บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 478 บังเอิญพบ / ตอนที่ 479 กุ้ยเฟยขอออกนอกวัง
ตอนที่ 478 บังเอิญพบ
สวี่อี้ไม่ตอบคำถามแต่รีบวางชามตะเกียบลง นางดึงเซียงฉือพูดอย่างร้อนรน
“พวกเราไปดูที่อยู่ของสวีหมิ่นกัน เจ้าดมดูซิว่าบนตัวยังมีกลิ่นเครื่องหอมอีกไหม กลิ่นนี้ระเหิดได้เร็วมาก หากเพียงไปนั่งในห้องวั่นกงกงชั่วครู่แบบพวกเราก็จะเหมือนเจ้ากับข้าที่กลิ่นหายไปเร็วมาก ทั้งเมื่อวานฝนยังตกหนักขนาดนั้น”
เซียงฉือก็ใจร้อนอยากเร่งปิดคดีจึงรีบเข้าไปใกล้
“สวี่อี้เจ้าไปตรวจที่อยู่ของสวีหมิ่นก่อน ข้าต้องกลับไปดูแลองค์หญิง ฝ่าบาทต้องเสด็จไปประชุมเช้า ข้างกายองค์หญิงจะขาดคนที่ทรงไว้วางพระทัยไม่ได้อีกแล้ว”
เซียงฉือพอออกประตูหน้ากองคดีก็ฉุดข้อมือสวี่อี้แล้วพูดเช่นนั้น สวี่อี้ฟังคำพูดนั้นแล้วนิ่งงันไปก่อนจะพยักหน้า
“เพราะข้าคิดอ่านไม่รอบคอบทำให้องค์หญิงถูกลอบทำร้ายถึงสองครั้ง คิดว่าคงทรงเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินในเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเข้า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง เพราะฉะนั้นเจ้าไปเฝ้าเถอะ ข้าจะไปตรวจสถานที่ของสวีหมิ่นให้ละเอียดสักครั้ง”
เซียงฉือรีบเร่งเดินไป กองคดีไม่ได้อยู่ใกล้กองโอสถมากนัก นางจึงเดินอย่างเร่งรีบตลอดทาง ทัศนียภาพอันวิจิตรงดงามในวังจึงเพียงแวบผ่านตาเซียงฉือไปเท่านั้น
ในขณะรีบร้อนก็ไปชมโครมเข้ากับคนคนหนึ่ง เซียงฉือถอยร่นไป กุมศีรษะด้วยความเจ็บ พอนางลืมตาขึ้น มองเห็นชุดคลุมยาวริมปักลายเมฆอยู่เบื้องล่างของนิ้วมือก็ลอบร้องแย่แล้วในใจ
“โอ๊ย โอ๊ย…”
เซียงฉือแสร้งทำท่าทางเจ็บปวด คิดจะหมุนกายวิ่งหนีแต่ถูกรวบคอเสื้อไว้
“เจ้านี่ชักใจกล้าใหญ่แล้ว เจ้าเป็นคนพุ่งเข้ามาชนเอง ยังคิดจะไม่รับผิดชอบหรือไร”
“แต่ก็ว่าไม่ได้ ไม่รู้เจ้าเด็กต๊องคนไหนใจกล้าเทียมฟ้าถึงกับกล้าผิดสัญญากับประมุขของแผ่นดิน เจ้าลองบอกหน่อยซิว่า จะให้ประมุขของแผ่นดินผู้นี้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เซียงฉือหันกายกลับมายิ้มอย่างประจบประแจง
“ฝ่าบาททรงมีพระราชทรัพย์ถึงสี่คาบสมุทร มีน้ำพระทัยขยายไปถึงห้าทวีป จะทรงเอาเรื่องเอาราวอะไรกับสตรีตัวน้อยๆ อย่างหม่อมฉันเล่าเพคะ”
หรงจิงเงียบไม่ยิ้ม เขาคลายมือออก เซียงฉือยิ้มแล้วน้อมกายทำความเคารพ
“อวิ๋นเซียงฉือถวายพระพรฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญเพคะ”
หรงจิงพยักหน้าพูดว่า
“ไม่ต้องจงใจเร่งไปแล้ว ข้าได้เรียกฉี่เหวินให้มาช่วยเฝ้าไข้นานแล้ว ฉี่เหวินเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า นางเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ เป็นญาติสนิทที่ไว้ใจได้”
