บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 290 สั่งสอน / ตอนที่ 291 ทอดถอนใจ
ตอนที่ 290 สั่งสอน
ดีที่กุ้ยเฟยไม่ได้ปล่อยให้เขาต้องรอนาน นางเห็นลิ้นจี่บนโต๊ะจึงหยิบมาลอกเปลือกแล้วป้อนถึงปากของหรงจิง ยิ้มหวานพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท วังหลังมีลำดับขั้นตอนการทำงานอยู่ ในเมื่อทั้งสองคนกระทำความผิด ก็เรียกใต้เท้าสวี่จากกองคดีให้มาสอบสวน ควรลงโทษอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น ในเมื่อทั้งคู่ยอมรับผิดแล้ว ต่อให้ต้องเอาชีวิต พวกนางก็ไม่อาจเลี่ยงได้”
คำพูดของกุ้ยเฟยทำให้ลมหายใจของเซียงซือกับเซียงฉือถึงกับชะงักงัน
หรงจิงหัวเราะเสียงดัง
“กุ้ยเฟยนี่ช่างอู้เก่งจริงๆ!”
ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปหยิกเบาๆ ที่ช่วงเอวกุ้ยเฟย นางไม่ยินยอมนัก
กุ้ยเฟยพูดออกไปแบบนั้นย่อมเป็นการปัดภาระ แต่หรงจิงก็ยังหัวเราะ
แล้วพูดต่อว่า
“ดูท่าว่ากุ้ยเฟยจะไม่เข้าใจกฎระเบียบในวังจริงๆ ในวังนี้มีหกกองงาน แต่ละกองงานมีราชเลขาประจำกอง ซึ่งจะมีอำนาจจัดการดูแลงานในกองนั้น ซึ่งกองราชเลขากับกองคดีในนั้นถือเป็นแขนซ้ายขวาของข้า ช่วยงานข้าในราชสำนักอีกทั้งจัดการดูแลความเป็นอยู่ในวังหลัง ดังนั้นคนที่จะกำกับพวกนางได้จึงมีแต่ข้าเท่านั้น”
“ถ้ากุ้ยเฟยสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็จะดีไม่น้อย หวังว่าต่อไปกุ้ยเฟยจะไม่เลอะเลือนในเรื่องพวกนี้อีก อย่าได้ทำให้เสียกฎระเบียบที่บรรพชนกำหนดไว้ ที่ข้าพูดมากุ้ยเฟยจำได้หรือไม่”
เสียงของหรงจิงไม่ดังมาก แต่กุ้ยเฟยได้ยินแล้วเริ่มสั่นน้อยๆ ขึ้นในอก
แววตานางกระเพื่อมน้อยๆ พูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า
“หม่อมฉันทราบแล้ว ที่ฝ่าบาททรงสอนนั้น หม่อมฉันจำได้แล้วเพคะ”
หรงจิงเห็นกิริยานางเช่นนั้นจึงตบบ่านางเบาๆ และพูดว่า
“ข้ายังมีราชกิจต้องทำอีกมาก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้กุ้ยเฟยจึงต้องลุกขึ้น ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมไม่กล้ารั้งรอแต่น้อย เดิมนางตั้งใจมาร้องทุกข์ต่อหรงจิงเพื่อให้เขาจัดการเหอจิ่นเซ่อแต่ไม่คิดว่าถึงหรงจิงจะไม่ตำหนินางอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าพูดตักเตือนนางอยู่ในทีว่าไม่ให้นางยุ่งกับงานในกองราชเลขาอีกต่อไป
นางฟังเข้าใจ ถึงแม้จะโมโหโทโสอยู่ในใจ ก็ไม่กล้าแสดงนิสัยเอาแต่ใจออกมาต่อหน้าฮ่องเต้
และย่อมต้องบอกลาออกไปอย่างเชื่อฟัง
แต่ถึงนางจะล่าถอยไป ก็ยังหันหน้าไปมองเหอจิ่นเซ่อข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา สุดท้ายเพราะคำพูดเตือนดีๆ ของหลิ่วจุ้ย นางจึงยอมนวยนาดจากไป
การมาของนางในครั้งนี้เพราะคิดจะช่วยกู้หน้าให้เซียงซือ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่หน้าของตนก็ถูกฉีกไปด้วยแล้ว
