บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 250 พี่น้องบอกลา / ตอนที่ 251 เช้าวันจากอวี้หยวน
ตอนที่ 250 พี่น้องบอกลา
เซียงฉือได้ฟังคำพูดนั้นแล้ว นางไม่โง่เขลาจึงขยับเข้าไปอย่างว่องไว แล้วคารวะกุ้ยเฟยสามครั้ง
“หม่อมฉันเป็นคนเอาแต่ใจ ตั้งแต่เข้าตำหนักอวี้หยวนมา เพราะได้รับพระเมตตาจึงได้มีวันนี้ได้ พระกรุณาทั้งหลายทั้งปวงหม่อมฉันไม่บังอาจลืมเลือน น้ำพระทัยที่ทรงส่งเสริมให้ความสำคัญ หม่อมฉันย่อมต้องถวายชดใช้เพคะ”
“ขอกุ้ยเฟยทรงคลายพระทัยเถิดเพคะ”
เซียงฉือรู้เจตนาของหลิ่วจุ้ยจึงพูดจาอ่อนข้อต่อจินกุ้ยเฟย รับปากยินดีจะส่งข่าวคราวแก่นางในวันข้างหน้าเพื่อจะให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป และเพื่อให้จินกุ้ยเฟยที่เป็นคนตรงไปตรงมาไม่คิดลงมือลับๆ ต่อนางต่อไป
หาไม่แล้วเรื่องนี้คงไม่อาจผ่านไปได้โดยง่าย จินกุ้ยเฟยถึงจะโกรธแต่ก็รู้ว่าจากนี้ไปเซียงฉือก็จะเป็นคนของฝ่าบาทแล้ว ถึงนางมีนิสัยใจร้อนแต่ไม่บุ่มบ่าม รู้ว่าไม่อาจทำอะไรเซียงฉือได้ก็มิสู้คบกับนางไว้ เพื่อเป็นหนทางหนึ่งในวันข้างหน้า
เมื่อกุ้ยเฟยคิดเช่นนั้นจึงให้เซียงฉือลุกขึ้น ถึงจะยังดูไม่พอใจนัก แต่ก็คร้านจะมองนางอีก จึงได้ให้รางวัลแก่นางตามธรรมเนียมแล้วให้นางกลับออกไป
ตั้งแต่รู้ว่าเซียงซือเข้ากองราชเลขาได้ นางจึงเทใจทั้งหมดไปที่เซียงซือ ตอนนี้เซียงซือก็รออยู่ด้านใน นางจึงไม่ต้องการพัวพันอยู่ด้วย อย่างไรเสียกองราชเลขานั้นสังกัดฝ่ายหน้า โอกาสที่จะกลับมาตำหนักอวี้หยวนของนางมีน้อยแล้ว นางจึงไม่อบรมอะไรให้มากอีก
แต่เซียงซือที่รู้เห็นอยู่ว่าเซียงฉือถูกทำโทษอยู่ข้างนอก กลับยังคงนั่งนิ่งทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่พูดอะไรแทนเซียงฉือสักคำ หวังหมัวหมัวเห็นแล้วห่อเ**่ยวใจ
เซียงฉือคุกเข่าอยู่หนึ่งชั่วยาม ถึงแม้เป็นสาวใช้ถูกทำโทษให้คุกเข่าจะไม่ใช่เรื่องพบเห็นได้ยาก แต่นางสุขภาพอ่อนแอ ถึงจะไม่ได้ป่วยไข้อยู่เสมอ แต่อย่างไรก็เป็นร่างกายของคุณหนูจริงๆ
“เจ้านี่นะ ไม่รู้จักอ้อนวอนขอร้องเจ้านายตลอดเลย เด็กโง่ วันหน้าเข้าไปอยู่ในกองราชเลขา ได้ยินว่าใต้เท้าเหอเป็นคนที่ไม่เห็นแก่หน้าไร้น้ำใจที่สุด แล้วนิสัยเจ้าก็ดื้อรั้นแบบนี้นี่นะ คงมีความลำบากให้เจ้าไปเผชิญแน่ๆ”
เซียงฉือฟังคำพูดของนางแล้วได้แต่ยิ้ม รับยาขี้ผึ้งมาจากนางแล้วเลิกขากางเกงขึ้นทาถู หลิ่วจุ้ยหันหลังให้นางและเงียบไปนาน
“พี่สาวคนดี เหตุใดไม่มาคุยกับข้าเล่า วันหน้าพวกเราคงได้พบหน้ากันน้อยแล้ว”
คำพูดของเซียงฉือฟังสะเทือนอารมณ์ ดวงตาที่หลุบลงต่ำก็ระยิบไหว นางรู้สึกเศร้าใจเช่นกัน ไม่ใช่เพราะรอยบวมแดงที่เท้า
แต่เป็นเพราะไม่อาจจะไม่จากหญิงสาวเบื้องหน้าคนนี้ไปได้
“พี่สาวคนดี พวกเราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่เป็นยิ่งกว่า วันเวลาที่อยู่ในตำหนักอวี้หยวนนี้ขอบคุณที่มีพี่ ข้าถึงได้อยู่มาอย่างราบรื่น จะพูดว่ายังมีชีวิตรอดมาได้ก็ไม่ผิด สถานที่นี้แม้จะเยือกเย็น แต่ว่าใจของพี่กับข้านั้นอบอุ่นเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน”