เซียงฉือผงกศีรษะน้อยๆ รู้สึกว่าหรงจิงคิดการรอบคอบ วินิจฉัยถ้วนถี่ แม้แต่คำพูดที่นางคิดจะพูดแต่ยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ได้รับคำตอบก่อนแล้ว ทำให้นางเบาใจอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาททรงงานอย่างรอบคอบตลอดมา หม่อมฉันได้พึ่งพระบารมีที่ทรงดูแลอย่างที่สุดเพคะ”
หรงจิงมองนางไม่พูดอะไร เขาเพิ่งเลิกจากประชุมราชสำนัก เมื่อเห็นว่าเซียงฉือไม่ได้กลับมาทั้งคืนจึงคิดว่านางคงจะอยู่ที่นี่ แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงเดินถึงหน้าประตูกองโอสถก็ชนกับนางเข้าให้
ช่างเป็นพรหมลิขิต
หรงจิงยื่นมือคิดจะไปลูบผมเซียงฉือ แต่แล้วเห็นด้านข้างมีคนคนหนึ่งลับๆ ล่อๆ แอบมองอยู่จึงกวักมืออย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต
ซูกงกงรีบเดินเข้าไป หรงจิงก้มตัวลงเล็กน้อยกระซิบความบางอย่างที่ข้างหูซูกงกง แล้วก็เห็นซูกงกงนำคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปด้านในพงทึบ
หรงจิงมองดูอีกครั้งแล้วหันหน้ากลับมาถาม
“ตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว”
เซียงฉือคารวะหรงจิงแล้วพูด
“พระบารมีปกเกล้า หม่อมฉัน ใต้เท้าสวี่และใต้เท้าฉู่ได้ทุ่มเทเต็มสติกำลัง ใต้เท้าทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือในแต่ละด้าน จะต้องสามารถคลี่คลายคดีนี้ถวายฝ่าบาทได้เพคะ”
เซียงฉือพูดเช่นนี้เหมือนกับพูดขอความเมตตาให้กับสวี่อี้และฉู่อวิ๋นเซียว หรงจิงเหลือบมองนาง
“แล้วเจ้าล่ะ”
ตอนที่ 479 กุ้ยเฟยขอออกนอกวัง
เซียงฉือชะงักไปครู่หนึ่งจึงได้พูดอย่างซนๆ ว่า
“ฝ่าบาทมิได้ทรงส่งหม่อมฉันให้ไปเป็นฝ่ายกำกับดูแลหรอกหรือเพคะ”
หรงจิงหัวเราะหึหึ จิ้มหน้าผากเซียงฉือแล้วพูดว่า
“เจ้าเด็กผี เอาความฉลาดของเจ้าไปใช้ที่อื่น ข้าต้องการให้เจ้าปิดคดีนี้ให้ได้อย่างดีที่สุด แล้วข้าจะมีรางวัลให้”
เซียงฉือหมอบกายต่ำลงแล้วพูดยิ้มๆ
“หม่อมฉันจะทุ่มเทสุดกำลัง จะไม่ทำให้ทรงผิดหวังเพคะ”
หรงจิงพยักหน้าอย่างปลื้มใจ ขณะนั้นมีเสียงพูดจาเจ็บแสบของสตรีคนหนึ่งแว่วมาจากด้านหลังเซียงฉือ เสียงเจือความริษยาลอยมาเข้าหูเซียงฉือแต่ไกล
“โอ๊ะ หม่อมฉันคิดว่าเป็นชายาคนไหนกำลังหยอกล้ออยู่กับฝ่าบาทที่ใต้ต้นสาลี่นี่เสียอีก พอเดินมาถึงกลับเห็นใต้เท้าอวิ๋นคนโปรดของฝ่าบาทเสียนี่”
เสียงของจินกุ้ยเฟยเจือความใจดำและเย้ยหยัน แววตาไม่ได้มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย เซียงฉือถอยออกไปก้าวหนึ่งเพื่อเปิดช่องว่างให้จินกุ้ยเฟย ตรงนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับให้นางพูด จินกุ้ยเฟยสามารถวางอำนาจต่อหน้าฝ่าบาทได้ก็เพราะฝ่าบาทรักใคร่นาง แต่ทุกอย่างของเซียงฉือล้วนต้องดิ้นรนให้ได้มาด้วยตนเองทั้งสิ้น นางจึงต้องเจียมตัว
เซียงฉือก้มหน้าเตรียมผละไป นางไม่อยากเห็นหน้าจินกุ้ยเฟย และไยต้องอยู่ให้นางหยามหยันอยู่ที่นี่
เมื่อจินกุ้ยเฟยเห็นเซียงฉือจะผละไปจึงพูดขึ้นเสียงดัง
