บันทึกมงกุฎขนนก - ตอนที่ 19
บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 18 เหตุผลที่ถูกต้อง
ฮวาหว่านหยุดพักผ่อนหนึ่งวัน นางตั้งใจว่าช่วงเวลาเว่ยจะรีบไปที่อำเภอทงสวูที่อยู่ติดกับอำเภอกวงหยาง เพื่อโดยสารรถลาร่วมกับบ้านของเหอจินกลับไปยังโรงเรียนช่างศิลป์
นางเก๋อซื่อห่อขนมเปี๊ยะพุทราใบบัวสองก้อนให้กับฮวาหว่าน ใบหน้ากล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ไปเถอะ จะได้เอาไว้กินระหว่างทาง”
ฮวาหว่านโค้งคำนับไปทางนางเก๋อซื่อ รับขนมเปี๊ยะมาเก็บไว้ในตะกร้าหนังสือ เมื่อถึงตอนที่จะกล่าวคำอำลานางเก๋อซื่อนั้นที่ด้านนอกก็มีเสียงเบาๆ
นางเก๋อซื่อเหนียดปากพูด “เจ้าเซียงลี่คนนี้ไม่ใช่ถูกบิดาลากกลับไปแล้วหรอกเหรอ เหตุใดยังมาที่นี่ได้”
ตอนที่ฮวาหว่านไปถึงสวน ก็เห็นเซียงลี่อุ้มตะกร้าที่มีกุ้งอยู่ตครึ่งหนึ่งข้ามาอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นฮวาหว่านก็กล่าวอย่างดีใจ “พี่สาวหว่าน กุ้งครึ่งตะกร้านี้เป็นของท่าน ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านพ่อข้าถึงต้องโกรธท่านลุงหลี่ พวกผู้ใหญ่เคืองกันไม่สบายอกสบายใจก็ช่างสิ อาศัยอะไรถึงจะไม่ยอมให้ข้ามาเล่นกับท่าน เดือดร้อนข้าต้องแอบหลบซ่อนออกมาข้างนอก พี่สาวหว่าน ท่านรีบเอากุ้งไปเทลงโอ่งเถอะ ข้าจะต้องกลับบ้านแล้วล่ะ จะได้ไม่ถูกดุเอา”
“อืม!” ฮวาหว่านเห็นสถานการณ์แล้วก็ไม่บ่ายเบี่ยง รีบให้นางเก๋อซื่อรับกุ้งไปเก็บไว้ แล้วจึงคืนตะกร้าให้เซียงลี่ ฮวาหว่านหยิบต้นการบูรออกมา “เซียงลี่ คือไม้การบูรแกะสลักข้ามอบให้เจ้า ข้ายังพันตัวอักษรมงคลไว้ด้วย เจ้าจะได้ผูกไว้ที่ไม้แกะสลักคาดเอว”
เซียงลี่รับไม้แกะสลักด้วยความดีใจ “สวยจังเลย พี่สาวยิ่งมายิ่งสุดยอดเลย”
เซียงลี่ตื่นเต้นจนออกแรงดึงแขนของฮวาหว่าน หลังจากหยิบไม้แกะสลักแล้วก็ยังอาลัยอาวรณ์ที่จะเดินจากไป คิดอยากจะพูดคุยกับฮวาหว่านอีกสักหลายประโยค ทั้งยังกลัวว่าจะถูกบิดามารดาจับได้ว่าแอบหนีออกมา ร้อนอกร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก
ฮวาหว่านยื่นมือออกมา พูดย่างขันๆ “ เซียงลี่เจ้ารีบกลับไปเถอะ ข้าเองก็จะต้องกลับโรงเรียนช่างศิลป์แล้วเหมือนกัน”
เซียงลี่เก็บไม้แกะสลักไว้ในอกเสื้อ ผงกศีรษะ “พี่สาวหว่านครั้งหน้าเมื่อท่านกลับมา อารมณ์โกรธเคืองของพวกผู้ใหญ่คงจะมอดลงแล้ว ข้าค่อยมาหาพี่สาวหว่านนะ” พูดแล้วเซียงลี่ก็หมุนตัววิ่งออกไปจากสวนเล็ก
รอจนฮวาหว่านรีบมาที่อำเภอทงสวู เป็นเวลาที่รถลาบ้านเหอจินมาถึงพอดิบพอดี
