บันทึกมงกุฎขนนก - ตอนที่ 4
บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 3 ชะตากรรม
อาศัยนิสัยเซียงลี่ที่ชอบก่อเรื่องหยอกล้อให้คนอื่นมีความสุข ฮวาหว่านจึงได้มาที่บ้านสกุลโม่หลายครั้ง ถือได้ว่าคุ้นเคยกับคนบ้านโม่เป็นอย่างดี
บิดามารดาของเซียงลี่อยู่ในสวนกำลังปรึกษากันเรื่องการแต่งงานของพี่สาวคนที่สอง ฮวาหว่านยกมือคำนับอย่างนอบน้อม ทักทายท่านอาและอาสะใภ้ด้วยความเคารพ เซียงลี่กลับตะโกนทักแล้วก็วิ่งไปหยิบขนมเปี๊ยะดอกชบาในบ้าน
อาสะใภ้โม่ทักทายฮวาหว่านกลับ คิดถึงบุตรสาวตนเองกระโดดโลดเต้นราวลิงน้อย อดไม่ได้ที่จะกล่าว “ไม่แปลกที่เซียงลี่ชอบที่จะติดตามสาวน้อยที่มาจากในเมืองผู้นี้ แต่กลับไม่ได้เรียนรู้กิริยาของนางสักครึ่งหนึ่งเลย”
เมื่อตอนที่ฮวาหว่านถูกรับมาอยู่ที่หมู่บ้านหยุนเซียวนั้น คนบ้านโม่ก็ได้ทราบเรื่องราวของฮวาหว่านของนางเก๋อซื่อมาบ้างแล้ว ว่าเป็นเด็กไร้ที่พึ่งพิงจากบิดามารดา เมื่อมองดูรูปร่างที่ผอมแห้งอ่อนแอ ก็คิดว่าฮวาหว่านคงไม่สามารถใช้ชีวิตในหมู่บ้านชนบทได้เป็นแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมองผิดไป
คนในหมู่บ้านให้ความสำคัญกับมือที่หยาบกร้านและโพกผาย บรรดาพวกมีความรู้และสวยงามไม่มีประโยชน์อันใด ไม่สามารถพึงพิงให้ปากท้องอิ่มได้
ฮวาหว่านเองไม่คิดว่าคำพูดของอาสะใภ้โม่คือคำชมอันใด แต่ริมฝีปากยังเผยอแย้มยิ้ม “น้องเซียงลี่เป็นเด็กรู้ความ ทุกวันมักคอยดูแลและช่วยเหลือข้าหลายอย่าง”
อาสะใภ้โม่ได้ยินฮวาหว่านชมเชยเซียงลี่ก็ชอบใจ รอยยิ้มบนหน้าขยายขึ้นอีกหลายเท่า ตะโกนไปทางห้องให้เซียงลี่หยิบขนมเปี๊ยะมาให้ฮวาหว่านมากหน่อย
ท่านอาโม่จัดอานของรถลาเรียบร้อยแล้ว จึงนั่งลงบนมุมหินที่ถูกขัดจนเรียบ นั่งรอเพื่อนร่วมทางที่จะเข้าเมือง ดวงตามองไปยังต้นหญ้าในมือของฮวาหว่าน พลันนึกถึงปิ่นปักผมที่ฮวาหว่านมอบให้เซียงลี่ ถามอย่างประหลาดใจ “สาวน้อยบ้านหลี่ ปิ่นปักผมของอาลี่เป็นเจ้าทำเองใช่หรือไม่?”
