องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 999 รับปากตำแหน่งผู้บัญชาการแก่เจ้าพ่อลูก
ซูเอ่อร์ฮาฉีไม่ได้กลับไปทางเส้นทางเดิม หากพาทหารติดตามไปตามเส้นทางรอง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะปะทะเข้ากับทัพซุนโส่วเหลียน
ซุนโส่วเหลียนนำทหารม้ามาถึงสนามรบ เห็นทหารเผ่าหนี่ว์เจินแตกกระเจิงไปเกือบหมด ซุนโส่วเหลียนกับทหารเขาพากันลืมตัวว่าควรทำอะไรต่อ ได้แต่อึ้งอยู่นาน ก่อนจะร้องเฮยินดี
ที่มากันล้วนเป็นทหารติดตามซุนโส่วเหลียน เป็นทหารกล้าเมืองเหลียวโจว ยังเป็นทหารม้า เผชิญกับทหารราบแตกกระจัดกระจาย เห็นชัดว่าเป็นดังอาหารส่งมาถึงที่ ที่กลิ้งอยู่เบื้องหน้าล้วนศีรษะ ล้วนความดีความชอบทางการทหาร!
พวกเขาเองถูกทัพซูเอ่อร์ฮาฉีจากป่าต้นสนไล่ล่ามาถึงป้อมกูซานเป่า อัดอั้นมานาน ระบายแค้นเต็มที่ ครั้งนี้ไล่ล่า เช่นนั้นก็ย่อมสังหารให้สะใจกันไปเลยทีเดียว
พลทวนยาวกองกำลังหู่เวยเคลื่อนที่อย่างไรก็ไม่ได้ว่องไวเท่าไร ทหารม้ากองหลักที่ไล่ล่าก็มีจำนวนน้อย สำหรับทหารเผ่าหนี่ว์เจินแล้ว กำลังซุนโส่วเหลียนเสริมเข้ามาเรียกว่าหายนะแท้จริง
การต่อสู้ในยามกลางวัน พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า สนามรบอีกด้านมีกำลังซุนโส่วเหลียน ยามนี้มาประกบกับหวังทงด้านหน้า เมื่อก่อนพบกันแค่คารวะ ไม่ใช่เป็นดังนายบ่าว แต่ยังมีความเป็นมิตรสหาย ครั้งนี้ซุนโส่วเหลียนไม่ได้วางท่าทางอันใดแม้แต่น้อย หากลงจากหลังม้ามาก็ลงคุกเข่าคำนับทันที กล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่นำทัพราวกองทัพสวรรค์ พี่น้องเหลียวหนานล้วนขอบคุณท่านแม่ทัพอย่างหาที่สุดมิได้ ข้าทั้งครอบครัวแม้แหลกสลายก็ยากตอบแทนคุณท่านแม่ทัพ”
หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ซุนเผิงจวี่ อย่าได้ตามคุกเข่าไปด้วย รีบพยุงบิดาเจ้าขึ้นมา”
วาจาแสดงความสนิท ซุนเผิงจวี่ลุกขึ้นลิงโลดเข้าประคองซุนโส่วเหลียนขึ้นมา สีหน้าซุนโส่วเหลียนล้วนยินดียิ่ง หวังทงมองซ้ายขวา ออกคำสั่งว่า
“หน่วยหนึ่งและสองตามข้าไป ที่เหลืออยู่จัดการเก็บกวาดสนามรบ ก่อนค่ำนี้ให้ตั้งค่ายพักใกล้ป้อมเจี่ยนฉั่งเป่า”
ทุกคนคำนับรับคำสั่ง พื้นที่หุบเขานี้แคบ และอันตรายมาก จะว่าไปห่างจากป้อมเจี่ยนฉั่งเป่าก็ต้องเดินทางอีกหนึ่งชั่วยามกว่าเท่านั้น ไปได้สะดวก
สำหรับพวกทหารเผ่าหนี่ว์เจินที่ประจำอยู่ตามป้อม แม้แต่อาหารระคายฟันก็ไม่อาจนับได้ คิดจะหนีตอนนี้ ซุนโส่วเหลียนก็รีบส่งคนไปแจ้งข่าวที่ป้อมกูซานเป่า จากนั้นก็ทิ้งกำลังคนส่วนใหญ่เก็บกวาดสนามรบ เขากับซุนเผิงจวี่และทหารติดตามรีบติดตามหวังทงไปด้วย
หลังชัยชนะใหญ่ ทุกคนล้วนควรตื่นเต้น แต่พอขี่ม้าออกนอกสนามรบ ทุกคนล้วนเงียบ ชัยชนะนี้ยิ่งใหญ่เกินไป และยังทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ตอนนี้ชัยชนะถึงมือ สังหารให้สะใจ ระบายให้สะใจ แต่กลับรู้สึกโหวงในใจ
