บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 488 หมีเตี๋ยเซียง / ตอนที่ 489 พระประสงค์ของฮ่องเต้
ตอนที่ 488 หมีเตี๋ยเซียง
สวี่อี้เห็นเฮ่อหมัวหมัวทุ่มเทเช่นนี้ก็ผงกศีรษะ หมัวหมัวพวกนั้นกลัวภูตผีปีศาจ คิดว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้วมีลูกเล่นไม่ยอมรับกับหมัวหมัวในกอง ใส่ความคนอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงถูกสั่งสอนเช่นนี้
สวี่อี้ไม่ให้ความสนใจพวกนักโทษที่ไม่เชื่อฟัง พวกนางรับเงินผู้อื่นมาทำงานแทนให้เขา แล้วยังคิดจะรักษาหน้าเผื่อวันหน้าออกไปแล้วจะได้อธิบายกับผู้ว่าจ้างได้
หากต่างเป็นเหมือนพวกนางแล้ว กองคดีของสวี่อี้คงไม่ต้องมีอยู่อีกต่อไป หมัวหมัวสองสามคนข้างในเห็นเข้าก็ผงกศีรษะเรียกใต้เท้า แล้วช่วยกันแบกหมัวหมัวคนนั้นออกไป
เซียงฉือกับซู่เวิ่นจึงได้เข้าไป
“พวกนางรู้งานดี ต้องไม่ทำลายหลักฐานบนศพไปเป็นแน่ ใต้เท้าซู่เวิ่นวางใจได้”
ตอนแรกซู่เวิ่นขมวดคิ้ว แต่เพราะสวี่อี้เข้าใจความคิดนางแล้วเอ่ยขึ้นก่อนทำให้นางอึ้งไป จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วเลิกผ้าขาวขึ้น ตรวจสอบแผ่นหลังกับปลายมือเท้าทั้งสี่ของสวีหมิ่นอย่างละเอียด
แล้วก็เป็นไปตามนั้น บนนั้นล้วนเป็นสีดำคล้ำเหมือนเนื้อเยื่อที่กำลังตาย เซียงฉือตกใจ ส่วนซู่เวิ่นผงกศีรษะ
“เห็นท่าจะเป็นหมีเตี๋ยเซียงจริงๆ ดูสภาพเขาน่าจะเสพมานานแล้ว ควรจะมีอาการหลอนเกิดขึ้นบ้างแล้ว ถึงข้ายังไม่เคยพบเห็นผู้ป่วยที่เสพหมีเตี๋ยเซียงมาก่อน แต่คิดว่าคงจะน่ากลัวมาก ตามที่มีบันทึกในตำราแพทย์ว่าจะมีสภาพราวปีศาจคลุ้มคลั่ง สูญสิ้นความเป็นมนุษย์”
เซียงฉือกับสวี่อี้ต่างสูดหายใจเอาไอเย็นเข้าไป
คิดถึงคำพูดของเสียวสี่จื่อแล้วสอดคล้องกับการคาดคะเนของซู่เวิ่น เรื่องการเสพหมีเตี๋ยเซียงของสวีหมิ่นจึงยืนยันได้
ทั้งสามไปยังห้องหนังสือของสวี่อี้เพื่อรวมรวมแนวความคิด และพูดถึงเรื่องซูเฟยขึ้นมา ในเมื่อพวกนางร่วมกันรับผิดชอบคดีนี้แล้ว จึงต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เซียงฉือฟังคำพูดซู่เวิ่นแล้วก็เข้าใจว่าหมีเตี๋ยเซียงนี้จะต้องถูกใครบางคนผสมไว้ในผงหอมที่เรียกว่าผีเสื้อหลงบุปผาแล้วขายให้คนในวัง เช่นนี้ทำให้มีรายได้มหาศาล เพราะของนี้ควรมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มี ซึ่งราคาจะต้องสูงอย่างยิ่ง
เซียงฉือเรียบเรียงความคิดแล้วพูดขึ้นว่า
“หากดูจากข้อมูลที่ใต้เท้าทั้งสองจัดไว้แล้ว พวกเราสามารถตัดสินความเป็นไปได้ได้สองอย่าง”
