บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 328 คำตอบของเซียงฉือ / ตอนที่ 329 แนบเนียน
ตอนที่ 328 คำตอบของเซียงฉือ
ก่อนที่เซียงฉือจะย่างเข้าตำหนักอวี้หยวนก็รู้ว่า ถึงนางจะเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายฝ่าบาท แต่ท้ายที่สุดยังคงเป็นเพียงตัวละครที่เล็กจ้อยในผงธุลี ไม่มีความดีความชอบต่อแผ่นดิน ไร้ประโยชน์ต่อฮ่องเต้
การที่หรงจิงมาด้วยตนเองในวันนี้ เมื่อฟังจากคำพูดสวี่อี้แล้วนางก็เข้าใจ ว่าเพราะนี่เป็นพระเกียรติของฮ่องเต้
เซียงฉือก็เหมือนของใกล้ตัวสิ่งหนึ่งของหรงจิง เมื่อมีคนบังอาจมาฉกชิงถึงใต้หนังตา เห็นพระราชอำนาจของเขาเป็นอะไร และการที่เขาโมโหโกรธาก็ไม่ใช่เพราะนางแต่เพราะกุ้ยเฟย
ถ้าหากเซียงฉือตายไปก็จะทำให้โทษทัณฑ์กุ้ยเฟยยิ่งหนักขึ้น การตีข้าราชสำนักสตรีจนตายนั้นมีโทษดุจเดียวกับกบฏ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียงฉือเป็นถึงข้าราชสำนักสตรีข้างกายฝ่าบาท สำหรับหรงจิงแล้วคงต้องโกรธอย่างยิ่ง ถึงขนาดสามารถส่งกุ้ยเฟยเข้าตำหนักเย็นได้
แต่ว่านางคือจินกุ้ยเฟย วันใดที่ขุนพลจินยังไม่ล้ม วันนั้นๆ นางก็ยังคงเป็นจินกุ้ยเฟยที่สามารถสั่งลมเรียกฝนในวังได้
เซียงฉือเลิกแยแส นางเข้าใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาโดยตลอด
นางเพียงแต่รอให้กุ้ยเฟยลนลาน รอนางเอ่ยปากคุกคามนางขึ้นมาก่อน
คำพูดโจ่งแจ้งเช่นนี้ทุกคนในเหตุการณ์ย่อมต้องฟังเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าบาท
เซียงฉือเข้าใจจุดนี้ดี และก็คิดกระจ่างแล้วว่าวิบากทั้งปวงที่นางได้รับในวันนี้จะต้องไม่สูญเปล่า แต่จะให้ฝ่าบาทลงโทษกุ้ยเฟยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะลงโทษจริงก็ไม่รุนแรงอะไร
แต่ถ้าหากนางวู่วามเพียงชั่วขณะ เกรงว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของคนทั้งครอบครัว
เซียงฉือไม่กล้าเสี่ยง นางทำเช่นนี้เพื่อให้ฮ่องเต้รู้ว่าไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการพูด แต่ว่าลิ้นของนางถูกผูกไว้ด้วยชีวิตของคนทั้งครอบครัว
เมื่อครู่ก่อนฝ่าบาทกับนางเพิ่งถกเรื่องการเลือกระหว่างคนในครอบครัวกับฮ่องเต้ ในเวลานี้นางจำเป็นต้องพูดเสริมอีกเพียงเล็กน้อย
เซียงฉือจึงคุกเข่าลง
“กุ้ยเฟยทรงมีพระเมตตา ตั้งแต่วันที่หม่อมฉันเข้าตำหนักอวี้หยวน พระองค์ก็ได้ทรงดูแลคนในครอบครัวของหม่อมฉัน พระกรุณานี้หม่อมฉันจดจำมิรู้ลืม ถึงจะไม่สามารถรับใช้อยู่ข้างพระองค์ แต่ย่อมจะไม่ทำให้กุ้ยเฟยกับหวังหมัวหมัวต้องแบกรับความผิดนี้เพคะ”
“ใต้เท้าเหอห่วงใยหม่อมฉัน ทำให้หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่งนัก ใต้เท้าสวี่รักษากฎหมายผดุงความยุติธรรม ทั้งยังช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้อีกด้วย หม่อมฉันสำนึกในบุญคุณใต้เท้าสวี่ที่ช่วยชีวิต แต่ว่า…”
เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อพูดเรื่องนี้ก็ค้อมกายประสานมือคำนับใต้เท้าสวี่กับใต้เท้าเหอ อีกทั้งกราบจินกุ้ยเฟย
