องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 995 ลอบโจมตี
นู่เอ่อร์ฮาชื่อรวบรวมกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวทั้งหมดให้เป็นหนึ่งรับมือทัพหมิง หลังได้รับชัยคราก่อน เผ่าหนี่ว์เจินก็มากบารมี ดังนั้นภายใต้การคุ้มครองข่านปรีชา ก็ยิ่งมีสถานะใกล้กับฮ่องเต้ คำสั่งเขาทุกคนไม่กล้าไม่ทำตาม แต่ทว่าซูเอ่อร์ฮาฉีนั้นไม่ใช่
ทหารที่นำคำสั่งจากเจี้ยนโจวมาอย่างยากลำบาก ประกาศคำสั่งนู่เอ่อร์ฮาชื่อแล้ว ซูเอ่อร์ฮาฉีกลับมีท่าทีไม่ยอม ลังเลไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ท่านข่านคิดเช่นไรข้ารู้ดี แต่ทว่าตอนนี้กองกำลังหมิงมาแบบตัวเปล่า ไม่ได้มีปืนใหญ่มาด้วย เป็นโอกาสโจมตีพวกเขา หากรอให้พวกเขามีปืนใหญ่มา เกรงว่าคงทำอะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว เจ้ากลับไปบอกกับท่านข่านว่า หากส่งกำลังเสริมมาช่วยได้ก็จะดีมาก หากไม่ช่วยอะไรมาก็ขอแค่ไปรอล้อมโจมตีจากทางด่านยาหูกวนก็ได้ ตีทัพทางนี้แตกได้ ที่อื่นล้วนไร้ค่าจะเอ่ยถึงอีก”
ทหารนำคำสั่งเป็นทหารติดตามข้างกายนู่เอ่อร์ฮาชื่อ กัดฟันแน่น เห็นซูเอ่อร์ฮาฉีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งข่านปรีชาก็โมโหทันที วาจาเริ่มรุนแรง
“ท่านข่านกล่าวว่า เจี้ยนโจวมีกำลังเช่นวันนี้ได้ไม่ได้ง่าย อย่าได้ทำการพลการเด็ดขาด อย่าได้สูญเสียเปล่า!”
พอพูดจบ ก็ถูกซูเอ่อร์ฮาฉีถีบล้ม ทหารถ่ายทอดคำสั่งหลายคนหันไปปะทะกับทหารติดตามซูเอ่อร์ฮาฉี ทหารติดตามซูเอ่อร์ฮาฉีล้วนชักดาบออกมา ซูเอ่อร์ฮาฉีหันไปชี้ทหารติดตามด่าว่า
“เรื่องของเราพี่น้อง ไหนเลยมีที่ให้บ่าวเช่นพวกเจ้ามาแทรก ข้าทำเช่นนี้ใช่ว่าเพื่อเจี้ยนโจวหรอกหรือ กลับไปรายงานท่านข่าน โอกาสครั้งนี้ไม่อาจเสียไป ข้าจะสู้สุดชีวิตคว้าเอาไว้ สูญเสียก็กำลังข้าเอง ขอข่านปรีชาวางใจ!”
ซูเอ่อร์ฮาฉีนำกำลังกองนี้มา หลักๆ แล้วล้วนเป็นทหารเก่งกล้าในสังกัดเขาเอง เผ่าหนี่ว์เจินล้วนเกิดจากการประสานกำลังหลายเผ่า แม้ว่ายกนู่เอ่อร์ฮาชื่อเป็นหัวหน้า แต่คนเบื้องหน้าก็ยังมีกำลังของตนเอง ทุกคนภักดีนายตนเอง นู่เอ่อร์ฮาชื่อไม่อาจออกคำสั่งได้
และเพราะซูเอ่อร์ฮาฉีทรงอิทธิพลในเจี้ยนโจวมานาน กองกำลังเขาครองอัตราถึงหนึ่งในสามของเจี้ยนโจว เป็นเหตุหนึ่งที่ซูเอ่อร์ฮาฉีเป็นอันดับสองในเจี้ยนโจว
เวลาที่ยังไม่มีหวังทง นู่เอ่อร์ฮาชื่อตั้งราชวงศ์โฮ่วจิน[1] จับซูเอ่อร์ฮาฉีขังจนตาย จากนั้นหวงไท่จี๋ก็ประหารบุตรชายคนโตซูเอ่อร์ฮาฉี แบ่งกองกำลังซูเอ่อร์ฮาฉีออกเป็นหลายส่วนให้อ่อนกำลังก่อนส่งมอบกำลังให้กับบุตรชายคนที่หกของซูเอ่อร์ฮาฉี ชื่อว่า ฉีเอ่อร์ฮาหลัง แต่แม้เป็นเช่นนี้ กองกำลังธงน้ำเงินขลิบของซูเอ่อร์ฮาฉีก็ยังเป็นกองกำลังที่มีคนมากที่สุดในจำนวนแปดกลองธงของราชวงศ์แมนจู