ซุนโส่วเหลียนอยู่ในเส้นทางขุนนาง แน่นอนรู้ว่าต้องหาวาจามาสนทนา ไม่อาจปล่อยเงียบเช่นนี้ ยิ้มกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ได้ชัยติดต่อกัน ศัตรูเมืองเหลียวโจวสองกองล้วนเก็บกวาดสิ้นซาก พริบตาก็มาถึงพวกนอกด่านทางกองกำลังเถี่ยหลิ่ง ข้าน้อยขอทุ่มกำลังเต็มที่เสริมทัพแล้วแต่แม่ทัพใหญ่สั่งการ”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“สงครามทางเมืองเหลียวโจวจบแล้ว จากนี้ก็แค่เก็บกวาดและรักษาความสงบ ทำให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติ จึงเป็นหน้าที่สำคัญ”
ฟังคำตอบนี้แล้ว ซุนโส่วเหลียนรู้สึกงง กองกำลังเถี่ยหลิ่งยังมีทหารม้ามองโกลสองหมื่นกว่า หากรวมคนงานในเผ่าไปด้วย ก็ราวสี่หมื่นได้ เหตุใดจึงบอกว่าสงครามจบแล้ว หรือว่าหวังทงคิดจะเลี้ยงโจรไว้เพื่อตนเอง วงการราชสำนักเป็นเรื่องซับซ้อนยิ่ง
เขากำลังคิดไปวุ่นวายนั่นเอง หวังทงก็เอ่ยอธิบายขึ้นว่า
“รอบเมืองเสิ่นหยางกับที่นี่ รวมสองชัยชนะใหญ่ เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นย่อมไม่กล้าอยู่กองกำลังเถี่ยหลิ่งต่อแล้ว เขาไม่หนีอีก ก็ย่อมถูกทัพเมืองเหลียวโจวกับทัพใหญ่ปราบตะวันออกโอบล้อม พวกเขากล้าพนันครั้งที่หนึ่ง แต่ไม่กล้าพนันครั้งที่สองแน่ สามารถยิ้มได้แล้ว บนทุ่งหญ้านี้หมดสิ้นแล้ว คิดจะหาที่อยู่แถบแม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซาน คิดไม่ถึงจะหมดสิ้นเช่นนี้”
ได้ยินหวังทงกล่าว ซุนโส่วเหลียนนิ่งไปพักหนึ่งก็ยอมรับว่า
“หากไม่ใช่มีแม่ทัพใหญ่ พวกนอกด่านกองนี้เกรงว่าพนันถูกแล้ว”
หวังทงยิ้มกว้าง ทุกคนพากันหัวเราะดัง เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับเผ่าหนี่ว์เจินร่วมกำลังกัน พึ่งพากัน แผนนี้แยบยลยิ่ง ทหารม้ามองโกลกับทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินรวมกำลังกัน เสริมกำลังกันและกันให้แข็งแกร่ง ล้วนทำให้ขยายอิทธิพล กำลังคนของสองฝ่ายและกำลังม้าวัวก็ล้วนเสริมกันและกัน
พวกเขาสองฝ่ายรวมกำลังกัน กำลังเห็นๆ ว่าเหนือกว่าทัพเมืองเหลียวโจว ชัยชนะใหญ่ครั้งหนึ่งยิ่งทำให้เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลมากันมายิ่งขึ้น กำลังก็ยิ่งมากขึ้น ความจริงนั้นยังมีชาวฮั่นตระกูลใหญ่ริมกำแพงหลายตระกูลเริ่มมองดูสถานการณ์ ถึงกับให้ลูกหลานไปดูโอกาสการค้า
หากไม่มีกองกำลังหู่เวยที่เข้มแข็งออกมา ไม่มีหวังทงที่เป็นขุนนางคนโปรดฮ่องเต้นำทัพได้เข้มแข็ง เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลตอนนี้ที่เมืองเหลียวโจวคนกำลังกินรวบกองกำลังหมิง ค่อยๆ กลืนกินมาทางตะวันตก
“ครั้งนี้เจ้าเองก็ไม่ได้ง่าย เดิมทีสามารถหลบตัวอยู่เมืองหวงเฟิ่งเฉิงสบายได้ แต่ก็ทำตามคำสั่งข้านำกำลังออกมารบ กับพวกนอกด่านตะวันออกยากลำบากมาถึงตอนนี้ ตกใจเสี่ยงภัยไม่น้อย เสียหายไปไม่น้อย”
หวังทงปลอบใจ ซุนโส่วเหลียนรีบประสานมือคำนับ กล่าวอย่างตื้นตันว่า
“ตระกูลซุนได้รับเมตตาแม่ทัพใหญ่ แม้ว่าแหลกสลายก็ยอม แม่ทัพใหญ่กล่าวเช่นนี้ ทำให้ข้าน้อยอายุสั้น”