เซียงซือกับเซียงฉือยังคงคุกเข่าอยู่กลางโถง ดั่งคำที่ว่าข้างกายฮ่องเต้ไม่มีเรื่องเล็กน้อย ความจริงเป็นเพียงเรื่องวิวาทเล็กน้อยระหว่างผู้หญิงสองคน แต่พอมาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้กลับเป็นไปได้ทั้งหนักและเบา หรงจิงมองดูนางทั้งสองแล้วพูดขึ้นในที่สุด
“ข้าราชสำนักสตรีของกองราชเลขาต้องผ่านการคัดกรองมาเป็นลำดับชั้นเพื่อหาคนที่ดีที่สุด ข้าเคยบอกแล้วว่าให้เน้นคุณภาพไม่เอาปริมาณ ใต้เท้าเหอควรต้องจดจำได้จึงจะถูกต้องสิ เอาเถอะ ออกไปได้แล้ว”
เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำพูดหรงจิงแล้วก็ไม่กล้าพูดอีก เพียงย่อกายตอบรับแล้วออกไล่หลังกุ้ยเฟยไป
รรยากาศในโถงใหญ่ยิ่งเย็นเยียบลง
เซียงฉือกับเซียงซือคุกเข่าอยู่กับพื้นมานานมากจนขาเริ่มชา แต่เมื่อฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้ลุกขึ้น นางทั้งสองจึงยังคงต้องคุกเข่าหลังตรงไม่กล้าขยับ
เมื่อฮ่องเต้เห็นเหอจิ่นเซ่อออกไปแล้วจึงพูดขึ้น
“อวิ๋นเซียงซือแห่งกองราชเลขาให้ลดชั้นไปเป็นสาวใช้ในตำหนักหย่างซินแต่ยังให้คงตำแหน่งราชการไว้ นำตัวออกไป จากนี้ห้ามมิให้เข้าตำหนักเจิ้งหยางอีก”
“เจ้าหน้าที่งานอักษรกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือ ให้ลดลงไปทำหน้าที่ยกน้ำชาในตำหนักเจิ้งหยาง แต่ให้คงตำแหน่งงานราชการไว้ ติดตามดูผลต่อไป”
ตอนที่ 291 ทอดถอนใจ
เซียงซือเบิ่งตาโต สาวใช้ในตำหนักหย่างซิน ถึงจะยังเป็นข้าราชสำนักสตรีอยู่ แต่อยู่ในขั้นเตรียมขั้นที่เก้า ลดลงจากตำแหน่งปัจจุบันครึ่งขั้น แต่เซียงฉือถึงจะถูกลดขั้นเช่นกัน แต่ยังถูกเก็บตัวไว้ใช้ในกองราชเลขา
อวิ๋นเซียงซือไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอันมาก แต่ทันทีที่ฝ่าบาทพูดจบยังไม่ทันที่นางจะได้หลั่งน้ำตาอ้อนวอนก็ถูกองครักษ์สองคนพาตัวออกไปทันที เซียงฉือเห็นนางแล้วก็เศร้าใจ
ที่เซียงซือรับไม่ได้ที่สุดก็คือคำพูดสุดท้ายของฝ่าบาทที่สั่งห้ามไม่ให้นางเข้าตำหนักเจิ้งหยางอีกเลยในชีวิตนี้
เซียงฉือเห็นหรงจิงหลับตายื่นมือออกกุมหน้าผากคิ้วขมวดแน่น นางทำความเคารพแล้วพูดขึ้น
“หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
จากนั้นก็ลุกขึ้น ไม่สนใจแข้งขาตนเองที่คุกเข่าจนเหน็บชา เดินเข้าไปด้านหลังหรงจิง เลียนแบบวิธีการของซูกงกงเมื่อคืน ทำการนวดให้ฮ่องเต้อย่างตั้งใจ
ซูกงกงเคยพูดให้ฟังว่านานมาแล้วฝ่าบาทเคยนำทัพออกรบ พากองทัพที่เก่งกล้ารุกลึกเข้าไปใจกลางทัพข้าศึก ต้องนอนอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักถึงสามวันสามคืนโดยไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด จากนั้นรวบรวมพลทำลายล้างทัพข้าศึกหมดสิ้น การรบครั้งนั้นใช้กำลังพลน้อยชนะกำลังพลมาก จัดเป็นคัมภีร์ได้เลยทีเดียว แต่จากเหตุการณ์นั้นทำให้ฝ่าบาทประชวรหนักจนเกือบสวรรคต
ภายหลังถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็มักจะปวดศีรษะจนยากจะทนทาน หรงจิงยังคงเข้มแข็งเสมอมาไม่ยอมให้ใครเห็นว่าอ่อนแอ ดังนั้นถึงจะปวดศีรษะเพียงใดก็เอาแต่อดทน ซูกงกงทนเห็นไม่ไหวจึงได้ฝึกฝนเรียนวิธีการนวดจากหมอเทวดามือวิเศษ และใช้บรรเทาอาการปวดศีรษะให้ฝ่าบาทเสมอมา