เพราะมีกองกำลังเช่นนี้ ซูเอ่อร์ฮาฉีทำอะไรก็มักจะทำตามความคิดตนเอง ตอนนี้เขาไม่คิดฟังคำสั่งนู่เอ่อร์ฮาชื่อ
ทหารถ่ายทอดคำสั่งกัดฟันข่มความไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ หากเป็นทหารค่ายอื่น พวกเขาสามารถใช้วินัยทหารจัดการ ใช้เชือกธนูรัดคอหรือไม่ก็จับกุมกลับเฮ่อถูอาลารอลงอาญา แต่ในค่ายกำลังซูเอ่อร์ฮาฉี ทุกคนล้วนฟังแค่คำสั่งซูเอ่อร์ฮาฉี หากมีเรื่องปะทะกัน ที่ถูกสังหารทิ้งก่อนเกรงว่าคงเป็นพวกเขา
……
เดินอยู่ตามเส้นทางข้างแม่น้ำ สองข้างล้วนเป็นป่า หวังทงตอนชาติก่อนก็เคยมาเหลียวหนิง ไปมาหลายแห่ง ได้เห็นป่าเขาจำนวนน้อยมาก ที่นั่นไหนเลยเหมือนตอนนี้ ป่าไม้ชอุ่มเพียงนี้
ตอนนี้หวังทงไม่รู้ว่าซุนโส่วเหลียนที่ป้อมกูซานเป่าเป็นอย่างไร ไม่รู้กำลังซูเอ่อร์ฮาฉีห่างจากตนเท่าไร แต่เขารู้ว่า เดินต่อไปตามเส้นทางนี้ ย่อมปะทะกับทัพซูเอ่อร์ฮาฉี
กลางเขามีเส้นทางน้อยหลายทาง พวกชำนาญเส้นทางป่าสามารถเดินตามเส้นทางน้อยเหล่านี้ไปทางตะวันออกออกนอกกำแพงเมือง หรือไม่ก็หลบทัพหวังทงได้
แต่ไม่มีเสบียง ไม่มีสถานะทหาร ทัพใหญ่หมื่นกว่าเดินเส้นทางสายเล็ก พวกเขาจะเหลือสักเท่าไรก็ยังเป็นปัญหา หลายคนไม่แน่ว่าจะกลับไปเข้ากอง แตกกระจัดกระจายไปเช่นนี้ ก็เท่ากับไม่ทันได้รบก็แตกกระจัดกระจาย เช่นนี้กลับเป็นการทำให้หวังทงประหยัดเวลา
เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ กว่าจะรวมกำลังได้ แน่นอนไม่อาจปล่อยทิ้งไปเสียเปล่าเช่นนี้ ดังนั้นสองฝ่ายย่อมปะทะกันริมแม่น้ำสายนี้
……
สำหรับทหารกองกำลังหู่เวย การเดินทางระยะไกลลำบากมาก แต่ทว่าก็เท่านั้น เพราะถืออาวุธเดิน ไม่ว่าทหารใหม่หรือเก่าทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ การฝึกซ้อมหนักทำให้พวกเขาเคยชินเสียแล้ว ตอนนี้ที่ยุ่งยากก็คืออาหารกลางวันกินแทบไม่ได้
ตอนกลางวันพักครึ่งชั่วยาม เก็บไม้แถบนั้นมาเป็นฟืนต้มน้ำทำอาหาร เวลาสั้นมาก ทำให้อาหารเย็นและแข็งในถุงหนังยังไม่ทันร้อนทั่ว กินแบบกึ่งร้อนกึ่งเย็นทำให้รู้สึกกลืนไม่ค่อยลง ยังต้องกินน้ำร้อนตามลงไปช่วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ปวดท้องเพราะตอนเช้าและตอนค่ำได้กินดีอยู่สักหน่อย
นอกจากจุดไฟหุงหาอาหารได้แล้ว ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ยังออกไปล่าสัตว์ละแวกนั้น มักมีหมูป่าหรือกวางป่ามาให้ทุกคนได้ทำอาหารกัน กองกำลังหู่เวยจ่ายเงินซื้อจากพวกเขา อาหารที่มีน้ำมันเนื้อเหล่านี้เทียบกับน้ำมันหมูที่เอามาด้วยแล้ว อร่อยกว่ามาก กินแล้วก็รู้สึกถูกปาก เป็นเพราะน้ำมันเหล่านี้ ทหารจึงได้เดินทัพทนในช่วงอากาศหนาว
“แม่ทัพใหญ่ สายพวกนอกด่านด้านหน้ามากเกินไปแล้ว เราเดินทัพยาก!”