ฮวาหว่านตะลึง ผงกศีรษะอย่างซื่อสัตย์ “ในชนบทมีต้นหญ้าตั้งหลายชนิด ดีที่เซียงลี่ไม่รังเกียจ”
“ฮา ฮา ของเล่นนี้ประณีตยิ่งนัก แม้แต่เด็กสาวในเมืองหลวงยังต้องชื่นชอบ เจ้าลี่น้อยจะรังเกียจได้อย่างไรกันเล่า” ท่านอาโม่หัวเราะลงลูกคอ
ฮวาหว่านหัวเราะตามคำพูด ที่ท่าอาโม่กล่าวถึงเด็กสาวในเมืองหลวง คงเป็นเด็กสาวชาวบ้านตามตรอกซอกซอยกระมัง เด็กสาวจากบ้านผู้ดีมีตระกูลไหนเลยจะชายตาแลมองเครื่องประดับหญ้าพวกนี้
“สาวน้อยบ้านหลี่ เจ้าต้องวางแผนทำเครื่องประดับสักหลายๆชิ้นส่งเข้าไปในเมือง ปิ่นหญ้าหนึ่งชิ้นอย่างน้อยต้องได้สักสามเหรียญ ถ้าเพิ่มราละเอียดอีกหน่อยต้องได้ถึงห้าเหรียญเชียวนะ” โม่ฟู๋ทำการค้าในเมืองหลวง สมองย่อมคำนวณว่องไว สายตาย่อมแหลมคม เมื่อคืนเขามองเห็นปิ่นหญ้า ในใจย่อมคำนวณแล้ว คิดจะใช้พื้นที่หน้าร้านขายสมุนไพรหอมของเถ้าแก่อัน
เมื่อวันก่อนเถ้าแก่อันมีจดหมายมาถึง วางแผนจะจะรวบรวมเครื่องประดับชิ้นเล็กมอบให้แก่ลูกค้าของร้าน เดิมทีตกลงจะมอบรูปปั้นดินตัวเล็กๆ แต่รูปปั้นดินพวกนั้นตัวหนึ่งอย่างน้อยต้องใช้เงินสิบเหรียญ
สมุนไพรหอมในร้านของเถ้าแก่อันทำมาจากการเผาต้นหญ้าสมุนไพร ดังนั้นเครื่องประดับหญ้าย่อมเหมาะสมมากกว่ารูปปั้นดิน
โม่ฟู๋ยังนึกเสียดายพรสวรรค์ของฮวาหว่าน จึงอยากถือโอกาสนี้ ใช้ความบริสุทธิ์ใจของเถ้าแก่อัน ช่วยฮวาหว่านมีช่องทางหาเงิน
ฮวาหว่านตกตะลึง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าเครื่องประดับหญ้าจะทำเงินได้ จึงกล่าวตามตรงว่าตัวนางเองไม่เคยคิดจะทำการค้าขายจากสิ่งพวกนี้ ฮวาหว่านครุ่นคิด แล้วจึงปฏิเสธอ้อมๆ “ขอบคุณกับความหวังดีของท่านอาโม่ ข้าเพียงแค่ใช้เวลาว่างทำของเล่นพวกนี้เท่านั้น ส่งเข้าไปขายในเมืองเกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะเยาะเอาเท่านั้น ยังคงอย่าเลยดีกว่า ข้าไม่อยากรบกวนท่านอาโม่ฟู๋”
โม่ฟู๋กล่าวอย่างเสียดาย “ท่านอาของเจ้าบอกว่าได้ก็ได้สิ แต่ว่าถ้าหากเจ้าไม่เต็มใจจะทำการค้านี้ ข้าก็ไม่บังคับ” ในใจของโม่ฟู๋ทราบดี ถึงแม้ว่าเถ้าแก่อันจะไม่รับ เครื่องประดับหญ้าของนางก็ย่อมมีช่องทางทำเงินอยู่แล้ว
ที่ตรงนี้กำลังพูดคุย ทางนั้นเซียงลี่กำลังนำกระดาษน้ำมันห่อขนมเปี๊ยะที่ถูกวางเป็นชั้นๆ แล้วนำมายัดส่งให้ฮวาหว่าน ด้านข้างอาสะใภ้โม่กำลังหน้าตึง
แม้ว่าใบหน้าของอาสะใภ้โม่จะไม่ได้เปลี่ยนสี ฮวาหว่านก็ยังไม่กล้ารับ ปฏิเสธได้สักพัก สุดท้ายฮวาหว่านจึงได้แต่หยิบขนมเปี๊ยะดอกชบาและขนมเปี๊ยะหวานไปอย่างละชิ้น
เซียงลี่ยื่นขนมเปี๊ยะที่เหลือให้อาสะใภ้หว่าน กำลังจะลากฮวาหว่านไปเก็บผักป่ากับทำปิ่นหญ้า ในห้องกลับมีเสียงของพี่สาวคนที่สองดังขึ้นมา น้ำเสียงร้อนรน เหมือนกำลังต้องการให้เซียงลี่เข้าไปช่วยอันใด
เซียงลี่มองฮวาหว่านอย่างลำบากใจ ฮวาหว่านชูขนมเปี๊ยะดอกชบาในมือ “ครั้งนี้ข้ามาเพื่อหยิบของกิน เจ้ารีบเข้าห้องไปเสียเถอะ พรุ่งนี้พวกเราค่อยเล่นกันอีก”
