บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 268 หรงฉู่กับหรงจิง / ตอนที่ 269 เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ตอนที่ 268 หรงฉู่กับหรงจิง
ดวงตาเซียงฉือเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ นางไม่รู้และไม่มีทางจะเข้าใจได้ว่าทำไม อีกฝ่ายถึงกับคิดจะฆ่านาง
เป็นเพราะว่านางตบนางไปสองฉาดเช่นนั้นหรือ
แต่ว่าผิงผิงตบนางก่อนมิใช่หรือ เหตุใดถึงกับต้องฆ่าแกงกันด้วย
ความหวาดกลัวอย่างยิ่งผุดขึ้นในใจเซียงฉือ นางพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“นี่เจ้ากำลังจะฆ่าคนหรือ”
ดวงตาเซียงฉือกระเพื่อมไหวน้อยๆ นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่ตนรู้จักจะลุกขึ้นมาใช้ปิ่นฆ่าคนได้เช่นนี้
นางช้อนตาขึ้น ดวงตาวับวาวด้วยหยาดน้ำตา มองดูเงาดำที่สูงใหญ่เบื้องหน้า
“หรงฉู่!”
เมื่อนางมองเห็นว่าผู้ที่มาคือใครแล้ว น้ำตาก็หลั่งลงมา
คนที่ถูกเซียงฉือเรียกกำลังจับมือผิงผิงอยู่ และมองดูฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเย็นเฉียบประดุจภูเขาน้ำแข็ง
ขณะนั้นผิงผิงคล้ายดั่งถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ในยุทธภพจี้สกัดจุด ยืนนิ่งค้างมองดูชายหนุ่มเบื้องหน้าปากอ้าเผยอ แววตาเปี่ยมด้วยความตระหนก หวาดกลัวและหวั่นเกรง
ร่างนางอ่อนยวบลงอีกครั้ง คนคนนั้นไม่จับแขนนางไว้อีกต่อไป ปล่อยให้นางคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น ศีรษะก้มต่ำติดดิน
ซูกงกงที่ด้านหลังก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไป แล้วเสียงของผิงผิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทหม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!”
“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิต ไว้ชีวิตด้วยเพคะ”
ผิงผิงคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้นแทบจะฟุบร่างแทรกดิน นางโขกศีรษะอย่างแรงต่อหน้าบุรุษเบื้องหน้า เซียงฉือฟังเสียงตุบๆๆ รัวราวกลองรบลั่นขึ้น นางเบิ่งตาที่วาวด้วยหยาดน้ำตาโตค้าง มองดูบุรุษเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อ
นี่ไม่ใช่หรงฉู่องครักษ์รักษาพระองค์ที่ช่วยนางจับนกยูง จับหิ่งห้อย พูดคุยและร่วมดื่มสุรากับนางหรอกหรือ
แล้วเหตุใด เหตุใดผิงผิงจึงเรียกเขาว่าฝ่าบาท
เซียงฉือมองดูบุรุษตรงหน้า ใบหน้าคมสัน จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเม้มสนิท ยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมองดูเซียงฉือ เส้นผมดกดำมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยก
เขาสวมชุดคล่องตัวสีดำลายเมฆ รองเท้ายาว เอวห้อยหยกแข็งมังกรขนดสีมรกตทั้งชิ้น เขาก็คือหรงฉู่คนที่นางคุ้นเคย เหตุใดจึงกลายเป็นฮ่องเต้ไปได้
สมองเซียงฉือเริ่มจะงงงวย นางขยับกายถอยหลังน้อยๆ ผ้าที่ห่อน้ำแข็งในมือร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่ทันระวัง
ส่วนผิงผิงยังคงโขกศีรษะโป๊กๆ กับพื้นอย่างแรง
เสียงนั้นเรียกวิญญาณเซียงฉือกลับคืนร่างเมื่อได้ยิน นางรีบคุกเข่าคำนับตามธรรมเนียมปฏิบัติ
“อวิ๋นเซียงฉือจากกองราชเลขา ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เซียงฉือหดตัวเป็นก้อนเล็กๆ คุกเข่าสองมือแนบพื้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นน้อยๆ
ในใจนางมีข้อสงสัยนับพัน ปริศนานับหมื่น แต่เวลานี้นางทำในสิ่งที่นางสมควรกระทำ
หรงจิงก็คือหรงฉู่ที่ติดปากเซียงฉือ
เขาเป็นหรงฉู่องครักษ์พกอาวุธรักษาพระองค์ธรรมดาคนหนึ่งเฉพาะต่อหน้าเซียงฉือ แต่เป็นหรงจิง ฮ่องเต้ผู้ทรงปราดเปรื่องปรีชา ไม่เห็นสิ่งใดในสายตาเบื้องหน้าของผู้อื่น
ในใจเซียงฉือราวฟ้าคำราม เปรี้ยงปร้างโลดเต้นรุนแรง ฮ่องเต้มองดูหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งสอง
สายตาที่มองดูเซียงฉือเริ่มเหม่อลอย ซูกงกงเมื่อเห็นหรงจิงเช่นนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยปากและไม่อาจขอพระกรุณา เพราะเขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงได้แต่ยืนอยู่ข้างหนึ่งด้วยท่าทางปกติ ส่วนใจเริ่มคิดคำนวณ
ตอนที่ 269 เข้าเฝ้าฮ่องเต้
หรงจิงได้ยินคำพูดของเซียงฉือ เขากวาดตามองผิงผิงที่ด้านข้างอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา
“การลอบสังหารในตำหนักเจิ้งหยางมีโทษดั่งกบฏ เจ้ามีกี่หัวพอจะให้ตัด!”
หรงจิงสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เซียงฉือคุกเข่าหมอบอยู่ที่พื้น ในใจประจักษ์ชัดแจ้งขึ้นมาก
นางลอบเงยหน้ามอง ‘หรงฉู่’ ที่นั่งอยู่แล้วขบริมฝีปาก พยายามกล่อมตนเองในใจว่า
‘เขาคือหรงจิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซียวจิ่ง เขาไม่ใช่หรงฉู่ แต่เป็นฮ่องเต้’
‘เขาคือฮ่องเต้ คือฮ่องเต้’
เซียงฉือพร่ำท่องอยู่ในใจ กลัวว่าตนเองไม่ระวังจะพลั้งปาก ขณะนั้นหรงจิงเริ่มพูด ส่วนผิงผิงก็โขกศีรษะไม่หยุด แต่พอได้ยินคำพูดนั้นก็ชะงัก ร่างกายสั่นขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เซียงฉือไม่กล้าคิดอื่นใดอีก นางลอบมองสีหน้าหรงจิง แล้วมองดูผิงผิงที่คุกเข่า แล้วอธิษฐานให้ตนเองอยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าคืนนี้จะผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะลงโทษนางไหม หากเมื่อครู่ยอมอดทนต่อการถูกตบหน้าฉาดนั้น คงไม่ต้องมาตระหนกตกใจ หวั่นเกรงว่าศีรษะจะหลุดจากบ่าอย่างเช่นในตอนนี้
เซียงฉือยังคงคิดอยู่ แต่คำถามหรงจิงผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ผิงผิงที่คุกเข่าอยู่ยังคงตัวสั่นเทาไม่ตอบอะไรสักคำ ทำให้เซียงฉือรู้สึกเห็นใจนาง
เมื่อครู่ในพริบตานั้น ตอนนางหันกลับไปก็เห็นปิ่นที่แหลมคมอยู่ห่างจากร่างนางประมาณชุ่นเดียวเท่านั้น หากไม่ใช่หรงจิงที่ลงมือในทันที เกรงว่าตอนนี้นางคงสิ้นชีพลงหลุมไปแล้ว
ชีวิตคนเปราะบางเสียเหลือเกิน เซียงฉือถึงกับนึกปลง
รออยู่นานจนหรงจิงหมดความอดทนจึงถีบผิงผิงออกไปแล้วพูดกับเซียงฉือ
“ไหนเจ้าบอกมาซิว่า ผิงตาอิ้งทำการลอบสังหารในตำหนักเจิ้งหยางและถูกข้าจับได้ สมควรลงโทษอย่างไร”
เซียงฉือเมื่อถูกหรงจิงถามจึงยืดกายขึ้น คุกเข่าอยู่บนพื้นสายตาสบเข้ากับสายตาหรงจิงทันทีอยู่ชั่วขณะ นางรีบก้มหน้าลงทันที แล้วก็สบเข้ากับสายตาผิงผิงที่หมอบอยู่ ดูน่าเวทนาดั่งลูกสุนัข
เซียงฉือไม่อาจตัดใจจึงก้มหน้าตอบว่า
“หากเป็นดั่งที่ฝ่าบาทรับสั่ง เรื่องสำคัญระดับแคว้นเช่นนี้ ควรรีบเรียกรวมเหล่ามหาอำมาตย์ ขุนพลนักรบให้มาปรึกษาหารือจึงสมควรเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงอิสตรี ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้า มีความรอบรู้เพียงน้อยนิด มิบังอาจกล่าววาจาเพ้อเจ้อเพคะ”
การสะกดตัวเองของเซียงฉือเริ่มออกฤทธิ์ นางไม่กล้าทำอะไรตามใจชอบต่อหน้าชายผู้นี้ได้อีกแล้ว
คำพูดแต่ละคำของนางล้วนกลั่นกรองอย่างดีแล้วจากในใจจึงได้พูดออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน หรงจิงฟังคำพูดเซียงฉือเช่นนั้นก็รู้ว่านางกำลังล้อเลียนคำพูดของตนอยู่
ทว่าเขาไม่ยิ้ม แต่สะบัดมือพูดว่า
“ถ้าหากเจ้าเป็นคนพิจารณาคดีนี้เล่า จะตัดสินอย่างไร”
เซียงฉือได้ยินคำถามของหรงจิงแล้วก็ก้มหน้า เผยอริมฝีปากตอบเบาๆ ว่า
“สตรีในวังก่อการวิวาทไม่รักษากิริยาต่อเบื้องพระพักตร์ ให้โบยคนละยี่สิบไม้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเพคะ”
ใจของเซียงฉือรู้สึกไม่เป็นธรรม นางไม่สมควรเป็นคนดีเช่นนี้ ถ้าหากหรงจิงอนุญาตให้โบยยี่สิบไม้จริงๆ นางจะเป็นเช่นไร จะต้องรับการลงโทษนี้หรือ
เมื่อพูดไปแล้วเซียงฉือจึงได้รู้สึกว่าไม่เข้าที แต่คำพูดที่ออกจากปากไปนั้นเป็นดั่งน้ำที่ถูกสาดออกไป ไม่อาจเก็บกลับได้อีก
ยิ่งอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยแล้ว นางยิ่งไม่กล้า
หรงจิงฟังคำพูดเซียงฉือแล้วนิ่งอึ้งไป แต่แล้วก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสิ เจ้าเป็นผู้หญิงใจอ่อนนี่นะ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สมควรปล่อยนางไป เจ้าเอาแต่ใจอ่อนอยู่เสมอ ไม่กลัวจะถูกผู้อื่นรังแกเอาหรือ”