องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 994 รบไม่รบๆ
รบเป็นรบตายมาถึงวันนี้ ซุนโส่วเหลียนเดิมทีเตรียมพร้อมเผชิญกับความเลวร้ายที่สุดไว้แล้ว แต่พอบุตรชายตนมาถึง ซุนโส่วเหลียนได้แต่ปรับแผน เตรียมสู้ตายกับทหารติดตามตน เพื่อให้บุตรชายตนได้หนีออกไป ถึงตอนนั้นหวังทงย่อมเห็นแก่ความเสียสละนี้ ส่งเสริมบุตรชายเขา
ตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็นอนไม่หลับทั้งคืน พลิกไปพลิกมา คิดถึงบุตรภรรยา คิดถึงทรัพย์สมบัติ ไม่อาจปล่อยว่างได้จริงๆ
คนสนิทของซุนโส่วเหลียนล้วนรู้หลังพรุ่งนี้ก็จะสู้ตายแล้ว ทุกคนจะได้กลับเมืองหวงเฟิ่งเฉิงหรือไม่ก็ไม่รู้ได้ สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนนอนไม่หลับ
คิดไม่ถึงเลยว่า งัวเงียหลับไปในกลางดึกสงัด เช้ามาก็พบภาพเช่นนี้ ทัพใหญ่พวกนอกด่านรอบป้อมกูซานเป่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แน่นอน ใช่ว่าหายไปไร้ร่องรอย เพราะค่ายพักเผ่าหนี่ว์เจินยังคงอยู่ ยุทโธปกรณ์หนักก็ยังคงอยู่ ทหารเวรดึกบอกว่าเที่ยงคืนก็ได้ยินเผ่าหนี่ว์เจินเคลื่อนไหว ยังคิดว่าจะโจมตีกลางดึก แต่เสียงไกลออกไปเรื่อยๆ ได้แต่แปลกใจ ไม่กล้าทำอะไรพลการ
พวกเผ่าหนี่ว์เจินตะวันออกถอยไประยะวางใจแล้ว ก็ไม่ได้ไปทำให้พวกซุนโส่วเหลียนต้องตกใจ
ซุนโส่วเหลียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขานับว่าหนีรอดจากขอบความตายกลับมาได้แล้ว ข่าวที่ซุนเผิงจวี่นำมาทำให้เขาไม่อาจไม่คิดให้หนัก
ซุนเผิงจวี่เร่งม้าเร็วมานั้น กองกำลังหู่เวยหวังทงออกเดินทางแล้ว ตนเองไม่ได้รั้งพวกนอกด่านตะวันออกนี้ไว้ ไม่ตรงตามคำสั่งหวังทง
คิดไปคิดมา ซุนโส่วเหลียนออกคำสั่งให้ทหารส่วนใหญ่ที่ป้อมกูซานเป่าเสริมแนวป้องกันทางการทหาร รักษาไว้ด้วยชีวิต ตนเองนำทหารทหารติดตามสองพัน ไล่ล่าพวกนอกด่าน
กว่าจะทำให้พวกนอกด่านถอยไปได้ ทุกคนคิดว่ารอดแล้ว ไยต้องไล่ล่าไปรนหาที่ด้วย ทหารติดตามกล่าวว่าคนเดิมก็น้อยแล้ว ไล่ล่าไป ใช่ว่าไปเป็นอาหารให้พวกนอกด่านหรือ?