เซียงลี่รับคำอย่างหนักแน่น คลี่ยิ้มกว้าง มองเห็นฟันสองเขี้ยวราวกับฟันของเสือ
ฮวาหว่านกล่าวอำลาท่านอาและอาสะใภ้โม่ จึงกลับบ้านหลี่ นางไตร่ตรองว่าจะนำขนมเปี๊ยะทั้งสองชิ้นนั้นไปให้พี่ชายที่สำนักปราชญ์ ทุกวันท่านพี่ต้องเรียนหนังสืออย่างยากลำบาก ควรจะได้ลิ้มลองขนมรสเลิศของเมืองหลวงเสียบ้าง
เมื่อมาถึงรั้วของลานเล็กบ้านสกุลหลี่ กำลังที่จะเปิดประตู ฮวาหว่านก็ได้ยินเสียงท่านลุงและท่าป้าคุยกันที่ด้านใน แถมยังเอ่ยถึงชื่อของนางกีด้วย
ฮวาหว่านชะงักฝีเท้า
“เจ้าเข้าใจว่าในบ้านเพิ่มคนมาอีกคนคือฮวาหว่านแล้วเรื่องราวมันจะง่ายดายอย่างนั้นหรือ ที่ไหนจะไม่ต้องใช้เงินกัน?หากเพียงแค่เรื่องอยู่กิน เสื้อผ้าก็น่าจะพอแล้ว อนาคตก็ต้องแต่งงาน ในหมู่บ้านไม่มีบ้านไหนที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของนางตายยังไง แต่ละบ้านแค่ไม่คิดว่าเป็นนางเป็นตัวเคราะห์ร้ายก็ดีแค่ไหนแล้ว ไหนเลยจะกล้ารับเข้าบ้าน ถึงแม้ว่านางจะหน้าตาสวยงามน่ารับเข้าตระกูล แต่พวกเราก็ไม่มีทรัพย์สินเดิม(ของหมั้นหมายทางฝ่ายเจ้าสาว) ให้นางหรอกนะ” นางเก๋อซื่อพลันกล่าวเสียงเบาลง “เฮอะ สินสอดหมั้นหมายของเหรินเอ๋อก็ต้องไม่ขาดตกบกพร่องนะ”
หลี่ชางม่านไม่พอใจรุนแรง “ถ้าไม่ใช้เพราะเจ้าปากมาก คนในหมู่บ้านไหนเล่าจะรู้เรื่องของหว่านน้อย ส่วนพวกของหมั้นหมายกับสินเดิมของฝ่ายหญิง ข้ามองดูแล้วเหรินเอ๋อกับหว่าน้อยก็เหมาะสมกันดี พวกเขาเมื่ออยู่ด้วยกัน พวกเราก็ประหยัดขึ้นตั้งมาก”
นางเก๋อซื่อสบถเสียงดัง “เชอะ งามล่ะพวกเจ้า” น้องชายข้าเก๋อต้าหลางสอบเป็นขุนนางรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าห้องเครื่องของฮ่องเต้ ไหนเลยที่บุตรสาวของเขาจะชายตาแลเหรินเอ๋อของพวกเรา อีกไม่กี่ปีเหรินเอ๋อก็จะต้องเข้าสอบขุนนางชุนแหว่ยแล้ว (การสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วง) ยังจะต้องขอความช่วยเหลือจากบ้านสกุลเก๋อ เจ้าอย่าทำให้การแต่งงานครั้งนี้เสียเรื่องไปเสียล่ะ”
“บิดาของหว่านน้อยก็เป็นขุนนาง……”
คำพูดของหลี่ชางม่านยังไม่ทันจะกล่าวจบก็ถูกนางเก๋อซื่อขัดขึ้น “ขุนนางที่ตายแล้วจะพูดอะไรได้? ยังไม่พูดถึงมารดาของหว่านน้อย เมื่อแรกเหตุใดถึงถูกใจคนวาสน้อยของตระกูลฮวากันนะ ตอนนี้ยังทิ้งเด็กที่เอาแต่สิ้นเปลืองข้าวเปลืองน้ำมันไว้กับพวกเราอีก”
“พอแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่…”
มือของฮวาหว่านที่วางบนสลักประตู เดิมเตรียมจะผลักเข้าไปแต่กลับไม่ยอมขยับ ทั่วสรรพางค์กายตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้าเหมือนจะกองลงมา
ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ฮวาหว่านจึงหมุนร่างเดินจากไป มุ่งตรงไปยังบ้านของเซียงลี่ ในใจคาดหวังว่าโม่ฟู๋จะยังคงไม่ไปเมืองหลวง
“ท่านอาโม่ฟู๋” ฮวาหว่านมาถึงบ้างเซียงลี่ทันกับที่โม่ฟู๋กำลังลากรถลาออกเดินทาง
“หว่านน้อยเป็นไรแล้ว?”