หวังทงยืนอยู่ริมแม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ ทัพใหญ่เดินผ่านด้านข้างเขาไป ขุนพลทหารข้างกายเขาหลายคน กองพื้นหิมะตรงหน้ามีหัววางอยู่สองหัว
“น่าจะห่างจากซูเอ่อร์ฮาฉีไม่ไกลแล้ว สามารถตัดมาสองหัวด้วยตัวคนเดียว เป็นชายชาตรี ผู้นี้คือใคร?”
หวังทงวิเคราะห์ เอ่ยถามขึ้น ขุนพลทหารรีบกล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ผู้นี้ก็คือทหารม้าชาวบ้านจากพื้นที่เหลียวโจว มีความกล้าหาญตัวหัวมาได้มากที่สุด ตอนนี้เป็นนายกองธงเล็ก ชื่อว่าอวี๋เฟิง”
ตามตัวอวี๋เฟิงยังมีรอยคราบเลือด มายืนนอบน้อมต่อหน้าหวังทง อวี๋เฟิงเติบโตท่ามกลางการต่อสู้นองเลือดมาได้รวดเร็วมาก ตามคำวิจารณ์หัวหน้ากองกำลังหู่เวย คนผู้นี้มีพรสวรรค์ในสนามรบ สายเผ่าหนี่ว์เจินสองคนเป็นเขาสังหารมาได้ จากนั้นตัดหัวกลับมารายงาน
“ตัดไปได้หลายหัวเพียงนี้ ยังนำข่าวกลับมาด้วย เป็นคนมีความสามารถ เลื่อนเป็นนายกองธงใหญ่ วันหน้าให้ซานเปียวดูแลส่งเสริม!”
หวังทงยิ้มกล่าว อวี๋เฟิงรีบคุกเข่าขอบคุณ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ศัตรูอยู่ตรงหน้า ทำตามธรรมเนียมเดิม สายสืบอย่าแตกแถวไปไกล เพียงแค่เก็บกวาดพื้นที่ริมแม่น้ำ กลับมารายงานตลอดเวลา!”
คนข้างๆ กำลังจะรับคำก็ได้ยินกองกำลังรอบนอกเอะอะดัง ทุกคนหันไปสนใจทางนั้นทันที นี่แค่เริ่มต้น พริบตา กองกำลังยาวทั้งสายหลายจุดก็เริ่มอลหม่าน มีคนร้องเจ็บปวด มีคนตะโกนด่า
“แม่ทัพใหญ่ ป่าสองข้างมีพวกนอกด่านซุ่มโจมตี พลปืนไฟมีคนบาดเจ็บล้มตาย!”
ขุนพลทหารลาดตระเวนทัพใหญ่มารายงาน หวังทงขมวดคิ้วกล่าวว่า
“พลทวนยาวเดินหน้าต่อ พลปืนไฟครึ่งหนึ่งยิงโต้ อีกครึ่งตามทัพใหญ่ไปต่อ ทหารม้าทิ้งไว้ 200 คนนำทาง ที่เหลือลงจากม้าไปสังหารโต้ศัตรู!”
ปืนไฟเริ่มยิง มีขุนพลทหารออกคำสั่งดัง อวี๋เฟิงประสานมือคำนับรีบออกไปรับศึก หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง หันไปถามขึ้น
“ที่นี่ห่างจากป้อมเจี่ยนฉั่งเป่าอีกเท่าไร?”
“แม่ทัพใหญ่ราว 11 ลี้!”
“หัวหน้าหลักหน่วยหนึ่งสองเสริมกำลังตีโต้ด้านข้าง หน่วยอื่นเดินหน้าต่อไป อีกห้าลี้รวมกำลังตั้งค่ายพัก!”