เมื่อเซียงฉือรู้สาเหตุเช่นนั้นแล้วจึงเรียนจากซูกงกง ในตอนนี้ถึงจะยังไม่ดีเท่าซูกงกง แต่ก็พอเห็นผลบ้าง
“เหตุการณ์ในวันนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก เจ้าเป็นคนของข้า จะพูดจะทำอะไรล้วนถูกผู้อื่นจับตามอง หากทำการใดไม่ระวังรอบคอบเพียงพอก็จะถูกผู้อื่นจับเป็นจุดอ่อนได้ เปิดช่องให้พวกคนถ่อยได้ฉกฉวย”
“ข้าเข้มงวดกับเจ้าก็เพื่อจะให้เจ้าได้ดี วันหน้าเจ้ารับใช้อยู่ข้างตัวข้ายากจะไม่ถูกคนอื่นอิจฉา ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น”
“แร้นแค้นน้ำใจที่สุดก็ราชวงศ์นี่แหละ ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าเข้าตำหนักเจิ้งหยาง ก็ควรรู้ไว้ว่าเป็นคนของราชวงศ์แล้ว ไม่อาจละเลย ห้ามไม่ให้เป็นเครื่องมือใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติสนิทที่เปลี่ยนแปลงไปมาด้วยแล้ว”
เซียงฉือฟังคำพูดหรงจิงแล้วรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แต่นางก็เข้าใจว่าที่หรงจิงพูดนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย
เมื่อนางเข้าสู่ตำหนักเจิ้งหยางก็เป็นคนของฝ่าบาทแล้ว มีคนข้างกายมากมายที่คอยกระทบโจมตี บ้างอ้างความเป็นญาติมิตร หลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์ทุกทาง เพียงเพื่อให้ได้รู้ความนึกคิดของฝ่าบาท
นางเข้าใจที่หรงจิงชี้แนะ และรู้ชัดว่าที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงเซียงซือ
เห็นท่าหรงจิงจะมองความคิดของเซียงซือได้ปรุโปร่ง สำหรับหรงจิงแล้ว ถึงเขาจะเป็นบุรุษแต่ก็เป็นฮ่องเต้องค์หนึ่ง ทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่ตั้งเงื่อนไขกับตนเองอย่างสูงอีกด้วย
เขาอาจโปรดสตรี อีกทั้งไม่ต่อต้านหากผู้หญิงในวังหลังจะทุ่มเทคิดทำอะไรให้กับเขา แต่เพราะความสัมพันธ์ของเซียงฉือกับเซียงซือนั้นเกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ของเซียงซือกับจินกุ้ยเฟย ซึ่งเขาไม่คิดว่านี่คือใจรักของสตรีที่มีต่อเขา ต่อฮ่องเต้ แต่เป็นการถ่วงดุลอำนาจกันในวังหลัง
เมื่อคิดเช่นนี้เขาจึงไม่อาจมองเซียงซือไปในแง่อื่นได้ เขาที่มีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่กลับถูกสตรีข้างกายวางแผนบงการ ย่อมต้องไม่พอใจอยู่แล้ว
วันนี้ได้ให้หน้าแก่จินกุ้ยเฟยไม่น้อยแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ยอมปล่อยเซียงซือไปโดยง่าย
แต่เซียงฉือรู้ว่า ท่าทางหงอยเศร้าของเซียงซือนั้นไม่ใช่เป็นเพราะจินกุ้ยเฟย ไม่ใช่เพราะถูกลงโทษลดชั้น เพราะเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่จะหากลับมาได้ แต่สิ่งสำคัญนั้นคือการที่ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้นางเข้าตำหนักเจิ้งหยางอีกต่อไปต่างหาก
เซียงฉือคิดแล้วอดไม่ได้ต้องทอดถอนใจเบาๆ