บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 288 กุ้ยเฟย / ตอนที่ 289 ชิงดี
ตอนที่ 288 กุ้ยเฟย
นางยอมรับผิดด้วยตนเองเช่นนี้ เป็นการเบนทางน้ำไปทิศทางอื่น ทำให้ตัวเองพ้นออกจากเรื่องนี้ไป ช่างเป็นคนฉลาดจริงๆ
แต่คนที่ควรต้องทุกข์ใจในตอนนี้ก็คือเซียงฉือกับเซียงซือสองคนแล้ว
ไม่ทันไรก็มีขันทีน้อยวิ่งเข้ามาจากด้านนอกแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบากับซูกงกง จากนั้นก็เห็นซูกงกงกระซิบบางอย่างที่ข้างกายฮ่องเต้
หรงจิงฟังด้วยสีหน้าไม่สู้ดี น้ำเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย
“วันนี้จินกุ้ยเฟยตื่นแต่เช้า ในเมื่อมาถึงแล้วก็ให้เข้ามาได้”
หรงจิงเพิ่งสั่งการออกไป ขันทีน้อยยังไม่ทันได้ออกไปเรียกก็เห็นกุ้ยเฟยเดินอย่างอ่อนช้อยผ่านเข้าประตูมาแล้ว
นางย่อกายทำความเคารพหรงจิง รอยยิ้มเกลื่อนหน้าราวดอกท้อเบ่งบานในเดือนเจ็ด งดงามหาใดเสมอ แต่ว่าเพียงไม่กี่วันที่เซียงฉือไม่ได้รับผิดชอบด้านการแต่งหน้าแต่งกายของนาง นางก็กลับมาแต่งเข้มหนาเช่นเคยอีก
เซียงฉือเงยหน้าน้อยๆ ลอบมองสีหน้าหรงจิง เห็นเขาขมวดคิ้วน้อยๆ เช่นกัน แต่คำพูดไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไร
“หม่อมฉันมาเยี่ยมคารวะฝ่าบาทโดยไม่ได้ถูกเชื้อเชิญ เป็นเพราะคิดถึงฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทไม่ทรงสงสารหม่อมฉันบ้างเลย”
น้ำเสียงจินกุ้ยเฟยนุ่มนวลเข้ากระดูก เมื่อคืนได้ข่าวผิงตาอิ้งทำให้หรงจิงโกรธจนถูกสั่งตีปางตายแล้วโยนเข้าตำหนักเย็นก็ให้รู้สึกสาแก่ใจอย่างยิ่ง
ยิ่งคิดว่าเซียงซือกำลังจะมีโอกาสเข้าตำหนักเจิ้งหยางในไม่ช้าแล้วก็ยิ่งยินดี แต่ไม่ทันไรก็ได้ข่าวมาจากกองราชเลขาว่าเหอจิ่นเซ่อให้อวิ๋นเซียงซืออยู่ในกองงานเลขา แต่กลับให้อวิ๋นเซียงฉือไปเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรอยู่ข้างกายฝ่าบาท
นางคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงได้เรียกอวิ๋นเซียงซือไปสอบถาม
อวิ๋นเซียงซือเป็นคนฉลาด นางผลักเรื่องทั้งหมดไปให้เหอจิ่นเซ่อว่ามีเจตนาลำเอียงเข้าข้างเซียงฉือ
อีกทั้งยังบรรยายถึงความร้ายกาจของเหอจิ่นเซ่อที่เจตนาหยามหน้าจินกุ้ยเฟย กลั่นแกล้งนางทุกวิถีทาง ใส่สีตีไข่ลงไปทุกเรื่องให้จินกุ้ยเฟยฟังจนจินกุ้ยเฟยโกรธขึ้ง
ด้วยอารมณ์ของนางแล้วย่อมต้องบุกไปหาเหอจิ่นเซ่อที่กองราชเลขาเพื่อถามไถ่ แต่อวิ๋นเซียงซือก็ไม่โง่ นางเพียงต้องการอาศัยจินกุ้ยเฟยเพื่อให้ได้ไปถึงข้างกายฝ่าบาท ไม่ได้คิดจะให้นางไประบายอารมณ์แทนในตอนนี้
หวังหมัวหมัวก็คิดเช่นนั้น ไม่อาจให้จินกุ้ยเฟยไปหาเรื่องเอาความกับเหอจิ่นเซ่อได้
เหอจิ่นเซ่อเป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นสามที่รับคำสั่งฝ่าบาทโดยตรง ทั้งยังรับใช้ฝ่าบาทมานานปี ได้รับความไว้วางใจจากหรงจิงอย่างมาก หากจินกุ้ยเฟยจะไปหานางในตอนนี้แล้วจะทำอะไรได้ หรือว่าจะไปฆ่าเหอจิ่นเซ่อ
