บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 420 ปริศนาโคมไฟ / ตอนที่ 421 เหอเจี่ยนสุยปรากฏตัว
ตอนที่ 420 ปริศนาโคมไฟ
ผู้เฒ่าเห็นว่าไม่สามารถทำให้แม่นางน้อยผู้นี้กลัวได้จึงลูบหนวดพูดขึ้น
“แม่นางน้อยฟังให้ดี ปริศนาของข้าคือ ‘ซื่อหลังกรมพระคลัง พักตร์ดุจกวนอวิ๋นฉาง รับตำแหน่งดอกท้อบาน ลาราชการเบญจมาศเฉา’[1] คำตอบเป็นสิ่งของสิ่งหนึ่ง!”
เซียงฉือฟังจบก็ท่องเงียบๆ อยู่สองรอบ นางมองไปเห็นของสิ่งหนึ่งในมือของชายหนุ่มรูปงามด้านหลังผู้เฒ่าจึงยิ้มแล้วตอบว่า
“พัด!”
ลุงคนนั้นพอได้ยินก็หัวเราะร่าเสียงดัง
“แม่นางฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ ใช่แล้วคือพัด! โคมไฟนี้เป็นของเจ้าแล้ว ขอให้เจ้าคิดสิ่งใดสมใจปรารถนา ได้พบกับคู่ครองในเร็ววัน”
เซียงฉือได้ยินเขาพูดเช่นนั้นใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นทันที คิดจะอธิบายแต่ก็ส่ายหน้า รีบจ่ายเงินแล้วก็หยิบโคมดอกท้อจากมือเขา ถือไว้ในมือด้วยความชอบใจ
“น่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ”
เซียงฉือถือโคมไฟเดินไปข้างหน้าช้าๆ เทศกาลอวี้หลานนี้ มีเรือที่ประดับประดางดงามแล่นในลำน้ำชิงไม่ขาดสาย เพราะมีคนจำนวนมาก เกรงจะเกิดการพลั้งพลาดตกน้ำ ดังนั้นทหารเป็นชุดๆ จะคอยเลียบตรวจตราตามชายฝั่ง
เซียงฉือถือโคมไฟเดินไปเรื่อยอย่างมีความสุข วันนี้นางไม่ตั้งใจจะมาพบใคร แต่เพราะนางอยู่ในวังมานาน ปรารถนาจะออกมาเที่ยวชมที่นอกวังอย่างยิ่ง
ได้เห็นแม่น้ำชิงที่งดงาม นครอวิ๋นหยางที่คึกคักรุ่งเรือง ถึงนางจะดำเนินชีวิตอยู่ที่นี่ แต่เพราะกำแพงสูงๆ ที่กางกั้นจึงไม่เคยได้เห็นมาก่อน
แต่ละย่างก้าวแต่ละทิวทัศน์ ราวบทลำนำภาพวาด นางชื่นชอบสถานที่คึกคักเช่นนี้ ชอบเสียงอึกทึกของผู้คนจำนวนมาก
นางเดินช้าๆ ไปเรื่อยๆ ริมฝั่งมีคนจุดดอกไม้ไฟ เสียงดังสนั่นก้องขึ้นบนฟ้า ระเบิดเป็นดอกไม้งดงามกระจายอยู่กลางอากาศ เซียงฉือยิ้ม แต่ขณะที่นางเพิ่งหยุดเท้าเพื่อชมอยู่นั้นก็ถูกคนทางด้านหลังชนเข้า
นางเซถลาในทันที คนคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงเขาจะรีบร้อนจากไป แต่เซียงฉือก็ทันเห็นดวงตาคู่นั้นของเขา
ดวงตารูปหงส์แคบยาวรี ท่าทางลุกลี้ลุกลนดูเร่งรีบ เมื่อเซียงฉือรู้สึกตัวมองไป เบื้องหน้านางเป็นเงาร่างของคนคนหนึ่ง เงาร่างที่นางรู้สึกคุ้นตา
ถึงจะดูคุ้นตาแต่ก็มีความแปลกหน้า เซียงฉือถือโคมไฟแน่นแล้วตามคนคนนั้นไป
เส้นขนทุกเส้นบนร่างนางลุกชัน นางถือโคมไฟแน่นด้วยความตื่นเต้นติดตามไป
หัวใจของนางเต้นถี่เร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว การเดินของคนคนนั้นดูซวนเซและเลี่ยงออกนอกทางหลักอย่างลนลาน เขาเดินเข้าไปในตรอกเล็ก
เซียงฉือเหลียวซ้ายแลขวา กัดฟันแล้วติดตามไป
เพราะว่านางนึกขึ้นได้แล้ว คนคนนั้นก็คือบิดาที่นางไม่ได้พบมานาน บิดาของนาง อวิ๋นเฉิง
ใจของเซียงฉือเต้นโครมคราม นางกลัวว่าอวิ๋นเฉิงจะลอบเข้ามาในอวิ๋นหยาง ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อันใด ในเมื่อเซียงฉือจำเขาได้แล้ว ก็ไม่อาจที่จะไม่สนใจได้
นี่คือญาติสนิทคนสุดท้ายของนางแล้ว เซียงฉือไม่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเจตนาของอวิ๋นเฉิงหรือไม่ นางยังคงโอบกอดความหวังนับหมื่นเดินตามไป
เซียงฉือติดตามคนคนนั้นลดเลี้ยวไปมาตามตรอกซอกซอย แต่แล้วก็คลาดกันทำให้นางโมโห
“ทำไมข้าโง่นัก แค่คนคนเดียวก็ยังตามไม่ทัน”
เซียงฉือกระทืบเท้าอย่างจนปัญญาแล้วคิดจะจากมา ขณะหมุนตัวกลับนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง
“โอ๊ะ!”