“ท่าอาโม่เมื่อครู่ที่ท่านกล่าวว่าถึงเรื่องที่เครื่องประดับหญ้าสามารถทำเงินได้สามเหรียญยังจะรักษาคำพูดอยู่หรือไม่” สองมือของฮวาหว่านลูบคลึงชายเสื้ออันหยาบกร้านไปมา ปลายเล็บแกะไปตามรอยย่นของชายเสื้ออันหยาบกร้าน
“รักษาสัจจะแน่นอน เรื่องการนำสิ่งไม่มีค่างวดมาสร้างเงินได้นี้ เด็กน้อยเจ้าอย่าพลาดไปล่ะ”
ฮวาหว่านกัดริมฝีปากเบาๆ “ก่อนนั้นข้ายังไม่เข้าใจ ท่านอาโม่ ข้าคิดจะรับงานนนี้ แต่ว่าการทำหญ้าประดับนี้คงต้องให้ท่านอาโม่ช่วยทำจึงจะสำเร็จ”
โม่ฟู๋อ้าปากกล่าว “ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ในมือเจ้ามีสินค้าจำนวนเท่าไหร่ ข้าจะติดตัวเข้าเมืองไปให้เถ้าแก่อันพิจารณา หากเป็นไปได้ก็จะขายให้เถ้าแก่อันเสียเลย”
“ตอนนี้ในมือข้ายังไม่มีหญ้าประดับที่ทำเสร็จแล้วเลย…..”
“อย่างนี้” ใบหน้าของโม่ฟู๋แสดงสีหน้าลำบากใจ “ข้าจะต้องรีบเข้าเมือง ประมาณสิบห้าวันถึงจะกลับมา เจ้าไปทำมาก่อน หลังจากสิบห้าวันแล้วค่อยนำมาส่งให้ข้าแล้วกัน”
ฮวาหว่านเมื่อได้ฟังว่าต้องอีกสิบห้าวันก็ร้อนรน นางอยากจะช่วยแบ่งภาระให้กับบ้านหลี่เร็วๆ ช่วยให้พี่ชายมีสินสอดของหมั้นหมาย ไม่อยากที่จะกินอยู่เปล่าๆ “ท่านอาโม่ฟู๋ ถ้าหากว่าท่านสะดวก สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านกับเถ้าแก่อันคนนั้นอาศัยที่ถนนอะไรในเมือง ผ่านไปอีกสองวันข้าจะนำเครื่องประดับหญ้าที่ทำเสร็จแล้วไปหาพวกท่าน”
โม่ฟู๋ถึงแม้จะประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงกระทันหันของฮวาหว่าน แต่ร้านของเถ้าแก่อันก็ไม่ใช้ความลับอะไร “ทางเหนือของแม่น้ำเปี้ยน ตรงถนนพันโหลว ข้ามสะพานโจวตรงเข้าไปข้างใน อยู่ด้านข้างจุดพักม้าฮวยหยวน”
ฮวาหว่านโค้งคำนับโม่ฟู๋ “อีกสองวันต้องรบกวนท่าอาโม่ฟู๋แล้ว”
หมู่บ้านหยวนเซียงเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุด ถึงอำเภอกวงหยางก่อน พอขึ้นทางหลวงจนถึงเมืองหลวงระยะทางไม่เกินสามสิบลี้ อาศัยฝีเท้าของฮวาหว่านประมาณสองชั่วยามก็ถึง หากว่าสามารถหายืมรถลาได้ ก็จะยิ่งไปขึ้นไปอีก
ฮวาหว่านเติบโตในเมืองหลวง มีความคุ้นเคยอยู่แล้ว ในใจนางคาดคำนวณไว้อย่างดีแล้ว วันนั้นออกเดินทางยามห้าของเช้าตรู่ เข้าเมืองตรงประตูหนานเฮย พอถึงจุดพักม้าฮวยหยวนส่งเครื่องประดับหญ้าเรียบร้อยก็คงประมาณยามเที่ยง นางสามารถเร่งกลับหมู่บ้านหยุนเซียวได้ก่อนที่จะค่ำพอดี