“ฝ่าบาท มิสู้หม่อมฉันทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาท ขอให้พระองค์รับเด็กเซียงฉือคนนี้ไว้เถิดเพคะ ให้นางเป็นกุ้ยเหรินหรือฉังไจ้ก็ได้ ต่อไปก็จะได้เป็นพี่ๆ น้องๆ ครอบครัวเดียวกัน ไม่ทราบฝ่าบาททรงเห็นเป็นอย่างไรเพคะ”
หรงจิงขมวดคิ้วมองจินกุ้ยเฟยอย่างไม่พอใจนัก
“อวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีของข้า กุ้ยเฟยจำเรื่องนี้ไว้ให้ดี หากไม่มีเรื่องอะไรข้าก็จะไปเยี่ยมหมิงอวี้แล้ว”
หรงจิงพูดจบสีหน้าจินกุ้ยเฟยเจื่อนไป แต่ก็โผเข้าไปข้างกายหรงจิงได้อย่างรวดเร็ว พูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนรักใคร่
“ฝ่าบาทอย่าพิโรธเลยเพคะ หากมิทรงประสงค์ก็ไม่ต้องทรงรับไว้ วันนี้หม่อมฉันตั้งใจมาเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”
หรงจิงพอได้ฟังคำพูดอ่อนหวานของจินกุ้ยเฟยแล้วรู้สึกสบายใจ ถึงยังหน้าตึงอยู่แต่ไม่ได้โกรธแล้ว เซียงฉือได้ฟังคำพูดเมื่อครู่ของกุ้ยเฟยแล้วบังเกิดความกลัวว่าหรงจิงจะเห็นดีเห็นงามแล้วรับนางเข้าฝ่ายใน เช่นนั้นคงต้องถูกจินกุ้ยเฟยกลั่นแกล้งสาหัส
ยังดีที่ฝ่าบาทบอกปัด นางจึงได้ถอนใจโล่งอก
โชคดีที่หรงจิงปฏิเสธนางจึงหมุนตัวจากไป จินกุ้ยเฟยโผเข้าอ้อมอกฮ่องเต้พูดจาด้วยน้ำคำอ่อนหวานจึงได้ทำให้หรงจิงหายโกรธ
“หม่อมฉันไม่มีอำนาจร่วมดูแลฝ่ายใน ตอนนี้จึงไม่อาจช่วยซูเฟยจัดการเรื่องคัดเลือกสาวงามได้ และก็ไม่มีความสามารถเหมือนใต้เท้าอวิ๋นที่จะช่วยแบ่งเบาราชกิจของฝ่าบาท รั่วอวิ๋นคิดตรองดูแล้วอีกทั้งเมื่อคืนซือคงซิงจวินบอกหม่อมฉันว่าระยะนี้ฝ่ายในไม่สงบเป็นเพราะฝ่าบาทยังไม่ได้ทรงสถาปนาฮองเฮา ทำให้ไม่สามารถสยบพลังความชั่วร้ายได้เพคะ”
“เป็นเหตุให้สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายแผ่ไปทั่วทุกที่ ซือคงซิงจวินจึงได้คิดวิธีขึ้นมา โดยให้หม่อมฉันเปลี่ยนชุดหรูหราออกแล้วให้สวมชุดป่านแทน ไม่แต่งหน้าทาแป้ง ไม่สวมเครื่องประดับ ชำระกายใจแล้วอธิษฐานทุกวัน จึงจะทำให้ฝ่ายในสงบเรียบร้อยได้เพคะ”
“หม่อมฉันเองก็ปรารถนาจะทำอะไรเพื่อฝ่าบาทบ้าง ดังนั้นจึงมาทูลขอให้หม่อมฉันได้ไปสวดมนต์ภาวนายังวัดฝ่าหัวเพื่ออธิษฐานให้แคว้นเพคะ”
หรงจิงได้ยินจินกุ้ยเฟยพูดดังนี้แล้วบังเกิดความรักสงสาร จินกุ้ยเฟยเคยกินอยู่สบายมาตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกายล้วนต้องดีที่สุดตลอดมา แต่ตอนนี้เพื่อเขาแล้วจะยอมสละทุกอย่างเพื่อไปภาวนาบนเขาห่างไกล เป็นการแสดงน้ำใจของนาง
เขาชมชอบความรู้งานของนางเช่นนี้จึงยิ่งรักใคร่นางมากขึ้น
“เจ้ามีความคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่บนเขาเหน็บหนาวทั้งตอนนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ร่วง ทางขึ้นเขาสัญจรลำบาก เจ้าชำระกายใจ สงบจิตใจไหว้พระอยู่ในวังก็แล้วกัน”