“ก่อนหน้าเพื่อทางรอด ตอนนี้เพื่ออำนาจวาสนา ต่างกันมาก”
ซุนโส่วเหลียนตอบอย่างคิดเข้าใจแล้ว
……
ในระหว่างเร่งเดินทัพ หวังทงนอนน้อยมาก ทุกค่ายหลังจากได้กินอาหารแห้งที่ใช้น้ำร้อนชงแล้วก็พากันนอน ก่อนนอนหวังทงให้ทุกค่ายได้ตรวจสอบ ดูว่าทหารมีเท้าพองหรือไม่ นี่เป็นเรื่องใหญ่หนึ่งของการเดินทางไกล
พอทหารหลับหมด หวังทงยังอยู่ร่วมกับทหารยามรอการมาของกองเสบียง พอกองเสบียงมาถึง หวังทงก็จะคำนวณม้าวัวที่ตายไป จากนั้นก็ให้คนงานนำเสบียงแห้งที่เตรียมไว้ออกมา จากนั้นค่อยไปนอนก
คนเป็นสัตว์ที่ทนลำบากได้มากที่สุด วัวม้าขนเสบียงไม่หยุดล้มตายไป แต่ทหารและคนงานได้กินอิ่ม ได้พักผ่อน ย่อมยืนหยัดต่อไปได้
กองกำลังหู่เวยข้ามสบแม่น้ำไท่จื่อเหอกับแม่น้ำสาขามาแล้ว ที่ปากป่าสนเดินเลียบไปตามแม่น้ำสาขาลงใต้
จากป้อมกูซานเป่าถึงปากป่าสนมีแม่น้ำสายเดียวที่หล่อเลี้ยงทัพใหญ่ หวังทงนำทัพมาถึง ตลอดทางได้เห็นทหารเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลมาลอบสังเกตการณ์ เห็นร่องรอยทัพใหญ่
ทหารหลายพันนับหมื่นไม่อาจไปมาไร้ร่องรอย ตอนกองกำลังหู่เวยเลี้ยวเข้าสู่แม่น้ำไท่จื่อเหอ ก็เห็นได้เรื่องหนึ่ง กองกำลังซูเอ่อร์ฮาฉีเผ่าหนี่ว์เจินมาขวางหน้าแล้ว
ในยามเร่งด่วน หวังทงสามารถสั่งการทหารม้าได้จำกัด มีแต่ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ หลายร้อยที่นำอยู่แถวหน้าทัพใหญ่คอยหาข่าวเท่านั้น คนมีจำกัด พอข่าวแน่นอนแล้ว ก็มีกำลังจำกัด แต่ทว่ายังคงวิเคราะห์ได้ว่า ซูเอ่อร์ฮาฉีถูกกักไว้ตรงกลางแล้ว
……
หนึ่งขึ้นเหนือ หนึ่งลงใต้ ใช้เส้นทางแม่น้ำสาขาไท่จื่อเหอ ย่อมมาพบกัน
ทหารม้าในมือหวังทงน้อย ซูเอ่อร์ฮาฉีกลับมีทหารม้าไม่น้อย ชัยชนะใหญ่ เมืองเสิ่นหยาง ข่าวปิดไม่มิด ซูเอ่อร์ฮาฉีเองก็รู้ผลการรบ หรือว่าเป็นเหตุให้ซูเอ่อร์ฮาฉีได้ข่าวแล้วยกทัพถอยตลอดคืน
กองกำลังสี่หมื่นถูกทำลายราบในวันเดียว ทหารซูเอ่อร์ฮาฉีนับหมื่น ล้วนเป็นกำลังกองเจี้ยนโจว เทียบกับเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก
ที่แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซาน เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวเป็นหน่วยปกครอง เป็นกำลังที่นู่เอ่อร์ฮาชื่อรวมรวมขึ้นมา เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีเป็นเพียงชื่อสถานที่ แสดงถึงการรวมกันหลายชนเผ่า ไม่ใช่องค์รวมเดียวกัน
ตามรายงานข่าวเมืองเสิ่นหยาง กองกำลังปืนใหญ่หมิงจากในด่านมาช่วยนั้นร้ายกาจมาก ทันทีที่ยิงถล่ม ก็ราวกับพสุธากัมปนาท ใครขวางย่อมย่อยยับ
ซูเอ่อร์ฮาฉีมีทหารม้าในมือหลายพัน เป็นทหารม้าชาวเผ่าหนี่ว์เจินเอง ยังมีทหารม้ามองโกลที่เป็นมิตรกับเผ่าหนี่ว์เจิน คนเหล่านี้ล้วนคุ้นเคยกับพื้นที่นอกด่านมาก ยามถอยทัพ ซูเอ่อร์ฮาฉีเองก็ระวังกองทัพของหวังทงเช่นกัน
สายเผ่าหนี่ว์เจินปล่อยออกไปรอบๆ กินพื้นที่กว้าง สืบข่าวมาจนเข้าใจ
กองกำลังหู่เวยมาตามแม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอได้สองวัน ก็เริ่มเห็นทหารม้าศัตรูผ่านพวกเขาไป ไม่ก็ปะทะระยะไกล
จำนวนทหารม้า ‘ผู้กล้า’ น้อยไป และยังใช้งานเพื่อการสืบเส้นทางและหาที่ตั้งค่ายพัก ใช้กับการสังหารสายสืบทหารม้าศัตรูไม่ได้ การปิดบังเรื่องการศึกไม่อาจทำได้ หวังทงจึงเลิกสนใจ ให้พลปืนไฟล้อมอยู่รอบนอก หากศัตรูกล้าเข้าใกล้ระยะยิง ก็ให้ยิงทันที และให้ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ มารวมตัวกัน รวมเป็นกองใหญ่ ออกไปสืบเส้นทางพร้อมกัน
สถานการณ์เช่นนี้ หากหากสู้อีกฝ่ายไม่ไหวก็อาจจะหนีกลับมาได้ทัน ส่วนสายสืบรอบๆ ทัพใหญ่ที่ราวกับแมลงวันนั้น ท่าทีหวังทงก็คือ
“เป้าหมายทัพเราก็คือกำลังหลักเผ่าหนี่ว์เจิน ทุกอย่างไว้รอใช้กำลังหลักปะทะกันตัดสินศึกนี้!”