“ข้อแรก หากซูเฟยขายหมีเตี๋ยเซียงซึ่งก็คือผีเสื้อหลงบุปผาที่บรรจุแล้ว ขายให้กับสวีหมิ่นที่มีความต้องการ สวี่หมิ่นเพราะติดยาจึงคลุ้มคลั่งเสมอๆ ดังนั้นจึงพลั้งเผลอผลักองค์หญิงตกน้ำ จากนั้นกลัวว่าองค์หญิงอาจจะทรงพาดพิงถึงเขา จึงลอบเข้าไปในกองโอสถ หมายลอบปลงพระชนม์องค์หญิง”
“ข้อสองก็คือมีมือมืดอื่นที่อยู่เบื้องหลัง และเรื่องผีเสื้อหลงบุปผาถูกองค์หญิงทรงรู้เห็นเข้า จึงผลักองค์หญิงตกน้ำ แต่องค์หญิงทรงรอดชีวิต ด้วยความเกรงกลัวนางจะเปิดเผยเรื่องออกมา จึงใช้สวีหมิ่นไปลอบปลงพระชนม์”
“ข้าคิดว่าความเป็นไปได้ข้อหลังมีสูงมาก เพียงแต่…”
เรื่องที่เซียงฉือคิดจะพูด สวี่อี้กับซู่เวิ่นต่างเข้าใจแล้ว
“เรื่องนี้หากไม่มีหลักฐานจริง เกรงว่าคงจะล่วงเกินซูเฟยเป็นอย่างมาก ทางด้านฝ่าบาทก็ไม่อาจคาดคะเนได้ ไม่รู้ว่าจะทรงลงอาญาซูเฟยเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
ซู่เวิ่นขมวดคิ้วมุ่นเกิดความไม่พอใจ
“ซูเฟยเป็นคนลี่โจวคิดว่าคงต้องรู้จักมักคุ้นหมีเตี๋ยเซียงดี จะว่าพระองค์มุ่งหวังแสวงประโยชน์ก็มีความเป็นไปได้ แต่พระองค์เป็นถึงประมุขตำหนักหนึ่ง จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องใช้…”
เซียงฉือกับสวี่อี้ก็ส่ายหน้า สวี่อี้อยู่ในกองคดีมานานปีจึงรู้ดีว่าแต่ละเรื่องดูไปแล้วล้วนเป็นคนชั้นล่างที่เป็นผู้ลงมือกระทำ แต่เมื่อสืบสาวให้ลึกลงไป จะเป็นการขับเคลื่อนของเจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ว่าเรื่องแบบนี้ จะมีโทษหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฝ่าบาทมิใช่หรือ
สวี่อี้จึงยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้นว่า
“เรื่องนี้ก็ถวายไว้ให้ฝ่าบาททรงวินิจฉัยเถิด หากฝ่าบาทรับสั่งให้ตรวจสอบให้ถึงที่สุด พวกเราก็ติดตามร่องรอยของหมีเตี๋ยเซียงแล้วสืบสาวต่อไป แต่หากทรงรับสั่งให้หยุด ก็ใช้เหตุผลข้อแรกก็ได้ เพิ่มเติมว่าเป็นการเสี้ยมของหมัวหมัวพวกนั้นก็แล้วกัน”
ตอนที่ 489 พระประสงค์ของฮ่องเต้
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเวียงวัง ไหนเลยยังจะมีคนรุ่นเยาว์ที่เลือดยังร้อนระอุอยู่ พวกเขาล้วนเพราะการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นไม่หยุดหย่อนภายในวัง ทำให้เรียนรู้แต่การปกป้องตนเอง
เพราะเหตุนี้ทั้งสามจึงมองสบตากัน แม้แต่ซู่เวิ่นที่ทำงานเชื่องช้าและไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ก็ยังพูดไม่ออก
สวี่อี้มองรอบด้านแล้วจึงพูดขึ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เซียงฉือ เจ้าใกล้ชิดฝ่าบาทที่สุด วันนี้ก็ลองกลับไปทดสอบทิศทางลมดูสักครั้งเป็นไร”