ถ้าเช่นนั้นเพียงเหอจิ่นเซ่อทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาท พระองค์จะต้องพิโรธ ข้าราชสำนักสตรีรับผิดชอบงานในวังหลัง มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่จะเข้าไปก้าวก่ายได้ ถึงนางจะเป็นกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่มีอำนาจนั้น
จินกุ้ยเฟยรู้ว่าไม่สามารถประจันกับเหอจิ่นเซ่อซึ่งหน้าได้จึงคิดจะให้อวิ๋นเซียงซือไปปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทอย่างไม่คาดคิด
เพียงแค่สามารถทำให้นางได้รับความสนใจจากฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วพวกนางก็จะสบายไร้กังวล
แต่ถึงแม้กุ้ยเฟยจะบอกวิธีการแก่นาง แต่เซียงซือกลับจงใจทำจนเรื่องนี้เกินเลยไป ส่วนเซียงฉือเห็นสายตาลุ่มหลงของเซียงซือเช่นนั้น เกรงว่านางจะก่อเรื่องที่ยากจะแก้ไขขึ้นจึงขัดขวางนางไว้
จึงทำให้เรื่องพบกันโดยบังเอิญที่แสนประทับใจกลายเป็นเรื่องต้องโทษไปเสียอย่างนั้น
หรงจิงเห็นกุ้ยเฟยเดินเข้ามาอย่างไม่สนใจใคร ส่วนเหอจิ่นเซ่อกำลังจะออกไปจากตำหนัก หรงจิงจึงส่งสัญญาณให้นางอยู่ต่อ คอยดูละครเบื้องหน้าที่กำลังจะแสดงต่อไป
ตอนที่ 289 ชิงดี
หรงจิงเห็นกุ้ยเฟยเข้ามาแต่ก็ไม่ได้ขยับกาย เพียงพูดเรียบๆ ขึ้นว่า
“จะเข้าตำหนักเจิ้งหยาง กุ้ยเฟยก็ต้องรอเรียกเสียก่อน”
เขากล่าวตำหนิกุ้ยเฟยเสียงเรียบ กุ้ยเฟยได้ยินจึงต้องตอบรับ แล้วโผเข้าไปข้างกายหรงจิงราวนกน้อยคืนรัง
นางกอดหรงจิงไว้ราวน้อยอกน้อยใจ หรงจิงยิ้มแล้วบีบจมูกนาง
“ทุกคนในวังมีเพียงเจ้านี่แหละที่ชอบละเลยระเบียบที่สุด ทีหลังห้ามทำเช่นนี้อีก อย่าได้คิดว่าเป็นคนโปรดของข้าแล้วจะทำอะไรได้อย่างไม่สนใจผิดชอบชั่วดี”
“แม้ตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮายังว่างอยู่ แต่เจ้าควรต้องเป็นแบบอย่างฮองเฮาของคนทั้งแคว้น ดังนั้นจึงต้องเข้มงวดกวดขันตนเองและรู้จักอะลุ่มอล่วยให้อภัยต่อผู้อื่น”
หรงจิงพูดถึงตำแหน่งฮองเฮาขึ้นมาในตอนนี้ จินกุ้ยเฟยย่อมสองตาลุกวาว นางเป็นกุ้ยเฟยควบคุมดูแลวังหลัง แต่ยังไม่มีเฟิ่งกวนเสียเพ่ย[1] อีกทั้งตราประทับรูปหงส์ ตลอดมาจึงเป็นได้แต่เพียงภรรยารอง ไม่สามารถเข้าออกได้พร้อมฮ่องเต้
หากจะบอกว่าหญิงในวังหลังคนใดไม่ต้องการเป็นฮองเฮาแล้วละก็ นั่นย่อมเป็นการพูดปด ส่วนนางเป็นถึงกุ้ยเฟย ดังนั้นแล้วความปรารถนานี้จึงยิ่งเด่นชัด
หรงจิงพูดเช่นนี้เหมือนให้นางลิ้มรสลูกอมน้ำผึ้งขณะเดียวกันก็ล่ามกุญแจมือนางไว้ ทำให้นางจำต้องควบคุมตนเอง
เมื่อจินกุ้ยเฟยรู้สึกว่าตนเองใกล้จะได้เป็นฮองเฮาแล้วจึงอิ่มเอมใจยิ่ง พยักหน้ารับตามคำพูดของหรงจิง
“ฝ่าบาทตรัสสิ่งใด หม่อมฉันย่อมต้องปฏิบัติตามเพคะ จากนี้หม่อมฉันจะเคร่งครัดกับตัวเองและผ่อนปรนต่อผู้อื่น เพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังเพคะ”
กุ้ยเฟยพูดขึ้นอย่างเข้าใจและเชื่อฟัง หรงจิงจึงผงกศีรษะเบาๆ