เซียงฉือดึงมือนางไว้ นางเองไม่ถนัดพูดคำเลี่ยนๆ พวกนี้ แต่เพราะได้เห็นแผ่นหลังผอมบางของหลิ่วจุ้ย ทำให้นึกถึงความช่วยเหลือของนางที่มีต่อตนบนเส้นทางนี้ มิตรภาพเช่นนี้ทำให้นางซาบซึ้งสุดประมาณ
“เด็กโง่ พูดอะไรแบบนั้นเล่า เจ้าสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีได้ ได้เป็นใต้เท้าแล้ว วันหน้าข้ายังต้องอาศัยเจ้าอยู่”
“ถ้าหากสาวใช้ตำหนักอื่นมากลั่นแกล้งข้า ข้าก็จะบอกว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้า ดูซิว่าพวกนั้นยังจะกล้าล่วงเกินข้าอีกหรือไม่”
“เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องทำตัวให้ดีอยู่ในกองราชเลขา อย่าทำให้ข้าต้องขายหน้า”
“ไม่ว่าถึงเมื่อใด ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของฝ่าบาท แล้วเจ้าก็ต้องไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ จะต้องเรียนรู้ที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย นิสัยแข็งกร้าวของเจ้าอย่าได้เอาออกมาใช้อย่างเด็ดขาด รู้ไหม”
หลิ่วจุ้ยปาดน้ำตา ดึงมือเซียงฉือแล้วสำทับเตือนอีกครั้ง
ตอนที่ 251 เช้าวันจากอวี้หยวน
เซียงฉือมองดูท่ายิ้มกะล่อนของนางแล้วก็หัวเราะพรวดออกมา นางกอดซบไหล่หลิ่วจุ้ย ดื่มด่ำกับเวลาแม้เพียงครู่ยาม นางมักจะพูดว่าเวลาผ่านไปอย่างรีบเร่งความจริงการถนอมทุกนาทีไว้จึงเป็นการดีที่สุด
หลิ่วจุ้ยถูกนางกอดไว้เช่นนั้นก็ยิ้ม รู้ว่านางเข้าใจเจตนาของตนจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงลูบมือนาง ทั้งคู่กลับมาหวานชื่นมีความสุขดุจเคย
แต่เช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของหลิ่วจุ้ย เซียงฉือสวมชุดสะอาดเรียบร้อย ชุดข้าราชสำนักสตรีสวมใส่อยู่บนร่างดูมีสง่าราศี หลิ่วจุ้ยมองอย่างยินดี
“ว่ากันว่าคนงามเพราะการแต่งกาย เจ้านี่เหมาะกับชุดข้าราชสำนักมาก เกิดมามีวาสนาคุณหนูนี่นะ”
เมื่อได้รับคำชมจากหลิ่วจุ้ย เซียงฉือผลักนางเบาๆ มองตานางแล้วกอดนางไว้
“ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ต้องขอบคุณท่านพี่มาก ข้าจะจดจำความดีของพี่ไว้ พวกเราจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันชั่วชีวิต”
เซียงฉือกอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดคำซึ้งใจ แต่คนในอ้อมแขนไม่อยู่นิ่ง ผลักไสนางแล้วเร่งพูดขึ้น
“เจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรล่ะนี่ เสื้อผ้าดีๆ ถูกเจ้าทำยับหมดแล้ว เดี๋ยวพวกใต้เท้าในกองราชเลขาพากันหัวเราะเอาหรอก”
เซียงฉือไม่สนใจคำพูดนาง ยังคงกอดเอาไว้แบบนั้น เย้าแหย่อยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยคลายมือ
ทั้งคู่จูงมือกันออกจากห้อง พอพ้นประตูก็เห็นเซียงซือแต่งตัวเรียบร้อย กุ้ยเฟยประทานของรางวัลให้นางไม่น้อย ส่วนพวกคนในวังก็ถนัดปรับตัวตามสถานการณ์