……
ซูเอ่อร์ฮาฉีอายุ 30 ต้นๆ แต่ทว่ามากบารมีในเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ที่ว่าฟ้าประทานเจี้ยนโจวหนึ่งมังกรหนึ่งพยัคฆ์ มังกรก็คือนู่เอ่อร์ฮาชื่อ พยัคฆ์ก็คือซูเอ่อร์ฮาฉี
รูปร่างชาวเผ่าหนี่ว์เจินสูงกว่าชาวฮั่นมาก แต่ในบรรดาชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ซูเอ่อร์ฮาฉียิ่งตัวใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
ข่าวพ่ายแพ้ที่ได้ยินข่าวจากเมืองเสิ่นหยาง ทำให้ทัพเผ่าหนี่ว์เจินแตกตื่นอยู่บ้าง แต่ทว่าไม่หวาดกลัว สำหรับกองกำลังร่วมเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกับมองโกลที่ไม่เป็นหนึ่งนั้น ได้กลายเป็นสิ่งดูแคลนของทหารเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวที่รบอยู่ตลอดสี่ปีที่แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซาน
พวกเขาแพ้นั้น พวกเราใช่ว่าจะแพ้ตาม แต่ละคนล้วนคิดเช่นนี้ ซูเอ่อร์ฮาฉีแม้นำพวกเขาถอนทัพกะทันหัน แต่ทั้งกองกำลังก็ยังคงกำลังใจเป็นหนึ่ง ไม่ได้แตกสามัคคี
ทุกวันซูเอ่อร์ฮาฉีจะออกตรวจตรากองทัพ จัดการทุกอย่างอย่างดูไม่ออกว่าเหน็ดเหนื่อย ทำให้ทหารเบื้องหน้าไม่กล้าแสดงอาการแตกตื่น
สายสืบส่งออกไปก็กลับมา นำข่าวแนวหน้ากลับมาตลอด ทุกครั้งซูเอ่อร์ฮาฉีล้วนมีสีหน้านิ่งรับฟัง ในใจคิดเช่นไร คนข้างกายไม่อาจรู้ได้
ต้นเดือนสองแล้ว น้ำแข็งและหิมะในเส้นทางป่าเขาไม่ได้ละลายลงแม้แต่น้อย แต่อากาศรู้สึกอุ่นลงบ้างแล้ว ซูเอ่อร์ฮาฉีได้ฟังรายงานสายสืบแล้ว ก็ขยับคิ้ว จากนั้นก็เคลื่อนม้าไปมา ดูเหมือนสำรวจค่าย แต่ความจริงนั้นไม่อยากให้คนได้ยิน
“เจ้าบอกว่าทัพใหญ่กองกำลังหมิงไม่มีปืนใหญ่มาด้วย? มีแต่ทหารราบเร่งเดินทาง? ทุกคืนก็จะมีกองเสบียงกับรถปืนใหญ่ตามมาสมทบ!”