เหอจินกับหลินซีเหมือนกันตรงที่บิดาเป็นคหบดีท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของอำเภอทงสวู มีหมู่บ้านที่เขตชานเมืองของเมืองหลวง ซึ่งที่นั่นมีที่ดินดำผืนหนึ่งที่ปลูกต้นเชอรี่แดงไข่มุก และมีชื่อเสียงอันดีงามว่า “ดั่งไข่มุกที่ไม่ทะลุผ่าน ดั่งไฟที่ไม่เผาไหม้มนุษย์” ทั้งยังนำเป็นเครื่องถวายบรรณาการให้กับฮ่องเต้
รถลาเดินทางบนทางหลวง บริเวณพื้นที่เขียวชอุ่มใกล้เคียงถูกนักเดินทางที่เร่งรีบทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นละอองฝุ่นบางเบา รถลาโคลงไปเคลงมา ฮวาหว่านรู้สึกเบื่อที่ไม่มีอะไรทำ จึงชวนเหอจินคุยเรื่องการขึ้นภาษี
เหอจินทำหน้าจืดชืดขณะที่ฟัง ฮวาหว่านจึงเข้าใจว่านางรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวบ้านอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเหอจินถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “อย่างนี้จะมีอะไร มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้นเอง”
เห็นฮวาหว่านทำหน้าประหลาดใจขณะที่มองนาง เหอจินจึงเหลือกตาขาว “เจ้านี่ช่างโง่เขลาแล้วยังอวดฉลาดนัก เจ้าคิดละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือยังว่า ทุกวันนี้ที่เจ้าไม่ต้องเดือดร้อนใจเรื่องกินอยู่เสื้อผ้าสวมใส่? แถมยังมีวัสดุทองหยกไม้ต่างๆที่ใช้ในเป็นประจำทุกวันพวกนั้นอีก ไหนจะไม่ใช้เงินกัน? เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นร่วงหล่นมาจากฟ้าหรืออย่างไร? สิ่งพวกนี้ล้านแล้วแต่ขูดรีดมาจากชาวบ้านทั้งสิ้น แต่ว่าในอนาคตพวกเราก็จะเป็นคนของทางการ ทั้งยังเป็นข้ารับใช้ของฮ่องเต้ ดังนั้นหนี้พวกนี้ไม่สามารถมาเรียกร้องที่พวกเราได้หรอกนะ”
ฮวาหว่านทำจมูกยื่น ในใจเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง คำพูดของเหอจินช่างมีเหตุมีผล
“หากเจ้ามีความเห็นใจออกมาจากใจจริง ต่อไปทุกเดือนเงินของเจ้าก็เอาไปจ่ายภาษีให้กับชาวบ้านเสียสิ แต่ก็น่าเสียดายที่เงินเหล่านั้นมันช่างน้อยนิดเดียวไม่พอที่จะแก้ปัญหาหรอกนะ เล็กน้อยนิดเดียวเท่านั้นจริงๆ” ปากของเหอจินยังไม่ยอมเลิกรา ยื่นมือหยิบป้ายรูปสลักศาลาบนเขาตรงหน้าอกที่ฮวาหว่านห้อยไว้ขึ้นมา ป้ายนั้นก่อนหน้านี้ฮวาหว่านเก็บไว้ในแขนเสื้อ คิดไม่ถึงว่าจะลอดออกมาครึ่งหนึ่งจนภชถูกเหอจินเห็นเข้า
“ป้ายบนร่างของเจ้านี้ก็ใช้ชาวบ้าน…….” เหอจินหยุดปาก กล้ำกลืนน้ำลายลงคอ ปล่อยมือที่ถือป้ายลงให้ห้อยลงตรงหน้าอกของฮวาหว่านเช่นเดิม เดิมทีนางมองอย่างชัดเจนว่าวัสดุที่ใช้ทำป้ายก็คือไม้ไผ่แผ่นหนึ่ง หากไม้ไผ่นั้นเป็นไผ่ที่มาจากต้นที่งอกงามสมบูรณ์แบบ รูปแบบลวดลายก็เป็นฮวาหว่านแกะสลักขึ้นเอง ไม่สามารถที่จะดูว่าไร้ค่าได้เลย
