บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 486 ซู่เวิ่นเข้าร่วม / ตอนที่ 487 เงื่อนงำสำคัญ
ตอนที่ 486 ซู่เวิ่นเข้าร่วม
สวี่อี้ฟังเรื่องราวจากเซียงฉือแล้วจึงไม่รู้สึกรังเกียจอะไรซู่เวิ่น นางสะบัดมือ
“เชิญนางเข้ามาสนทนา”
ถึงในวังจะมีข้าราชสำนักสตรีไม่มาก สวี่อี้ที่ตำแหน่งนับว่าสูงจึงมีผู้เข้ามาประจบประแจงไม่ขาด กับซู่เวิ่นที่ไม่วิ่งเต้นอะไรเช่นนี้จึงไม่คุ้นเคยจริงๆ
สวี่อี้พูดจบก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย วางหน้าเคร่งขรึม
หลังจากรออยู่สักครู่ก็เห็นแสงสีเหลืองสว่างวาบขึ้นที่หน้าประตู วันนี้ซู่เวิ่นแต่งเครื่องแบบข้าราชสำนักสตรีกองโอสถเกล้าผมเฉียงปักปิ่นดอกเหมยหยกขาว ประกายดอกเหมยวับวาว ใบหน้ารูปไข่ห่านของนางแดงระเรื่อ และดูห่างเหินดังเช่นปกติ
เซียงฉือเดินเข้าไปทำความเคารพเพราะซู่เวิ่นมีตำแหน่งสูงกว่านาง
ซู่เว่ยผงกศีรษะแล้วต่างเคารพซึ่งกันและกันกับสวี่อี้ แล้วจึงเดินเข้าไป สวี่อี้สังเกตนางอย่างละเอียด ส่วนซู่เวิ่นหันไปมองดูการตกแต่งภายในห้องนั้น
“ใช่จริงๆ เป็นกลิ่นนี้จริงๆ”
การพูดลอยๆ ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนในห้องนิ่งงัน ซู่เวิ่นพูดจบจึงหมุนตัวกลับมา พูดขึ้นด้วยท่าทางเคร่งขรึมกว่าเดิม
“เมื่อวานองค์หญิงถูกลอบปลงพระชนม์ในกองโอสถของข้า รองหัวหน้ากองเฉินเหยากวงใต้เท้าเฉินของกองโอสถเราจึงได้ส่งข้าให้มาช่วยจัดการเรื่องนี้ ใต้เท้าทั้งสองเป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัย แต่ใต้เท้าเฉินคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในกองโอสถ พวกเรากองโอสถจึงควรแสดงท่าทีบ้าง ดังนั้นในหลายวันนี้ต้องขอให้ใต้เท้าทั้งสองช่วยชี้แนะแล้ว”
คดีนี้เกิดในกองโอสถ เฉินเหยากวงถึงจะเป็นรองหัวหน้ากอง เนื่องจากขณะนี้ในกองโอสถยังไม่มีตำแหน่งหัวหน้าว่างอยู่ กุ้ยเฟยจึงส่งเสริมให้รับหน้าที่ผู้ช่วยในกองไปก่อน หากวันหน้าเห็นว่านางทำประโยชน์ให้ได้ก็จะเก็บไว้ มิเช่นนั้นคนมีความสามารถก็จะขึ้นมา ส่วนคนพื้นๆ ก็จะอยู่ต่ำลงไป
นางเป็นสตรีที่ทำงานลื่นไหล ครั้งนี้เหตุเกิดในกองโอสถ หากนางจัดการไม่ดีย่อมส่งผลกระทบถึงอนาคตตนเอง ดังนั้นจึงตั้งใจส่งซู่เวิ่นให้มาช่วยเหลือ
สวี่อี้ฟังแล้วไม่รู้สึกอะไร เพียงในใจนึกรังเกียจว่าใต้เท้าพวกนั้นก็เพียงทำเพื่ออนาคตของตนเองเท่านั้น สวี่อี้เอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องนี้ไม่ทราบฝ่าบาทรับสั่งอย่างไร”
เนื่องจากเซียงฉือกับสวี่อี้เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ฮ่องเต้ส่งมาเอง หากมีคนเพิ่มมาคนหนึ่งโดยไม่มีพระราชโองการของฮ่องเต้แล้ว เรื่องทั้งหมดที่พวกนางรู้ไม่สามารถแบ่งปันออกไปได้ เพราะเรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง ไม่อาจรั่วไหลออกไปได้แม้แต่น้อย
