บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 308 เหมียว / ตอนที่ 309 คดีเก่า
ตอนที่ 308 เหมียว
เซียงฉือหันกายกลับมา แววตาแสร้งผุดความโกรธพูดว่า “ฝ่าบาททรงล้อหม่อมฉันเช่นนี้อยู่เรื่อยเลยเพคะ ดังคำที่ว่า นักรบยอมตายเพื่อเพื่อนที่รู้ใจ สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่ตนรัก ส่วนหม่อมฉันทำลายพักตร์เพื่อให้ฝ่าบาทได้สรวล”
หรงจิงเห็นท่าโกรธอายๆ กับใบหน้าที่เหมือนแมวเหมียวของนางแล้วรู้สึกขำจึงหัวเราะเสียงดัง ราวกับระบายโทสะเมื่อครู่ออกมามากมาย
เซียงฉือถูกหรงจิงมองจนอับอายจึงหันกายจะไปล้างหน้า แต่ถูกหรงจิงรั้งไว้
“ใต้เท้างานอักษรจะไปไหน ข้ายังเขียนหนังสือไม่เสร็จ เจ้าที่ทำหน้าที่นี้จะผละไปเสียแล้วเช่นนี้หรือ”
ร่างเซียงฉือชะงักลงแล้วหันกลับมา มือน้อยนุ่มๆ ทาบอยู่บนแก้ม
“เหมียว…”
นางเลียนเสียงแมวร้องได้เหมือนและน่ารักยิ่ง ตอนนี้นางสวมชุดธรรมดาสีชมพู แลดูงดงามน่ามอง หรงจิงตกตะลึงอย่างไม่รู้ตัว เป็นนานเซียงฉือจึงได้พูดว่า
“หม่อมฉันเกรงว่าหน้าตาแบบนี้หากถูกใต้เท้าฝ่ายระเบียบวินัยเห็นเข้าจะถูกลงโทษ การถวายรับใช้ฝ่าบาทในสภาพนี้ดูไร้ความเคร่งครัด ขอฝ่าบาทโปรดให้หม่อมฉันได้ไปล้างหน้าด้วยเถิดเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วนิ่งอึ้งไป จากนั้นพูดอย่างเข้มงวดขึ้น
“เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ข้าจะถามเจ้า หลังพักดื่มชาตอนบ่ายและก่อนอาหารค่ำ เจ้าไม่มาอยู่รับใช้ในตำหนัก ได้ขอลากับข้าหรือไม่ ทำงานไร้วินัย ไม่รักษากฎระเบียบ สงสัยว่าข้าจะปล่อยปละเจ้าเกินไปกระมัง”
หรงจิงพูดอย่างจริงจัง เพียงแต่ไม่ได้พูดตรงๆ ว่าไม่อนุญาตให้เจ้าไปล้างออก จะต้องปล่อยไว้เช่นนี้เพื่อให้ข้าดู ไม่อนุญาตให้ทำอะไรทั้งสิ้น
เซียงฉือนิ่งอยู่กับที่ เอี้ยวกลับมามองหรงจิง แล้วจึงหมุนกายเดินไปที่ข้างกายหรงจิงอย่างน้อยใจ
หรงจิงเบือนหน้าไปแอบยิ้ม
ถึงเซียงฉือจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหรงจิงต้องกลั่นแกล้งนาง แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะลงโทษนางจริง
จึงเดินกลับไปในที่เดิมแล้วฝนหมึกต่อ ก็ข้าราชสำนักสตรีงานอักษรนี่นะ
เซียงฉือรู้สึกคุ้นเคยกับคำคำนี้ แต่ก็รู้สึกไม่คุ้นชินเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิใช่ถูกพระองค์ปลดออกจากตำแหน่งงานอักษรหรอกหรือเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันทำหน้าที่ยกน้ำชาอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือเพคะ”
จู่ๆ เซียงฉือก็นึกขึ้นได้ว่านางถูกลดขั้นลงครึ่งขั้นไม่ได้ทำหน้าที่งานอักษรอีกแล้ว จะให้มาฝนหมึกอะไรในตอนนี้เล่า