นางเงยหน้ามองกุ้ยเฟยที่ด้านข้าง เซียงฉือมองดูนางแล้วพูดปดออกไปตาไม่กะพริบ
เพราะนางคิดคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว คิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในห้องบรรทม
อีกทั้งยังคิดทบทวนในอกอยู่หลายรอบ แม้จะไม่ถึงกับไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่ได้มีช่องโหว่มากนัก ขอเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้คอยผสมโรงสักหน่อยก็จะไปได้ดี
เซียงฉือมองกุ้ยเฟย ริมฝีปากบางขยับขึ้นน้อยๆ เหมือนจะยิ้ม พูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท กุ้ยเฟย ใต้เท้าทั้งสอง เรื่องวันนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคดีของหลิวชิงในครั้งนั้น วันนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันได้พัก หม่อมฉันจึงฝึกเขียนหนังสืออยู่ในห้อง แต่ไม่นานนักก็มีคนสองคนไปเคาะประตู คนหนึ่งเป็นขันทีส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนางกำนัล ซึ่งล้วนเป็นคนของตำหนักอวี้หยวน ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่รู้จักชื่อ แต่คุ้นหน้าคุ้นตาดี”
“สองคนนั้นอ้างว่ากุ้ยเฟสทรงมีรับสั่งด่วนเรียกให้หม่อมฉันรีบไป หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่กุ้ยเฟยทรงดูแลส่งเสริม จึงติดตามพวกเขาไปโดยไม่สงสัยอะไร”
เซียงฉือเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้อย่างไม่ผิดความจริงนัก อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คำพูดหลังจากนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ตอนที่ 329 แนบเนียน
เซียงฉือกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งแล้วมองดูกุ้ยเฟย แสดงออกชัดเจนผ่านท่าทางว่า ‘คำพูดของข้า เซียงฉือคนนี้ กุ้ยเฟย ท่านพอใจหรือไม่’
เซียงฉือเห็นกุ้ยเฟยเผยอริมฝีปากแล้วกลับหุบลง หัวคิ้วขมวดน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดตัดบทนาง นางจึงพูดต่อ
“จากนั้นพวกเขาได้พาหม่อมฉันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ หม่อมฉันรู้จักเส้นทางไปตำหนักอวี้หยวนดีจึงเริ่มสงสัยคนทั้งสอง แล้วจู่ๆ พวกเขาก็ออกลาย จับหม่อมฉันมัดไว้”
“กงกงคนนั้นเรี่ยวแรงเยอะมากดูไม่เหมือนขันที แล้วพวกมันก็พูดออกมาว่าจะแก้แค้นแทนหลิวชิง จะผลักหม่อมฉันลงแม่น้ำไป”
“ขณะนั้นทหารองครักษ์ในละแวกนั้นผ่านมาพอดี คนคนนั้นกลัวว่าจะถูกพบจึงชกหม่อมฉันหมัดหนึ่ง หม่อมฉันศีรษะกระแทกพื้นจึงสลบไปแล้วจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้อีกเลยเพคะ”
เซียงฉือบอกกล่าวเรื่องที่ตนถูกจับ ถูกค้นพบ เรื่องที่ว่าเหตุใดตนจึงไปอยู่ใกล้ที่ลุ่มนั้นออกมาอย่างแจ่มแจ้ง
กุ้ยเฟยฟังแล้วก็เหลือบมองหวังโมโม จากนั้นจึงนั่งสงบนิ่ง ค่อยๆ ผ่อนหายใจออก มองดูเซียงฉืออย่างสมใจเต็มที่