ซู่เวิ่นหัวเราะเบาๆ
“หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท ท่านรองใต้เท้าเฉินใช้ข้าไม่ได้หรอก”
“ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไปข้าก็จะร่วมสุขร่วมทุกข์กับใต้เท้าทั้งสอง หวังว่าใต้เท้าทั้งสองจะจริงใจตรงไปตรงมากับข้า ร่วมกันทำงานที่ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทให้สำเร็จลุล่วง”
สวี่อี้ฟังแล้วไม่พูดอะไร แต่เซียงฉือเดินเข้าไปพูดด้วยอย่างสนิทสนม
“เมื่อเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทเช่นนั้นก็ดีแล้ว ใต้เท้าสวี่รับภาระสำคัญจึงไม่อาจทำการโดยไม่รอบคอบได้ พี่ซู่เวิ่นเป็นสตรีฉลาดปราดเปรื่องจะต้องเข้าใจได้ดีที่สุด ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะต้องร่วมใจมีคุณธรรมดุจเดียวกัน”
“ข้ามีตำแหน่งต่ำต้อย จะทำตามท่านพี่ทั้งสองอย่างเคร่งครัด”
เซียงฉือทำหน้าที่ประสาน ทั้งสองคนจึงพยักหน้ายิ้มๆ
เมื่อคิดถึงคำพูดของซู่เวิ่นเมื่อครู่ได้ เซียงฉือจึงถามขึ้นมา
“ใต้เท้าซู่เวิ่น เมื่อครู่ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจเลย”
ซู่เวิ่นจึงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“เมื่อวานหลังจากองค์หญิงทรงประสบเหตุแล้ว รองหัวหน้ากองส่งข้าให้ไปตรวจรักษาองค์หญิงจำได้ลางๆ ว่าได้กลิ่นหอมหมีเตี๋ยเซียงในห้องนั้น และขณะที่คนจากกองคดีเคลื่อนย้ายศพของสวีหมิ่น ก็ได้กลิ่นอีกครั้ง ดังนั้นจึงเกิดความสนใจ”
ตอนที่ 487 เงื่อนงำสำคัญ
สายตาเซียงฉือมองอย่างพิจารณา ซู่เวิ่นเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวยา ประสาทในการได้กลิ่นย่อมต้องแม่นยำกว่านางและสวี่อี้ พวกนางต้องถามคนจำนวนมากกว่าจะได้เบาะแส แต่ซู่เวิ่นเพียงได้กลิ่นจางๆ ก็รู้ทั้งหมดแล้ว
ซู่เวิ่นสูดจมูกเบาๆ แล้วพูดต่อ
ถึงแม้จะมีคนจงใจชะล้างห้องนี้ อีกทั้งเมื่อวานฝนก็ตกได้ล้างกลิ่นออกไปมากแล้ว แต่ว่าข้าก็ยังได้กลิ่นหมีเตี๋ยเซียงอยู่ว่าแต่พวกท่านรู้หรือไม่ว่าหมีเตี๋ยเซียงคืออะไร”
เซียงฉือกับสวี่อี้สบตากัน เซียงฉือส่ายหน้า แต่สวี่อี้พูดว่า
“หมีเตี๋ยเซียง พวกเราได้สอบถามขันทีน้อยที่รับใช้สวีหมิ่นแล้ว เขาบอกว่านั่นเป็นผงหอมผีเสื้อหลงบุปผา”
เสียวสี่จื่อพอได้ยินมีคนเอ่ยถึงตนจึงรีบเข้ามาพูด
“เรียนใต้เท้า เสียวสี่จื่อได้ยินจากสวีกงกงเองว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นผีเสื้อหลงบุปผา กงกงจะจุดขึ้นสักพักหนึ่งทุกวัน เสียวสี่จื่อพูดความจริงทุกคำนะขอรับ มิเช่นนั้นขอให้ฟ้าผ่า ให้เสียวสี่จื่อไม่ตายดี”
ซู่เวิ่นฟังแล้วก็ส่ายหน้า ไม่ว่าเสียวสี่จื่อจะพูดอย่างไรนางก็เอาแต่ส่ายหน้าถ่ายเดียว ท้ายที่สุดสวี่อี้จึงได้ถามขึ้น