วาจามารยาทกล่าวกันไม่จริงนัก แต่ทว่าหวังทงครั้งนี้หากมาสายไปก้าว หรือซูเอ่อร์ฮาฉีตัดใจสู้ด้วยชีวิต เกรงว่าตระกูลซุนก็คงมีโอกาสพินาศย่อยยับเช่นกัน หวังทงกล่าวว่า
“ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อย่าได้กลัวว่าเสียเปล่า ปีนี้หรือปีหน้า ข้ารับรองตำแหน่งผู้บัญชาการให้เจ้า ซุนเผิงจวี่วันหน้าก็จะได้เป็นผู้บัญชาการเช่นกัน”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่ง ซุนโส่วเหลียนกับซุนเผิงจวี่บนม้าตกตะลึง กลับไม่กล้านั่งบนหลังม้าต่อ พากันโดดลงมาไม่สนใจว่าบนพื้นเลือดเนื้อเปรอะเปื้อน หากลงคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวแต่เพียงว่า
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ที่เมตตาๆ”
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรควบบรรดาศักดิ์โหวเช่นหวังทงนี้อย่างไรก็หาได้ยาก ราชวงศ์หมิงสองร้อยปีมานี้ คนเช่นนี้มีแค่คนเดียว ในวงการขุนนางบู๊สูงสุดก็คือผู้บัญชาการ สามารถได้เป็นผู้บัญชาการ ลูกหลานสี่รุ่นจากนี้พ้นภัย และยังสามารถมีพื้นที่กว้างให้ก้าวเดิน หม่าฟางอยู่เมืองเซวียนฝู่ หลี่เฉิงเหลียงอยู่เมืองเหลียวโจว ไม่ใช่เช่นนี้หรือ
อย่าเห็นว่าซุนโส่วเหลียนตอนนี้เป็นรองแม่ทัพ ห่างจากตำแหน่งผู้บัญชาการอีกระดับ หากระดับเดียวนี้เรียกว่าแตกต่างกันมากนัก หลายคนตลอดชีวิตก็เป็นได้แค่รองแม่ทัพ
หวังทงให้สัญญาตำแหน่งผู้บัญชาการ ซุนโส่วเหลียนดีใจแทบคลั่ง แต่คำสัญญาถัดมาของหวังทงทำเอาเขาอึ้งไปทันที จากนั้นก็ดีใจทีเรียกว่ามากกว่าคลั่ง พ่อลูกผู้บัญชาการคู่ นี่เป็นขุนพลแผ่นดินหมิงที่มีเพียงตระกูลหม่ากับตระกูลหลี่ ซึ่งล้วนเป็นตระกูลแม่ทัพอันดับหนึ่ง ตอนนี้ดูแล้ว ตระกูลลี่ก็มีความเป็นได้นี้ คิดไม่ถึงตนเองแค่รองแม่ทัพ ถึงกับมีโอกาสนี้ด้วย จะไม่ยินดีแทบคลั่งได้อย่างไรไหว
ผู้อื่นให้คำสัญญานี้ อย่างมาก็แค่ยิ้มด่ากลับไป แต่หวังทงให้สัญญาเช่นนี้ ไม่อาจไม่เชื่อถือ แน่นอนต้องดึงบุตรชายลงร่วมโขกศีรษะ
หวังทงกล่าวสัพยอกสองสามคำ ซุนโส่วเหลียนจึงได้ขึ้นม้า กล่าวโต้ตอบไปได้สองสามคำ ก็เริ่มรู้สึกมีบางอย่างไม่มั่นใจขึ้นมา ผู้ใดล้วนรู้หลักการรุ่งได้ก็ลงได้ หวังทงตอนนี้เรืองอำนาจล้นฟ้า ได้ชัยชนะใหญ่นี้ไป ย่อมยิ่งยิ่งใหญ่ไปอีก คิดถึงตรงนี้แล้ว ในใจซุนโส่วเหลียนก็อดคิดไม่ได้ มาถึงตอนนี้ หวังทงหากยังก้าวไปอีกจะไปถึงที่ใดกัน
หากมีการเปลี่ยนแปลงใด เช่นนี้คำสัญญานี้จะยังคงมีอีกไหม ตนเองตอนนี้ถูกมองว่าเป็นพวกหวังทง ถึงตอนนั้นยุ่งยากตามไปด้วยหรือไม่ น่าแปลก ซุนโส่วเหลียนอยู่ถึงกับกังวลใจขึ้นมาเช่นนี้ได้
……
ตัดหัวไปเจ็ดพันกว่า กวาดต้อนม้าวัวมาได้ไม่จำกัด ปะทะศึกริมแม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ ผลการรบคำนวณได้อย่างรวดเร็ว มีแต่สังหารทิ้ง ไม่มีเชลย นับว่าไม่ค่อยได้เห็น หากเป็นสองปีก่อน ชัยชนะใหญ่เช่นนี้อาจใช้คำว่าไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาบรรยายผลการรบ แต่ครั้งนี้ ทุกคนต่างล้วนรู้สึกควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พบเห็นชัยชนะมามากเกินไปแล้ว ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก
เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวมีคนไม่มาก ผ่านการรบพ่ายครั้งนี้ได ก็ไม่อาจเปิดศึกกับแผ่นดินหมิงหลายทางได้อีก ต้องป้องกันไม่ก็ยกทัพมาได้แค่ทางเดียว มุมพิเศษเช่นพื้นที่เหลียวหนานนี้ ไม่นับว่าเป็นพื้นทีอันตรายสำคัญนัก ไม่อาจมีการศึกที่ยิ่งใหญ่อันใดเกิดขึ้นได้อีก
ซุนโส่วเหลียนตั้งแนวป้องกันแนวแม่น้ำไท่จื่อเหอและแม่น้ำสาขาใหม่ กำลังหลักส่วนใหญ่กลับไปเมืองหวงเฟิ่งเฉิง ตนเองนำทหารม้าหนึ่งพันติดตามหวังทงกลับมา
ทัพใหญ่ครั้งนี้เดินทัพไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เดินทัพตามปกติ คนงานกับม้าวัวเพียงพอ เดินทัพก็ไม่ช้า อากาศนอกด่านหนาวมาก ตามความรู้สึกหวังทง เหมือนจะมีความอุ่นขึ้นบ้าง อย่างไรก็เข้าสู่เดือนสอง ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงแล้ว ตามวาจาซุนโส่วเหลียน ตอนนี้หนาวขึ้นทุกปี เดาว่าเดือนสามดอกไม้จึงจะบาน
ครั้งนี้ทัพใหญ่ยังคงเดินทัพกลับเสิ่นหยาง ไปคิดวางแผนลำดับต่อไปที่นั่น ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังซีเจวี๋ยกับขันทีคุมกำลังเฉินจวี่ก็ถึงเมืองเสิ่นหยางแล้ว ตอนนี้เสิ่นหยางเป็นที่ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่ตั้งฐานหลัก
ทัพใหญ่เดินทางกลับได้ครึ่งทาง ก็มีข่าวจากเสิ่นหยางมาว่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นที่ล้อมกองกำลังเถี่ยหลิ่งถอยกลับแล้ว กองกำลังหมิงประจำกองกำลังเถี่ยหลิ่งออกไล่สังหาร แม้ว่าไม่ได้แตะต้องถึงกองกำลังหลักเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น แต่ได้เก็บกวาดเผ่าเล็กที่มาพร้อมเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไปไม่น้อย แน่นอนมีความชอบ
ทหารม้าเสิ่นหยางบีบไปทางกองกำลังเถี่ยหลิ่ง ข่าวการพ่ายศึกรอบเมืองเสิ่นหยางไปถึงเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไม่เพียงแต่เสียกำลังหลักที่เมืองเสิ่นหยางมาก ที่เมืองเหลียวโจวกลายเป็นทัพโดดเดี่ยว หากยังไม่ถอยหนี พวกเขาก็ย่อมถูกกวาดเสียเอง
“น่าเสียดาย ทัพใหญ่ปราบตะวันออกกล้าหาญชาญศึก ชัยชนะใหญ่มีแต่ทางกองกำลังหู่เวย ไม่อาจจัดการได้หมด ยังคงทิ้งไว้ ไม่อาจขจัดภัยใหญ่แผ่นดินหมิงได้หมด”
พอกลับถึงเมืองเสิ่นหยาง หวังซีเจวี๋ยกล่าวกับหวังทงอย่างเสียดาย หวังทงยิ้ม ตอบว่า
“ใต้เท้าหวังไม่ต้องเสียดาย พวกป่าเถื่อนมาเมืองเหลียวโจวสังหารราษฎรแผ่นดินหมิง กวาดล้างพื้นที่เรา ไหนเลยจะปล่อยให้หนีไปง่ายๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงมีเหล่าผู้กล้ามากมาย ยอมแบ่งเบาราชสำนัก ไม่ต้องนาน ม้าวัวพวกป่าเถื่อนย่อมตกเป็นของแผ่นดินหมิง พวกป่าเถื่อนย่อมต้องเป็นทาสแผ่นดินหมิง ไม่ต้องนาน ใต้หล้าก็จะไร้พวกป่าเถื่อน”
หวังซีเจวี๋ยได้ยินก็อึ้งไป ตามด้วยพยักหน้าอย่างยอมรับ