บันทึกมงกุฎขนนก - ตอนที่ 1
บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทนำหยกทองคำ
ด้านหลังประตูกำแพงคืออาคารสองชั้นที่บนคานโค้งจัดเรียงไว้ด้วยรูปปั้นสัตว์มงคล ก้อนเมฆ และดอกบัวเรียงกันทั้งสี่มุมแกะสลักด้วยสีสันอันอ่อนโยนคดเคี้ยวไปมาราวมีชีวิต
อาคารแห่งนั้นงดงามประณีตแมลงปอเขียวและรูปปั้นสัตว์ที่เรียงกันบนปีกหลังคา เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์เหมือนมีพลังแห่งชีวิต ส่วนที่ชั้นหนึ่งนั้นแขวนไว้ด้วยแผ่นโลหะสีทองส่องประกายวิบวับยิ่งทำให้ดึงดูดสายตาผู้คน
สถานที่แห่งนี้ถูกจัดเป็นลำดับสองในหกลำดับของสำนักศิลป์ทั้งหก ซึ่งเจ้าของก็คือผู้ว่าการเส้าอันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในนามของสำนักหนิงกวงหยวน
เวลานี้สำนักหนิงกวงหยวนถูกแบ่งพื้นที่เป็นสามเหลี่ยมห้าโถงใหญ่
ซึ่งในสามเหลี่ยมนั้นแบ่งสัดส่วนเป็นพื้นที่ของฝ่ายศิลปะ ที่แบ่งเป็นส่วนจัตุรัสบนที่ต้องใช้ฝีมือประณีตมาก และส่วนจัตุรัสล่างที่เป็นงานฝีมือธรรมดาๆ ทั้งจัตุรัสบนและล่างนั้นสองฝากของห้องจะจัดเรียงไว้ด้วยแถวโต๊ะเป็นระเบียบ ช่างฝีมือหญิงสวมใส่ชุดกระโปรงเขียวกำลังตั้งใจถักร้อยด้ายทองเล็กละเอียด ที่บนแผ่นทองค่อยๆ ปรากฏดอกไม้นับร้อยเรียงร้อยต่อกันแต่ทว่ากลับไม่เห็นรอยมีดแม้แต่น้อย
ด้านหน้าของเหล่าช่างฝีมือยังวางไว้ด้วยถาดไม้ที่คลุมด้วยผ้าสีดำ และที่วางอยู่บนถาดไม้กระจัดกระจายไว้ด้วยอัญมณีและหยกชนิดต่างๆสะท้อนแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณของฤดูใบไม้ผลิ ถักทอเป็นประกายระยิบระยับจับตา
มุมพื้นที่ศิลปะนั้นเงียบสงบ นอกจากเสียงชีว์ๆ ของมีดที่กำลังเจียระไนทองและสลักหยกแล้ว นานๆครั้งจึงจะมีเสียงพูดพึมพำของช่างฝีมือสองสามคนหารือกันเรื่องลวดลายของงานหัตถกรรม
กำแพงหินที่วางเรียงซ้อนกันที่ใกล้กับฟากงานศิลปะ คือกองหินขาวที่ถูกนำมาจากทั้งในและนอกวัง แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนความเย็นของศิลาหยกยังทะลุออกมาได้ และเมื่อผ่านมือของช่างทองก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับมังกรทองขนนก ปลาเหอเหอ สิ่งมงคลต่างๆ หรือหยกสลักแพรผ้าไหมทองที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นมงกุฎหยกเพื่อจะถวายต่อองค์เฉิงเฟิ่งในเร็วๆนี้ หยกที่ใช้มาจากเมืองเหลียงเฉิงจึงล้ำค่ามาก
ที่ลานด้านหน้าจะพบตึกห้าชั้นสามหลังตรงประตูยูว่ นั่นคือส่วนของโถงเครื่องหล่อและขัดเงา ที่มีทั้งโรงหล่อและโรงกลั่น
ข้างในโรงหล่อมีแสงไฟปะทุจนใบหน้าของช่างฝีมือถูกไฟโลมเลียจนแดงก่ำ อุณหภูมิของทั้งในและนอกห้องที่ก่อด้วยอิฐช่างต่างกันสุดขั้วมุกน้ำเมื่อกระทบเข้ากับผนังก่ออิฐของโถงเครื่องหล่อปรากฏควันขาวฟุ้งออกมา ส่วนน้ำทองคำก็หลอมละลายเมื่อเทลงในถังกระบอกทรงกลมกลายเป็นแผ่นบางๆ ทันที