“ใต้เท้าซู่เวิ่นเหตุใดจึงเอาแต่ส่ายหน้า หมายความว่าอย่างไรหรือ ในเมื่อท่านกับข้าต่างทำงานถวายฝ่าบาท มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเถิด คงไม่มีอะไรที่บอกไม่ได้กระมัง” ขณะนั้นในห้องมีคนเพียงสี่คน แต่ซู่เวิ่นในตอนนี้ดูแปลกเกินไปเซียงฉือเองไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ซู่เวิ่นรอจนสวี่อี้พูดจบแล้ว หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยปาก
“ใต้เท้าสวี่อย่าเพิ่งใจร้อน ที่ข้าส่ายหน้าไม่ได้หมายความว่าขันทีน้อยพูดเท็จ”
“เพียงแต่หมีเตี๋ยเซียงนั้นเป็นชื่อเรียกหลังจากมีการผสมตัวยาเครื่องหอมพวกนั้นแล้ว และมีการผสมเครื่องหอมอื่นเข้าไปอีก ผสมรวมกันแล้วจุด หากจะเรียกว่าผีเสื้อหลงบุปผาหรือบุปผาหลงผีเสื้อย่อมได้ทั้งนั้นไม่ใช่สาระสำคัญอะไร”
ซู่เวิ่นมีนิสัยพูดจาเนิบช้า ทั้งท่าทางก็ดูเอื่อยเฉื่อยซึ่งเซียงฉือคุ้นชินแล้ว แต่สวี่อี้เป็นคนใจร้อน เมื่อฟังนางพูดจาจึงเกิดความร้อนรนใจ ได้แต่กำหมัดแน่น สุดท้ายไม่พูดอะไรอีก
“ใต้เท้าอย่าเพิ่งร้อนรน ให้ข้าอธิบายให้ท่านฟังเสียก่อนว่าหมีเตี๋ยเซียงนี้คืออะไร แล้วท่านก็จะกระจ่าง”
“พวกเราอยู่ในนี้ต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มิสู้กลับไปยังกองคดี หากได้เห็นศพสวีหมิ่นแล้วก็จะชัดเจนทุกอย่าง”
ซู่เวิ่นพูดเช่นนั้นและเมื่อทุกคนเห็นชอบจึงพากันกลับไปยังกองคดี
ระหว่างทางซู่เวิ่นบอกกับพวกนางว่าหมีเตี๋ยเซียงคืออะไร ทั้งเซียงฉือและสวี่อี้พากันตกใจอย่างยิ่งและเกิดความกังวลใจ
“ใต้เท้าทั้งสอง ข้าจะเล่าให้ฟังก่อน เจ้าหมีเตี๋ยเซียงนี้เป็นยาใช้ระงับปวดที่ใช้ในหยางกู่ที่ลี่โจว อยู่ทางชายแดนด้านทิศใต้ แต่นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการระงับปวดได้ดียิ่งแล้วก็ยังมีข้อเสียคือใช้แล้วจะเสพติด คนที่ใช้เป็นเวลานานหรือคนที่เลิกใช้แล้วจะเกิดอาการหลอน ร่างกายกลัวความหนาวเย็น ขอบตาเป็นสีดำคล้ำ ทั้งปลายเล็บมือเล็บเท้าก็ดำคล้ำเช่นกัน และเมื่อตายไปบนหลังเท้าจะมีแผลเปื่อยพุพองจำนวนมาก”
เซียงฉือกับสวี่อี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่รู้สึกว่าหากใช้หมีเตี๋ยเซียงจริงๆ แล้ว ดูจะน่ากลัวมาก
ทั้งสามคุยกันไปจนถึงห้องเก็บศพในกองคดี พวกหมัวหมัวในกองคดีมีความสามารถในการทรมานคนเป็นที่สุด คนที่เข้ามาในกองคดีแล้ว จะไม่ได้ออกไปในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วน
ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะสวี่อี้เกิดความสงสารเซียงฉือก็คงจะไม่มีอวิ๋นเซียงฉือในวันนี้แล้ว
เซียงฉือยังไม่ได้เดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างพยายามหักห้ามความกลัว สวี่อวี้ผลักประตูออกก็ได้เห็นเฮ่อหมัวหมัวที่เซียงฉือแนะนำมา กำลังกดศีรษะบีบให้หมัวหมัวคนหนึ่งจากสำนักอักษรซื่อคู่มองดูศพสวีหมิ่นที่ตายไปนานแล้ว
หมัวหมัวคนนั้นกลัวจนเข่าอ่อนไปทั้งสองข้างแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