“ท่านแม่ทัพ จริงแท้แน่นอน ข้าน้อยติดตามมาวันหนึ่งคืนหนึ่ง ตามมาตลอดทาง กองกำลังหมิงกองนี้เร่งร้อนไปช่วยป้อมกูซานเป่า ไม่เอาเสบียงอะไรมาทั้งนั้น ล้วนมากันแบบตัวเบาๆ เร่งเดินทาง”
ตอนเพิ่งได้ยินข่าวพ่ายแพ้ที่เมืองเสิ่นหยาง ซูเอ่อร์ฮาฉีแทบไม่อยากเชื่อว่าตามนี้จริง ในเวลาไม่ถึงวัน กองทัพแผ่นดินหมิงสามารถทำลายทหารนับหมื่นราบเป็นหน้ากลอง และยังมีปืนที่คาดไม่ถึงอีกด้วย ทุกคนที่มารายงานล้วนเอ่ยถึงคำว่า เสียงก้องกัมปนาท เหมือนว่าพวกเขาได้เห็นมา มีแต่เสียงก้องปัมปนาทจึงมีอานุภาพเช่นนี้
สายสืบที่มารายงานข่าวสนามรบข่าวนับวันยิ่งมาก ซูเอ่อร์ฮาฉีมั่นใจเรื่องนี้แล้ว หลายคนตอนพูดถึงปืนใหญ่ ถึงกับล้วนมีสีหน้าซีดขาว ตัวสั่น
เพราะอานุภาพปืนใหญ่แสนเกรียงไกร ทหารรอบเมืองจึงได้สูญสิ้นกำลังอย่างรวดเร็ว แต่ละคนล้วนคาดไม่ถึง แต่ละคนล้วนรู้สึกว่าต้องมีอะไรที่คาดไม่ถึงอีก มีปืนใหญ่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ย่อมเป็นที่จดจำของสายสืบ
“อีกนิดเดียวเท่านั้น ทหารม้าเราใกล้จะบุกถึงด้านหน้าแล้ว หากปืนไฟไม่ยิงออกมาก่อน ผลปรากฏปืนใหญ่ยิงถล่มมา ทุกคนพริบตาก็ต้านทานไม่อยู่…”
แต่ละคนล้วนเป็นคิดเหมือนกัน ม้านับหมื่นพันบุกเข้าไป ห่างจากปืนใหญ่ไม่ไกลแล้ว สามารถเข้าสังหารได้แล้ว ผลปรากฏในตอนนั้นเองปืนใหญ่ก็ยิง อีกนิดเดียวเท่านั้น สุดท้ายหมดสิ้น ในสนามต่อสู้ อานุภาพปืนไฟไม่อาจแสดงอานุภาพได้เต็มที่เท่าอานุภาพปืนใหญ่ที่เป็นที่จดจำ
“ศึกนี้ใช่ว่าไม่อาจรบ แต่ต้องเลือกสถานที่และเวลาที่เหมาะสม!”
ซูเอ่อร์ฮาฉีได้ข้อสรุปแล้ว
……
แม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหออยู่ทางป้อมกูซานเป่าไปทางตะวันออก มีพื้นที่ลุ่มน้ำเหมาะแก่เป็นเส้นทางเดินทัพ ป้อมทหารตั้งอยู่แนวนี้ก็เพื่อป้องกันศัตรูนอกกำแพงเมือง
แต่ทว่าหลายปีนี้ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกับแผ่นดินหมิงไปมาหาสู่กันล้วนใช้เส้นทางด่านฝู่ซุ่นกวน เข้าออกด่านยาหูกวนก็ใช้เส้นทางริมแม่น้ำไท่จื่อเหอ ดังนั้นป้อมเจี่ยนฉั่งเป่าปากป่าสนถึงป้อมกูซานเป่าก็เริ่มไม่มีคนใช้ เส้นทางตะวันออกตะวันตกก็ล้วนมีต้นไม้ขึ้นรกครึ้มไปหมด ทัพใหญ่จึงต้องเดินทัพมาตามแม่น้ำสาขาแนวเหนือใต้ ทัพเล็กอาจเดินทางแนวเส้นทางตะวันออกตกได้ แต่ทัพใหญ่ยุ่งยากมาก
ที่มีป้อม จึงจะมีที่ราบ รอบป้อมสามารถเป็นเส้นทางเดินทัพใหญ่ได้ มีแต่เส้นทางสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ
ซูเอ่อร์ฮาฉีตั้งทัพที่ป้อมเจี่ยนฉั่งเป่า พักผ่อนได้วันหนึ่งก็เดินหน้าต่อ เขาต้องกะเวลาให้แม่นยำ เข้าปะทะกับกองกำลังหมิงที่ตอนกลางวันยังไม่มีปืนใหญ่
ทหารเผ่าหนี่ว์เจินกองนี้เดินทัพ คนนำข่าวมาจากเฮ่อถูอาลาเจี้ยนโจวก็มาถึง นำคำสั่งข่านปรีชานู่เอ่อร์ฮาชื่อมาด้วย มีคำสั่งให้ทหารทั้งหมดถอนกำลังกลับเจี้ยนโจวทันที ไปรวมกำลังที่เฮ่อถูอาลา