ช่องว่างที่กั้นระหว่างโรงหล่อและโรงกลั่นเหมือนแค่แผ่นทองบางเบาที่ขวางกั้นเท่านั้น ดังนั้นในเวลากลางวันต่างก็จะมีเสียงเคาะดังราวเสียงปีกของจักจั่นหรือไม่ก็เสียงเหมือนกระสุนแตก
ภาพในส่วนห้องสามสี่เหลี่ยมนั้นช่างยุ่งวุ่นวาย เดิมทีสถานที่แห่งนี้น่าจะเฟื่องฟูรุ่งเรือง แต่ทว่าสำนักหนิงกวงหยวนกลับถูกปกคลุมอยู่ในท่ามกลางเมฆหมอกที่ไม่สามารถอธิบายได้
ผู้ดูแลสำนักหนิงกวงหยวน นั่งพิงโต๊ะเตี้ยของห้องพักผ่อนของสำนักผ่อนคลายความยุ่งเหยิงในจิตใจ เมื่อยามรุ่งอรุณผู้ว่าการเส้าสั่งให้คนส่งข่าวว่าได้รวบรวมหลักฐานความผิดทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วและหลักฐานเหล่านั้นก็ถูกเก็บซ่อนไว้ในที่ลับไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางควรจะวางใจแต่เพราะเหตุใดกันเล่ายิ่งมาก็ยิ่งร้อนรนไม่สงบสุขเช่นนี้กันนะ?
คืนวันนั้นห่างจากปักกิ่งสองช่วงถนนตรงบริเวณเป่าคังเหมินเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
ไฟแห่งฤดูใบไม้ร่วงโหมกระหน่ำลุกลามรุนแรง ไฟไหม้ช่างทำให้ผู้คนตื่นตระหนก เปลวไฟลามเลียไปถึงครึ่งถนน กว่าจะถูกดับลงได้บ้านเรือนกว่าร้อยหลังคาก็ถูกเผาวอดวาย ซากศพคนตายและคนบาดเจ็บเมื่อคำนวณแล้วนับเป็นๆ ร้อยคน ทั่วบริเวณล้วนคือเสียงคร่ำครวญไว้ทุกข์ที่ยากจะเลือนหาย
เหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์ มันเป็นความเลวร้ายที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ความจริงคดีนี้ควรจะราบรื่นดี หากผู้ว่าการราชทัณฑ์จะไม่ได้รับสมุดบัญชีจากผู้ช่วยซึ่งเป็นรายละเอียดทรัพย์สินที่บ่งชี้ว่าหัวหน้าราชทัณฑ์ฉุยเกิดความโลภจนยักยอกเงินเอาไว้
เรื่องนี้ทำให้รุ่ยฮ่องเต้พิโรธมากและเกิดความสงสัย จึงรับสั่งให้มีการตรวจสอบคดีเพื่อไม่ให้หัวหน้าราชทัณฑ์ฉุยต้องมีความผิด
ช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน ภายใต้การตรวจสอบของผู้ว่าการเส้าและเสนาบดีทั้งหกมีขุนนางและเจ้าหน้าที่นับไม่ถ้วนทั้งที่ถูกไล่ออกและถูกสับเปลี่ยนตำแหน่งเสนาบดีธรรมการแห่งสำนักหนิงกวงหยวนก็เช่นกันที่ถูกให้พ้นจากหน้าที่
ฤดูใบไม้ร่วงอันศักดิ์สิทธิ์ของปีหย่งหนิงที่สิบเจ็ด ณ ถนนเป่าคัง รุ่ยฮ่องเต้เสด็จออกพระราชทานแจกจ่ายสิ่งของแก่ชาวบ้านที่ประสบเคราะห์กรรมจากเหตุการณ์ไฟไหม้เป็นการส่วนพระองค์ ปรากฏเป็นถ้อยคำ’ กษัตริย์รักปวงชน ภัยร้ายย่างกราย เถ้ากระดาษปลิวร่อนดั่งพายุบ้าคลั่งทั่วปฐพีทุกข์ระทมโศกสลดยากมลาย ขอสักการะฟ้าดินให้ทวยเทพจงสำราญด้วยเครื่องบูชา’
หลังจากนั้นไม่นานราชวงศ์ซ่งใหม่ก็เข้าสู่ฤดูหนาวหิมะแรกโปรยปรายทั่วทั้งเมืองหลวง ทีละชั้นทีละชั้นค่อยๆ ปกคลุมซากก้อนอิฐเศษหินที่เหลืออยู่ความทุกข์โศกของผู้รอดชีวิต ณ เป่าคังเหมิน อดีต… ก็คืออดีต…