เมื่อเซียงฉือพูดเช่นนี้หรงจิงก็นิ่งงันไป เขาลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้นไม่เหลือ ตอนนี้มาถูกเซียงฉือพูดขึ้นเช่นนี้จึงคิดขึ้นได้ทันที อดไม่ได้ต้องลอบโอดครวญ
แต่เซียงฉือกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาแวววาว
“เหมียว เหมียว”
เซียงฉือร้องเหมียวๆ ใส่หรงจิงอีกครั้งอย่างซุกซน แล้วหมุนกายเดินไป
“ฝ่าบาททรงรอสักครู่ หม่อมฉันจะไปยกพระสุธารสชามาถวายเพคะ”
เซียงฉือหมุนกายเดินออกไปอย่างไม่ลังเล เหลือเพียงหรงจิงมองดูคิ้วตาที่ยิ้มจนโค้งงอของเซียงฉือเมื่อครู่ แต่ภาพปรากฏเพียงแวบเดียวก็มลายไป หญิงงามหายวับไปแล้ว
หรงจิงฉีกยิ้มให้กับอากาศเบื้องหน้า แล้วก้มหน้าหมุนกายเดินเข้าด้านใน
หรงจิงที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งรออยู่ไม่นานก็เห็นเซียงฉือที่ล้างหน้าล้างตาแล้วกลับเข้ามา เมื่อเดินเข้ามาใกล้หรงจิงก็ยังมีกลิ่นหอมจางๆ เหลืออยู่
หรงจิงยิ้มจางๆ รับน้ำชาที่นางยกมาให้ บรรจงจิบลิ้มรสชาติ เขาเลิกคิ้วมองดูเซียงฉือที่ยิ้มระรื่น จากนั้นถามคำถามที่เขาคิดไว้นานแล้ว
“เจ้าเด็กคนนี้กล้าดีอย่างไร ถึงกับกล้าเข้าใกล้ตอนที่ข้ากำลังบันดาลโทสะแบบนั้น”
ตอนที่ 309 คดีเก่า
เซียงฉือได้ฟังคำถามแล้วไม่ได้กลั่นกรองความคิดมากนัก เงยหน้าขึ้นแล้วตอบอย่างจริงจัง
“อ้าว ฝ่าบาทมิได้ทรงเชื่อมั่นในองค์เองหรอกหรือเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่าแม้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วอยู่ ทว่ายังทรงสติสัมปชัญญะไว้ ฝ่าบาทพิโรธอยู่จริงแต่ไม่ได้ทรงขาดสติ เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปราดเปรื่องปรีชา มีหรือที่จะทรงขาดสติสัมปชัญญะเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นได้”
“หม่อมฉันไม่เชื่อเช่นนั้น และการที่ทรงพลั้งจนพระวรกายได้รับบาดเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นข้าราชสำนักสตรีคนสนิท ไม่สามารถดูแลรับใช้ให้ดีนับเป็นความผิด และหากยังไม่แก้ไขทำให้ดีขึ้นอีก ยังจะทรงชุบเลี้ยงไว้อีกทำไมเพคะ”
เสียงของเซียงฉือไม่ดังทว่าเข้าถึงใจทุกคำ หรงจิงฟังแล้วอบอุ่นในใจและตัวลอย
คำพูดของเซียงฉือเรียบง่ายจริงใจ เทียบกับบรรดาเหล่าขุนนางใหญ่ที่ยกเขาราวกับสี่จอมราชันย์ จักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียวในโลกแล้ว พวกนั้นไม่อาจทำให้เขาประทับใจ แต่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเซียงฉือกลับทำให้เขาซาบซึ้งใจ
หรงจิงฟังคำเซียงฉือแล้วพยักหน้า ถามต่อว่า