คำพูดคงไม่สามารถกล่าวได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เหอจินยื่นมือที่เผยให้เห็นเชือกหยกสีเขียวมรกตอมน้ำเงินบนข้อมือ แต่เส้นเชือกนั้นยังวคงไม่ประณีตพอ ยังมีลูกปัดหยกเล็กๆที่ยื่นออกมา พูดอย่างไม่คิดว่า “ในโรงเรียนช่างศิลป์สิ่งที่ไร้ค่าไม่ต้องการแต่สำหรับชาวบ้านล้วนแต่เป็นสิ่งล้ำค่า”
ฮวาหว่านหมุนป้ายไม้ไผ่ของตัวเอง เงียบไปชั่วขณะจึงกล่าว “เชือกข้อมือถักของเจ้าสวยงามจัง”
“สามารถเข้าไปในโรงเรียนช่างศิลป์ได้ไหนเลยจะไม่มีฝีมืออยู่บ้างเล่า?” เหอจินลูบชุดเสื้อกระโปรงฤดูใบไม้ร่วงที่ส่งกลิ่นหอมของตนเอง พิงตัวบนเบาะหญ้า ขี้เกียจที่จะคุยเรื่องหลักการเหตุผลกับฮวาหว่านอีก
ฮวาหว่านเองก็ไม่อยากเอ่ยปากพูดคุยเช่นกัน
เวลาเซินพอดิบพอดี รถลาก็มาส่งทั้งสองถึงโรงเรียนช่างศิลป์ หลังจากที่ฮวาหว่านกล่าวของคุณเหอจินแล้วก็กลับห้องพัก สามคนที่เหลือต่างก็กลับมาถึงแล้ว กำลังล้อมรอบปรึกษาพูดบางเรื่องกันอยู่ บนโต๊ะยังวางไว้ด้วยเดือยทองแดงแผ่นบางๆ ขนาดราวสามนิ้ว
ฮวาหว่านวางตะกร้าลงเดินเข้าใกล้ด้วยความประหลาดใจ “นี้คือการบ้านที่ท่านอาจารย์มอบให้ใหม่ใช่หรือไม่?”
หลินซีจูงฮวาหว่านมาใกล้ตนเอง “ไม่ใช่หรอก พวกเราต้องการเริ่มฝึกฝนการทำลวดลายแบบเส้น การขัดเงา การเคลือบ อะไรพวกนี้ อาหว่าน เจ้าพูดสิว่าข้ากับพี่หรูอิงคิดจะไปสำนักอักษร ฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ก็พอเข้าใจ แต่เจ้ากับจื่อหรงต้องการไปสำนักหนิงกวงหยวนเพื่อทำเครื่องประดับ เรียนแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน”
ฮวาหว่านหยิบเดือยทองบางเฉียบอันหนึ่งเพ่งมองลวดลายอย่างละเอียด ฟังคำพูดแล้วก็ยิ้มบางๆ “คำพูดนี้ผิดแล้วล่ะ การทำลวดลายเส้น การขัดเงาเหล่านี้ไม่ว่าจะประดิษฐ์เครื่องประดับหรือทำของใช้ต่างๆ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญ จะต้องตั้งใจศึกษาให้ดีทั้งยังต้องหมั่นฝึกฝนให้มากๆ ส่วนที่ว่าการฝังเลี่ยมสารเคลือบผิวบนเครื่องประดับแม้จะไม่ต้องให้สำนักหนิงกวงหยวนเป็นคนทำเทคนิคการเผาด้วยตนเอง แต่ยังคงต้องแยกแยะให้ได้ว่าดีหรือไม่ดี เรียนรู้ให้มากที่สุดย่อมเป็นผลที่ดีกว่า
“ดีแล้วล่ะ เจ้าพูดถูกแล้ว” หลินซีผลักฮวาหว่านเบาๆ แล้วก็กล่าวอย่างกลุ้มใจ “อ๋ายส์ ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องวาดภาพลวดลายอะไร เทคนิคการทำลวดลายเส้นข้าเองไม่มีฝีมือเลยจริงๆ อันที่ซับซ้อนยิ่งไม่ได้กันไปใหญ่”
ก่อนทำลวดลายเส้นจะต้องใช้พู่กันขนหมาใน ดินสอถ่านและพู่กันทรงมีดเพื่อวาดแบบบนเดือยทองแดง ฮวาหว่านไตร่ตรองชั่วขณะ กล่าวกับหลินซี “ถ้าหากไม่ฝึกให้ชำนาญแล้วล่ะก็จะไม่สามารถเริ่มทำงานที่มีความซับซ้อนกว่าได้ พี่สาวซี ท่านเคยคิดเรื่องภาพวาดสามสหายแห่งเหมันต์ ทิวทัศน์ของต้นไผ่ยามตะวันตกดินนั้นก็ดีมากเลยนะ” (สามสหายแห่งแหมันต์ =岁寒三友 ได้แก่ ต้นสน (松)ต้นไผ่ (竹)และต้นเหมย (梅))