ทหารถ่ายทอดคำสั่งรับคำสั่งออกไป หน่วยหนึ่งสองล้วนเป็นทหารกล้าที่สุดของกองทัพ ทหารเก่าก็มีจำนวนมาก หัวหน้าหลักที่ว่าก็คือนายกองธงเล็กกับหัวหน้าแถว คนพวกนี้เข้าร่วมกองกำลังหู่เวยตอนหวังทงเพิ่งไปถึงเทียนจิน ประสบการณ์การรบมากมาย
พวกเขาล้วนสวมเกราะทั้งชุด ใช้ทวนขวานและกระบี่สั้น พวกเผ่าหนี่ว์เจินตะวันออกออกมาจากป่าสองข้างทางยิงใส่ การตีโต้ส่วนใหญ่เป็นทหารเข้าปะทะเดี่ยว ดังนั้นหวังทงจึงส่งกำลังชำนาญการต่อสู้ประชิดตัวไป
ในการเดินทัพวันอากาศหนาว แท่งไฟที่ไว้จุดปืนไฟดับง่ายมาก และตอนระยะติดไฟก็ยังสั้น เพื่อป้องกันการสูญเสีย ได้แต่ส่งกำลังปืนไฟส่วนน้อยไป แค่คอยยิงเตือนได้ตลอดเวลาเท่านั้น
ปกติระยะกระชั้นชิดนี้ ปืนไฟไม่ใช่จะยิงยามปะทะศัตรู ล้วนทำปืนลั่นก่อนทั้งสิ้น ทหารธนูเผ่าหนี่ว์เจินคิดเช่นนี้ตามแนวคิดแต่เดิมมา แต่ความจริงนั้นระยะห่างจากปืนไฟไม่ไกลมาก อานุภาพแม้มีจำกัด แต่พวกเขาถูกสั่งสอนอย่างรวดเร็ว
ในระยะสังหารธนูชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ปืนไฟกองกำลังหู่เวยมีความแม่นมาก อานุภาพเพียงพอ ธนูยิงโดนหนึ่ง บางครั้งถูกหมวกเกราะ แต่ปืนไฟกองกำลังหมิงยิง ขอเพียงยิงโดนย่อมตาย แม้ว่ายิงโดนแขนขา กระดูกแตก กระสุนตะกั่วมีพิษ ไม่อาจมีทางอื่นนอกจากพิการและตายสถานเดียว
ทหารม้าลงจากม้าร่วมปะทะศึก ทหารเผ่าหนี่ว์เจินหวังอาศัยต้นไม้กำบังตัวก็ไม่อาจทำได้ พวกเขาชำนาญการยิง ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ที่เป็นนับรบก็ชำนาญเช่นกัน พวกเขาหวังปะทะตัวต่อตัว ทวนขวานอีกฝ่ายก็ไม่เกรงกลัว
พอกองกำลังหู่เวยตีโต้ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินสองข้างก็บาดเจ็บล้มตายทันที ถอยห่างออกไปไกล ธนูพวกเขายิงไม่ถึงกองกำลังหมิง แต่ปืนไฟยังคงยิงสังหารพวกเขาได้ ต้องอ้อมออกไปไกล สูญเสียกำลังมาก กว่าจะแอบลอบเข้าใกล้ซุ่มโจมตีทัพใหญ่ได้ คงโจมตีได้แค่ครั้งเดียว จากนั้นก็เลือดตกยางออก ทิ้งเป็นซากศพหนีกันอนาถ
พวกเขาเดิมคิดว่ากองกำลังหมิงกองนี้มีปืนร้ายกาจ แต่ระยะใกล้เข้าปะทะกันตัวต่อตัวย่อมอ่อนแอกว่า คิดไม่ถึงว่าทหารทวนขวานและกระบี่สั้นพวกนั้นไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย และยังไม่กลัวตายเหมือนกัน ชุดเกราะยิ่งทำให้ปวดหัว ยิงโดนก็ไม่ทำให้เกิดผลอันใด ต้องใช้แรงฟันพอจึงจะฟันได้ผล
แต่ก่อนจะทำเช่นนี้ได้ ก็ถูกทวนขวานอีกฝ่ายแทงตายเสียก่อน
ป่าสองข้างแม่น้ำระงมไปด้วยเสียงร้องสังหารและเจ็บปวด ค่อยๆ เงียบลง ศัตรูลอบโจมตีถูกขับไล่ไป พวกที่บาดเจ็บ ได้รับการพันแผลง่ายๆ ก่อนจะส่งไปกองกำลังด้านหลัง
ทัพใหญ่เร่งเดินทัพไปต่อ พลปืนไฟบรรจุกระสุนเข้าไปเดินในป่า ค้นหาศัตรูบาดเจ็บ เงียบไปราวหนึ่งก้านธูป มีคนสังเกตเห็นว่าต้นไม้เหมือนสั่นไหว
ไม่ใช่เหมือน แต่สั่นไหวเห็นได้ชัด หิมะสะสมบนกิ่งไม้พากันร่วงหล่น
……
[1] ปี 1616-1636 นู่เอ่อร์ฮาชื่อแห่งเจี้ยนโจวได้ตั้งตัวเป็นข่านใหญ่ชาวแมนจู ถือเป็นต้นกำเนิดราชวงศ์แมนจู