จากนั้นก็เป็นเสียงมีดดาบกระทบกัน เซียงฉือรีบเร่งเดินไปตามเสียงนั้น
นางฉลาดพอที่จะเป่าโคมไฟให้ดับแล้วอาศัยแสงจันทร์ มองไปเห็นคนด้านในตีกันเป็นกลุ่มก้อน
คนทั้งสองกลุ่มต่างแต่งชุดกลางคืนสีดำ แต่สามารถแยกทั้งสองฝ่ายออกได้ก็เพราะอาวุธที่พวกเขาใช้นั้นแตกต่างกัน
กลุ่มหนึ่งใช้ดาบด้ามสั้น อีกฝ่ายใช้มีดสั้น
ส่วนคนที่เซียงฉือสงสัยว่าจะเป็นบิดาของนางนั้นได้ถูกกลุ่มที่ถือมีดสั้นจับตัวไว้ เจ้าตัวนั้นสลบไปแล้วและถูกคนคนหนึ่งแบกไว้ พวกเขาต่อสู้ไปพร้อมกับถอยร่นไปด้วย
[1] ‘ซื่อหลังกรมพระคลัง พักตร์ดุจกวนอวิ๋นฉัง รับตำแหน่งดอกท้อบาน ลาราชการเบญจมาศเฉา’ (户部一侍郎,面似关云长,上任桃花开,辞官菊花黄) เป็นโจทย์คำถามปริศนาที่ให้ทายว่าหมายถึงของสิ่งใด คำตอบคือ “พัด” ด้วยเหตุว่า
1. พัดเป็นสิ่งของที่ต้องใช้ในบ้าน (户 แปลว่าครัวเรือน ฯลฯ 侍 แปลว่า รับใช้ 郎 เป็นคำภรรยาเรียกสามี เมื่อรวมคำ侍郎 จะหมายถึงตำแหน่งขุนนางจีนในสมัยโบราณ แต่ในที่นี่เป็นการเล่นคำจากความหมายว่าเป็นขุนนางในกรมพระคลัง มาเป็นคนรับใช้ภายในบ้าน ซึ่งพัดก็ทำหน้าที่นี้)
2. กวนอวิ๋นฉางเป็นชื่อรองของกวนอวี่ (关羽) ซึ่งคนไทยรู้จักในนามกวนอู 羽 อวี่ แปลว่าขนของสัตว์ปีกซึ่งนำไปใช้ทำพัด
3. ดอกท้อผลิดอกในเดือน มี.ค-เม.ย ถึงจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศเริ่มร้อนแล้ว พัดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
4. ดอกเบญจมาศบานในฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มหนาว พัดจึงถูกเก็บขึ้น
ตอนที่ 421 เหอเจี่ยนสุยปรากฏตัว
เซียงฉือมองดูด้วยความอกสั่นขวัญแขวน นางเห็นกลุ่มที่ถือมีดสั้นต่อสู้ไปด้วยถอยร่นไปด้วย
แล้วกระโดดขึ้นไปบนกำแพง หลบหนีออกจากการต่อสู้ตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งยังคงติดตามไม่ลดละ
“อุ๊บ…”
เซียงฉือคิดจะติดตามไป แต่ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งปิดปากนางไว้จากด้านหลัง นางหวาดกลัวคิดจะร้องเรียกให้คนช่วย แต่แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“เซียงฉือ ข้าเอง”
เหอเจี่ยนสุย!