ขณะที่หลินซีกำลังที่จะกล่าวคำปลอบใจ หวาจื่อหรงกลับพูดเสียงสูงขึ้น “ข้าวางแผนจะวาดภาพต้นไผ่มานานแล้ว พวกเจ้าอย่ามาแย่งข้านะ”
“ตอนแรกไม่ยอมเอ่ยปาก พอหลังจากฮวาหว่านออกความเห็นถึงยอมพูดเรื่องของตัวเอง ช่างกลั่นแกล้งคนแท้” หลินซีกระซิบกระซาบอย่างไม่พอใจ
“ที่มากก็คือความหลากหลายของภาพดอกไม้ จื่อหรงวาดโครงต้นไผ่ พี่สาวซีสามารถก็ต้นเหมยก็ได้ บนภาพแต้มนกกางเขนมงคล ‘ความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้า’ ดีไหม?” ฮวาหว่านหรี่ตาแล้วจึงแสดงความคิดออกมาอีก
“ ‘ความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้า’ เปรียบกับ ‘ความยินดีแห่งไผ่มรกต’ คิดแล้วท่านอาจารย์ลู่ต้องพอใจแน่ ” หลินซีหรี่ยั่วยุไปทางหวังจื่อหรง หยิบลูกเดือยบางเบาของตนเอง จูงมือฮวาหว่านไปทางด้านอื่น
เมื่อห่างจากหวังจื่อหรงและเซียะหรูอิงสักระยะหนึ่งแล้ว หลินซีก็กล่าวขอร้องเสียงต่ำ “อาหว่าน ก่อนหน้านี้ที่เจ้าแกะสลักปิ่นปักผมไม้ชิ้นนั้นสวยงามมาก พรุ่งนี้เจ้าแกะสลักอีกอันมอบให้ข้าเถอะนะ”
“ใช่แล้ว อาหว่าน เจ้ารู้เรื่องตงเยว่หลานของห้องสามหรือไม่?” หลินซีแม้จะสอบถามฮวาหว่าน แต่กลับไม่ให้เวลาฮวาหว่านได้ตอบคำถามเอาเสียเลย นางสูดลมหายใจแล้วกล่าวคำพูดต่อ “ก่อนหน้านี้นางได้ไม้ต้นจันทน์แดงลายเส้นเนื้อไม้ดีอย่างยิ่งแถมยังมันวาวราวกับผ้าไหม และได้ยินว่าเจ้าเพิ่งจะมาโรงเรียนศิลป์แต่ก็มีความชำนาญทางเทคนิคการแกะสลักแล้ว เลยอยากจะขอร้องเจ้าให้ช่วยแกะสลักต้นจันทน์แดงลายดอกบัว ถ้าหากว่าสามารถเพิ่มเป็ดแมนดารินคู่ได้ก็จะยิ่งดีไปเลย”
“ก็ได้นะ” ฮวาหว่านเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับต้นจันทน์แดงมาบ้าง หากแต่ยังไม่เคยแกะสลักวัสดุอย่างต้นจันทน์แดงมาก่อนเลย ในใจจึงมีแต่ความเฝ้าคอย จึงไม่คิดอะไรให้มากมาย ตกปากรับคำทันที
การวาดโครงร่างทิวทัศน์บนเดือยทองแดงนั้น ไม่ว่าจะเป็นลายเส้น การเจียระไน ต้องใช้เวลาสองสามวัน ฮวาหว่านยังใช้นอกเวลาจากการประดิษฐ์เดือยทองแดงและเคลือบผิวด้วยนั้น ทั้งยังทำปิ่นไม้ปักผมที่หลินซีขอร้องให้ทำเสร็จอีกสองอันด้วย ความหอมบริสุทธิ์ของต้นจันทน์แดงนั้น เมื่อสูดดมแล้วทำให้คนมีจิตใจสงบ จึงเป็นสิ่งของที่ฮวาหว่านทำแล้วชื่นชอบเป็นอย่างมาก และเป็นที่คาดการณ์ได้เลยว่าไม้จันทน์แดงนี้เมื่อเก็บไว้นานเป็นสิบปีก็จะยิ่งล้ำค่ามากขึ้นไปอีก
ส่วนลูกเดือยทองแดงของฮวาหว่านนั้นแกะสลักเป็นรูปเป็ดแมนดารินมรกตคู่ในสระที่มีพันธุ์ไม้เลื้อยเต็มสระที่อ่อนช้อยงดงาม แต่กลับมีปัญหากับไม้ต้นจันทน์แดงของตงเย่วหลาน