แต่จินกุ้ยเฟยทำตัวน่ารักได้ชั่วครู่ก็เห็นเหอจิ่นเซ่อในหมู่คน จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะได้รับข่าวว่าเหอจิ่นเซ่อกำลังร้องทุกข์ต่อฮ่องเต้ และเมื่อครู่นางอยู่ด้านนอกตำหนักก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ความตั้งใจตีวัวกระทบคราดของนางเป็นการเปิดโปงตัวตนของคนออกไปอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ไฟโทสะของนางพุ่งปรี๊ดตั้งแต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ตอนนี้ได้มาพบกับเจ้าตัวโดยตรง ย่อมไม่อาจปล่อยไปโดยง่ายได้
“ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นหรือเพคะฝ่าบาท หรือว่าข้าราชสำนักสตรีที่มาใหม่จะใช้งานไม่ได้ดั่งพระทัย เหตุใดพากันคุกเข่าอยู่เช่นนั้นเพคะ”
จินกุ้ยเฟยยิ้มหยาดเยิ้มขณะที่พูด นางชี้ไปยังอวิ๋นเซียงซือกับอวิ๋นเซียงฉือ ทำทีถามเหมือนไม่รู้เรื่องราว
เมื่อวานตอนนางฟังคำบอกเล่าของเซียงซือ ก็ได้จัดเหอจิ่นเซ่อว่าเป็นคนของซูเฟยไปแล้ว และเมื่อครู่มาได้ยินคำพูดไร้ความปรานีของนางจากด้านนอกตำหนักเข้าอีก ถึงในใจจะเดือดดาลเพียงใดแต่ก็รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ตำหนักอวี้หยวนของนาง ไม่สามารถลงโทษตามอำเภอใจได้ แต่ในเมื่อฝ่าบาทอยู่ข้างกายนางเช่นนี้ ไม่จำเป็นที่นางจะต้องลงมือเอง
หรงจิงมองดูเซียงซือเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่แล้วมองกุ้ยเฟยด้านข้างพูดขึ้นว่า
“นางสองคนนี้ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่นอกประตูตำหนักเจิ้งหยาง กระทำการเสียมารยาทต่อหน้าข้า ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการลงโทษอย่างไร ทั้งคู่ต่างก็เป็นข้าราชสำนักสตรีจากกองราชเลขา จึงได้เชิญใต้เท้าเหอให้มาร่วมตัดสินเรื่องนี้ด้วย”
หรงจิงพูดขึ้นเช่นนี้แล้วเปลี่ยนความคิดในทันที จากนั้นพูดกับกุ้ยเฟยต่อว่า
“เจ้าคอยช่วยข้าดูแลวังหลังตลอดมา ทั้งเป็นประมุขตำหนักหนึ่ง หากเรื่องนี้มอบให้กุ้ยเฟยจัดการ ไม่รู้ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร”
หรงจิงถามขึ้นทำให้กุ้ยเฟยต้องครุ่นคิด ปกติเขาจะเป็นคนตัดสินใจและจัดการด้วยตนเองโดยไม่เคยถามความเห็นของนาง ถึงนางจะเตรียมคำพูดไว้มากมาย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่รู้จะตอบอย่างไร
แต่เมื่อถูกหรงจิงถามแล้วก็ไม่อาจจะไม่ตอบ
จินกุ้ยเฟยมองดูสองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างแล้วคลึงนิ้วใช้ความคิดอย่างจริงจัง จะว่าไปแล้วทั้งเซียงฉือและเซียงซือล้วนเป็นคนของนาง ถึงแม้ระยะหลังนี้เซียงซือจะถูกใจนางมากกว่า แต่เซียงฉือก็มาจากตำหนักอวี้หยวนของนางเช่นกัน
หากต้องผลักเรื่องนี้ไปให้คนใดคนหนึ่งนางก็ยากจะตัดใจได้ลง ทำให้นางลำบากใจยิ่ง
หรงจิงเห็นจินกุ้ยเฟยคิดอย่างจริงจังจึงไม่พูดอะไร กินลิ้นจี่ที่ซูกงกงปอกเปลือกให้แล้วรอฟังอย่างสบายๆ
[1] เฟิ่งกวนเสียเพ่ย (凤冠霞帔) เฟิ่งกวน แปลว่า มงกุฎหงส์ เสียเพ่ย เป็นแพรแถบคล้องคอมีปลายสองด้าน คล้องจากคอลงไป พาดยาวผ่านอก ปลายทั้งสองห้อยด้วยจี้หยกหรือทอง ลวดลายบนแถบแพรขึ้นอยู่กับลำดับขั้นตำแหน่งของสามี