่นหยางเสียไป ไม่ต้องเร่งไปช่วย รักษาเมืองเสิ่นหยางให้ปลอดภัยไว้ก็พอ”
อย่างไรก็เฝ้าป้องกันมานานเพียงนี้ เฝ้าต่อไปอีกระยะก็ควรอยู่ แผนนี้ไม่เคร่งเครียด หลี่หรูเจินคำนับรับคำสั่ง หม่าหลินลังเลสงสัยครู่หนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า
“แม่ทัพใหญ่ ตอนนี้สถานการณ์ดีเช่นนี้ ควรนำกำลังทุกหน่วย ออกตีคืนจึงจะ…”
ความหมายของหม่าหลิน ทุกคนล้วนเข้าใจ สถานการณ์กำลังดี กำลังเป็นเวลาเร่งสร้างความดีความชอบ แต่หวังทงกลับสั่งการให้ทุกคนรักษาหน้าที่เดิม ไม่ให้เคลื่อนไหวใด ก่อนหน้าที่ทุลักทุเลก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยวรับความดีความชอบอำนาจวาสนา เหตุใดจึงไม่ให้ทุกคนเคลื่อนไหว
“หากข้าไม่เห็นแก่พี่ชายเจ้า เลี้ยงรับรองข้าที่เมืองเซวียนฝู่ ตอนนี้ข้าจะตัดหัวเจ้าทิ้งตามวินัย ข้าออกคำสั่ง เจ้าไหนเลยมีหน้ามีกล่าวอันใด ถอยออกไป!”
หวังทงตำหนิเสียงเย็น หม่าหลินสีหน้าแตกตื่นแดงก่ำ ไม่กล้ากล่าวต่อ รีบถอยออกไปกลับเข้ายืนที่เดิม หวังทงแต่ไรมาก็กล่าววาจานุ่มนวล อยู่ๆ เฉียบขาด ทุกคนล้วนอึ้งไป หวังทงกวาดตามองรอบหนึ่ง กล่าวว่า
“รองแม่ทัพซุนที่เหลียวหนานกำลังสู้กับพวกนอกด่านเคร่งเครียดที่ป้อมกูซาน พรุ่งนี้ข้าจะไปช่วย!”