“เซียงฉือ ปู่ของเจ้าเคยเป็นเจ้าเมืองหลานโจว เพราะใช้เงินหลวงจึงกลายเป็นคดีที่ถูกเพื่อนร่วมราชสำนักฟ้องร้อง ทำให้ทั้งครอบครัวต้องถูกจองจำ เจ้าไม่เกลียดข้าหรอกหรือ”
หรงจิงถามออกมาเช่นนี้เซียงฉือไม่ได้ตอบกลับในทันที นางก้มศีรษะลงซุกซ่อนลึกล้ำ ไม่ปรารถนาหลั่งน้ำตาออกมาให้หรงจิงเห็น ไม่ใช่เพราะมีเรื่องอำพรางปิดบัง
ส่วนหรงจิงคิดว่าเจ้าเด็กเถรตรงคนนี้ไม่สามารถเก็บอะไรไว้ในใจได้ นางน่าจะคิดเช่นนั้นอยู่ แต่หากพูดออกมาตรงๆ ก็เกรงจะทำให้เขาระแวงสงสัยหรือบาดหมางใจ จึงนิ่งเสีย
ถึงเขาจะเข้าใจแต่ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนเรื่องพูด เซียงฉือก็พูดออกมา
“เคยเกลียด”
เซียงฉือค่อยๆ แย้มปาก ริมฝีปากแดงสดเปล่งคำสองคำออกมาแผ่วเบา
ถึงกับทำให้หรงจิงอึ้งงันไป เคยเกลียดหรือ หมายความว่าอย่างไร
หรงจิงคิดทันควันแล้วถามออกไป
“หมายความว่าอย่างไร”
เซียงฉือก้มหน้า บีบนิ้วมือเข้าหากันพูดขึ้นเบาๆ
“ถึงหม่อมฉันจะยังยาว์ แต่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านปู่ ศึกษาอยู่ต่อหน้าท่านมา รู้ว่าท่านปู่เป็นคนนอบน้อมถ่อมตนและยุติธรรม เรื่องใหญ่น้อยในบ้านท่านจะจัดการอย่างเป็นธรรม ในใจของหม่อมฉัน ท่านปู่เป็นผู้ที่ยุติธรรมสุจริตที่สุดเพคะ”
“ตอนนั้นท่านปู่ถูกคนฟ้องร้องว่าทุจริตเงินหลวง หม่อมฉันรู้สึกราวฟ้าถล่มดินทลาย ไม่เชื่อว่าท่านปู่จะเป็นคนเช่นนั้น และขณะถูกจองจำ คนมากมายที่ท่านปู่เคยช่วยเหลือ เพื่อนฝูงที่เคยสงเคราะห์ ต่างพากันปลีกตัวจากไป ในใจจึงยิ่งหม่นหมอง”
“เคยคิดว่าคงต้องตายแน่แล้ว แต่เพราะฝ่าบาททรงนิรโทษกรรมทั่วหล้าจึงได้มีชีวิตรอดมาได้ แต่เพราะตอนนั้นหม่อมฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเป็นฮ่องเต้ที่ทรงปรีชาจึงได้เกลียดชังฝ่าบาทมาก่อน
แต่พอหม่อมฉันรู้จักพระองค์นานวันเข้าจึงค่อยๆ กระจ่าง ถึงฝ่าบาทจะทรงเป็นถึงเจ้าเหนือหัว แต่ก็ทรงหมั่นเพียรในราชกิจทุกวี่วันโดยไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย ส่วนสิ่งที่พระองค์ทรงทราบและสดับฟังล้วนมาจากคำกราบทูลของขุนนางใหญ่ในราชสำนักทั้งสิ้น ดังนั้น…”
เซียงฉือยังพูดไม่จบ หรงจิงก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะโดยแรง
นางตกใจไม่กล้าพูดต่อ หรงจิงขมวดคิ้วแล้วต่อคำพูดของเซียงฉือ
“ดังนั้น เจ้าจึงคิดว่าคดีเก่าของเจ้าเมืองหลานโจวอวิ๋นเทียนเป็นคดีเท็จ ต้องการให้ข้าล้างมลทินให้กับพวกเจ้าทั้งตระกูลหรือ”
“อวิ๋นเซียงฉือ นี่เจ้าคิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาด สามารถพูดเพราะประทับใจล่อลวงข้าสินะ”
หรงจิงเริ่มโกรธขึ้นมา
เซียงฉือเข้าใจ นางเก็บปากเก็บคำ สำรวมยิ่งขึ้น
และรู้ว่าตัวเองใจร้อนบุ่มบ่ามเกินไปเสียแล้ว