เซียงฉือหันกลับไปก็เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของเหอเจี่ยนสุย ขนที่ลุกชันบนร่างคลายลงไปมาก นางมองดูเขา หอบหายใจเบาๆ
“ทำไมเป็นเจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เซียงฉือถามเสียงเบา เหอเจี่ยนสุยเผยฟันขาวชวนมอง เขาประคองนางขึ้นแผ่วเบา ปัดฝุ่นผงบนร่างให้แล้วพูดขึ้นว่า
“ก็ตามเจ้ามาน่ะสิ เห็นเจ้าแต่ไกลแล้ว แต่เจ้าวิ่งเร็วอย่างกับเหาะ ตอนแรกข้ายังคิดว่าดูผิดคนไปเสียอีก เจ้านี่นะ เหตุใดถึงได้ออกมาวิ่งเล่นตามใจชอบคนเดียวแบบนี้”
เหอเจี่ยนสุยสำรวจดูนางอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงถอนใจยาว อดไม่ได้ต้องกล่าวตำหนิ
เซียงฉือยิ้มแล้วก้มหน้า จู่ๆ นางคิดถึงคนคนนั้นและสงสัยว่าเหตุใดเหอเจี่ยนสุยที่ตามนางมาตลอดจึงไม่ส่งเสียง จนกระทั่งถึงเมื่อครู่จึงเพิ่งรั้งนางไว้
นางขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อมองเห็นสายตาเปี่ยมยิ้มของเหอเจี่ยนสุยแล้วจึงได้ค่อยๆ คลายออก
ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าบังเอิญเกินไป แต่เหอเจี่ยนสุยรู้จักกับนางมาตั้งแต่เล็ก ยามเมื่อครอบครัวนางตกยาก บ้านสกุลเหอก็เป็นเพียงครอบครัวเดียวที่ช่วยเหลือในยามลำบาก
พวกคนชุดดำวิ่งห่างออกไปไกลแล้ว นางไม่มีความสามารถพอหากคิดจะติดตามไป อีกทั้งบิดานางก็อยู่ในหลานโจว ถึงฝ่าบาทจะอภัยโทษให้เขาไม่ต้องเป็นคนชั้นต่ำ แต่ก็ยังไม่อนุญาตให้เขาออกจากหลานโจวจึงได้แต่เพียงค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประทังชีวิต
ดังนั้นนางจึงนำเบี้ยหวัดของตนเองทั้งหมดไหว้วานเหอจิ่นเซ่อให้ช่วยส่งไปให้บิดาใช้ดำเนินชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้จะสงสัยว่าคนคนนั้นเป็นบิดาตน แต่ก็รู้สึกว่าออกจะเหลือเชื่อเกินไป
‘ข้าต้องจำคนผิดแน่’
เซียงฉือกับเหอเจี่ยนสุยพากันเดินออกไปทางด้านนอก เซียงฉือพูดขึ้นเบาๆ เหอเจี่ยนสุยได้ยินและคิดจะถาม แต่เห็นนางหันกลับไปดูโคมไฟของตัวเองด้วยท่าทีเสียดาย
“โคมไฟข้าดับไปแล้ว โคมไฟของเจ้าล่ะ”
เหอเจี่ยนสุยเห็นโคมไฟดอกท้อในมือนางแล้วตกตะลึง เขาเดินรอบไปทั่วแต่ไม่พบโคมไฟดอกท้อโคมนั้น แต่ไรมาเขามีความทรงจำเป็นเลิศจนน่าตกใจ เพียงแค่เขาได้เห็นก็จะจดจำได้ ถ้าเช่นนั้นโคมไฟดอกท้อโคมนี้ก็เป็นดวงที่มีคนเอาไปก่อนที่เขาจะเห็น
เมื่อคิดได้แล้วดวงตาคู่นั้นของเหอเจี่ยนสุยก็หรี่ลงมองดูอันตราย
เซียงฉือไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป แต่สีหน้าเขาดูไม่ดีนัก นางคิดว่าเขาคงไม่พอใจที่โคมไฟในมือของนางไม่เหมือนกับของเขาจึงได้พูดปลอบเขา
“ในเมื่อโคมอันนี้ดับไปแล้ว มันกับข้าคงไม่มีวาสนาต่อกันมากนัก พวกเราไปเลือกอันใหม่กันดีกว่า”
เซียงฉือไม่ต้องการให้เหอเจี่ยนสุยไม่มีความสุขจึงได้เอ่ยปากให้ไปเลือกโคมไฟอันใหม่ นางถือโคมดอกท้อไว้ไม่คิดจะโยนทิ้งเพราะชอบมันมาก เอาติดกลับเข้าวังไป บางทียังจะจุดขึ้นมาชื่นชมบ้างก็เข้าที
นางคิดเช่นนั้นแต่เหอเจี่ยนสุยใจลอย
ในลำน้ำชิงมีเรือที่ประดับประดางดงามแล่นกันขวักไขว่ เสียงความสนุกสนานแว่วออกมาจากในเรือไม่ขาดสาย ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้เทศกาลอวี้หลานไม่น้อย
อารมณ์ที่ดีแต่แรกของเซียงฉือถูกการปรากฏกายของชายผู้นั้นทำให้ตึงเครียดขึ้น
กระทั่งเหอเจี่ยนสุยที่ไม่ได้พบกันนานก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งกับนาง
นางไม่สามารถอยู่ข้างนอกนี้ได้นานจึงเตรียมจะกลับ