ถึงเซียงฉือจะได้เป็นข้าราชสำนักสตรีเช่นเดียวกัน แต่ทุกคนรู้ว่าเซียงซือเป็นคนโปรดจึงพากันไปพูดคุยกับนาง ช่วยนางจัดชุดข้าราชสำนักสตรีให้เรียบร้อย
เซียงซือถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางยิ้มแย้มแจ่มใส ได้รับความนับถือไปทั่ว ดูนางงดงามมีเสน่ห์ เซียงฉือถึงกับนึกชม ที่ผ่านมาไม่รู้เลยว่านางฉลาดลื่นไหลเข้าได้กับทุกคนเช่นนี้
ดูเหมือนท่านปู่จะกล่าวไว้ไม่ผิดว่าพวกนางพี่น้องต่างมีจุดเด่นแตกต่างกัน เซียงฉือดูเหมือนนุ่มนวล แต่นิสัยแข็งกร้าว ส่วนเซียงซือ นางคิดว่าวันข้างหน้าคงต้องทำความเข้าใจในตัวนางให้มากขึ้น
เซียงซือก็เห็นเซียงฉือยืนอยู่ใต้ชายคาจึงส่งเสียงดังเรียกขาน
“น้องเซียงฉือรอพี่ด้วย พวกเราเข้าไปกองราชเลขาด้วยกัน”
เซียงฉือได้ยินแล้วก็พยักหน้าไม่คิดอะไร นางก็ยังต้องการพูดคุยกับพวกหลิ่วจุ้ยอีกสักหน่อย ขณะนั้นหงหงยกชามน้ำค้างแข็งเดินเข้าไปหาแล้วส่งให้เซียงฉือ
เซียงฉือชะงักแต่ก็รับมา หงหงคนนี้เป็นเด็กปากแข็งใจอ่อน แต่ยังไม่ยอมโตสักที ยังคงต้องใช้เวลาหล่อหลอมสักพักจึงจะเติบโตขึ้น
แม้ยามนี้จะทำด้วยเจตนาที่ดีแต่ใบหน้ายังคงเง้างอไม่เต็มใจ เมื่อเห็นเซียงซือที่ยืนข้างๆ ท่าทางก็ยิ่งไม่ยินยอมพอใจ
ปากจึงพึมพำออกมา “มาพูดอะไรพี่ๆ น้องๆ เวลามีภัยไม่เห็นนางช่วยท่านสักนิด ต่อไปก็อยู่ให้ห่างคนทรามพวกนี้ไว้ด้วย”
จู่ๆ หงหงก็พูดคำพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือตกตะลึงแล้วมองนางครู่หนึ่ง แล้วนึกได้ว่านางยังคงแค้นเซียงซือที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ในอดีต เซียงฉือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง วันหน้ายังคงต้องพบเจอกันบ่อยๆ หากยังเข้าใจกันผิดอยู่จะไม่ดีจึงเอ่ยปากแก้ตัวให้เซียงซือ
“พี่เซียงซือนับว่าไม่เลวต่อข้านัก เจ้าอย่าได้ตำหนินางเลยนะ เรื่องในอดีตผ่านแล้วก็ให้ผ่านเลยไป ตอนนี้อยู่ด้วยกันอย่างปรองดองไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดหรอกหรือ”
เซียงฉือปลอบนาง แต่ไม่คิดว่าจะถูกหงหงถลึงตาใส่
“ดั่งสุนัขกัดหลี่ว์ต้งปิน[1] เอาเป็นว่าข้ากังวลใจแทนท่านเสียเปล่าก็แล้วกัน อย่างไรพี่น้องกันเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ พี่หลิ่วจุ้ย ต่อให้พี่ดีกับนางแค่ไหน นางก็ยังคงนับคนไร้น้ำใจคนนั้นเป็นคนในครอบครัวอยู่ดีนั่นแหละ ฮึ”
[1] ดั่งสุนัขกัดหลี่ว์ต้งปิน (狗咬吕洞宾,不识好人心) หลี่ว์ต้งปินคือหนึ่งในแปดเซียน ตอนก่อนเป็นเซียนบำเพ็ญพรตอยู่ ได้รับคำสั่งให้นำภาพวาดวิเศษไปจับเห่าฟ้า สุนัขสวรรค์ของเทพสามตาที่ลงมาทำร้ายมนุษย์โดยพลการ เมื่อจับขังไว้ในภาพแล้วเกิดสงสารกลัวมันถูกเผามอดไหม้จึงปล่อยออกมา กลับถูกเห่าฟ้ากัดเข้าให้… สำนวนนี้จึงนำมาใช้ในความหมายเปรียบเปรยว่าคนที่ไม่เห็นความตั้งใจดีของผู้อื่น แล้วยังแว้งกัดอีก