ใครๆ ก็รู้ว่าการกล่าวเท็จต่อฮ่องเต้มีโทษถึงตาย แต่บ่อยครั้งมากที่ไม่โกหกก็ไม่ได้
หรงจิงฟังแล้วก็เคาะนิ้วเบาๆ บนถ้วย ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงนิ้วของหรงจิงที่กระทบถ้วยน้ำช้าๆ ไม่รู้ว่าโกรธหรือคับอกคับใจ
เขาไม่พูด จินกุ้ยเฟยในตอนนี้ก็เงียบ นั่นเป็นเรื่องที่นางคิดจะไปทำ
ส่วนสวี่อี้เมื่อได้ยินคำพูดคุกคามของจินกุ้ยเฟยต่อเซียงฉือจึงเข้าใจสถานภาพของเซียงฉือในตอนนี้ดี
วันนี้นางถูกหยามหยันมากถึงเพียงนี้แต่ยังคงยิ้มอย่างนุ่มนวลได้อยู่ นี่ไม่ใช่เซียงฉือคนที่นางรู้จักมักคุ้น เกิดความรู้สึกว่าเซียงฉือในตอนนี้มีความคล้ายคลึงกับใต้เท้าเหอที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา
รักเหยียดล้วนไม่สะทก สงบเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง จากเด็กสาวที่รู้จักตอบโต้ปกป้องตนเอง เพียงไปอยู่ข้างกายฝ่าบาทไม่นานดูเติบโตขึ้นไม่น้อย
สายตาเหอจิ่นเซ่อที่มองดูเซียงฉือยามนี้ไหวเล็กน้อย จู่ๆ นางบังเกิดความกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าเซียงฉือที่เป็นแบบนี้ จะใช่ผลลัพธ์ตามที่นางต้องการหรือไม่
นางหวังจะเห็นเซียงฉือเติบโต หวังให้นางเป็นเหมือนสวี่อี้ ทว่าความเกลียดแค้นที่วูบผ่านไปแวบหนึ่งในดวงตาของนางนั้นทำให้นางหวาดหวั่น นางรู้สึกว่าเซียงฉือกำลังเตรียมจะทำเรื่องใหญ่ชนิดแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
หรงจิงฟังคำพูดของนางและเห็นท่าทางใจเย็นของนางเช่นนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจฟังคำพูดช่วงหลัง เพียงได้ยินประโยคที่ว่าตั้งแต่นางเข้าตำหนักอวี้หยวน ครอบครัวของนางได้รับการดูแลจากกุ้ยเฟยเป็นพิเศษ
เขาเพียงเข้าใจความหมายของประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนที่เหลือนั้น ไม่ผิดคาดหมาย ผู้คุมตำหนักอวี้หยวนเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท กุ้ยเฟย องครักษ์ประจำตำหนักอวี้หยวนจางเหมิ่งกับนางกำนัลขั้นสามหมิ่นเอ๋อร์ได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามคำบอกเล่าของพวกคนรับใช้ สองคนนี้เคยได้รับบุญคุณจากหลิวชิงมาก่อน คิดว่าคงต้องการแก้แค้นให้กับหลิวชิง เรื่องนี้ไม่ทราบว่าควรดำเนินการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีคนนั้นทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้และกุ้ยเฟยด้วยเสียงแหลมน้ำเสียงลนลาน แต่หากดูจากฝีเท้าแล้วไม่เห็นความลนลานสับสน กลับดูเป็นความวุ่นวายอย่างมีแบบแผน กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืนใบหน้ายิ้มเศร้า
สวี่อี้กำลังจะนำคนออกไปตรวจสอบก็เห็นสัญญาณจากเหอจิ่นเซ่อ นางไม่พูดอะไรแล้วถอยกลับไปในที่เดิมเหมือนไม่มีตัวตน
กุ้ยเฟยเริ่มมีชีวิตชีวา นางหันหน้าไปมองสวี่อี้และเหอจิ่นเซ่อ พูดขึ้นว่า
“ใต้เท้าทั้งสองยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ใต้เท้าเหอรับปากไว้แล้ว หาคำอธิบายดีๆ มาให้ข้าด้วยล่ะ”