เซียงฉือไม่ว่าอะไร เรื่องนี้ตกเป็นหน้าที่ของนางก็เป็นเรื่องปกติ จึงผงกศีรษะ ทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปเตรียมตัว ผู้รับผิดชอบงานนี้ยังมีฉู่อวิ๋นเซียวอีกคนหนึ่ง ถึงเขาจะไม่ใช่คนฝ่ายใน แต่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยให้เป็นองครักษ์รักษาการณ์ในพระราชฐาน ย่อมต้องเข้าใจความสำคัญของเรื่องราว สวี่อี้จึงเป็นคนไปแจ้งให้ทราบซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
ซู่เวิ่นจะกลับไปวิจัยส่วนผสมของหมีเตี๋ยเซียง ดังนั้นสามคนจากสามกองงานจึงต่างมีหน้าที่
เซียงฉือกลับไปถึงตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อคืนนางไม่ได้นอน ตอนนี้หรงจิงรับองค์หญิงเข้าวังเพื่อดูแลแล้ว ทำให้วางใจได้มาก ดังนั้นจึงได้จัดการราชกิจอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งในตอนนี้ เซียงฉือเดินเข้าไปหลังฉากบังลมแอบดูท่าทีของหรงจิงอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้นางจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ในฝ่ายในเหล่านั้นดี และก็รู้ถึงความร้ายกาจในนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนวัยเยาว์ จะบอกว่าเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนก็ได้ หรือจิตใจที่เดือนแค้นก็ตามที และแม้จะเป็นพันธมิตรกับซูเฟยแล้วก็ตาม
เมื่อได้ฟังซู่เวิ่นพูดถึงพิษภัยในเรื่องนี้ กับการที่สามารถควบคุมจิตใจของคนได้เช่นนั้น นางรู้สึกถึงอันตรายของเรื่องนี้ว่ามีมากอย่างยิ่ง จึงหวังว่าฝ่าบาทจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ถึงแม้จะรับปากสวี่อี้ว่าจะเพียงทดสอบจิตใจของฝ่าบาทเท่านั้น แต่ก็ยังหวังให้ฝ่าบาทตรวจสอบให้ถึงที่สุดโดยไม่สนใจกับอารมณ์ความผูกพันกับใครคนใด และขอให้มีใจที่ทรงคุณธรรม
เซียงฉือชอบใช้แป้งดอกท้อ ถึงแม้กลิ่นของแป้งหอมนี้จะธรรมดาที่สุดในวังก็ตาม แต่คนที่สามารถเคลื่อนไหวต่อเบื้องพระพักตร์ได้นอกจากเซียงฉือแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะนำพากลิ่นนี้มาได้อย่างเงียบเชียบ เข้าประชิดถึงตัวเขาได้ใกล้เช่นนี้
หรงจิงวางพู่กัน เงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวสวมเครื่องแบบชาววังสีฟ้าครามคนหนึ่งยืนลังเลอยู่หลังฉากบังลมไม่ยอมเข้ามา นางกำลังตรึกตรอง ไม่รู้กำลังคิดอะไร
หรงจิงสงสัย จึงหยิบผิงกั่ว[1]ผลหนึ่งในตะกร้าผลไม้ มองดูสีสันงามสดของมันแล้วตะโกนขึ้นว่า
“เอ้ารับ”
พร้อมกับโยนผิงกั่วออกไป เซียงฉือคลายจากภวังค์ทันที มองเห็นผลผิงกั่วร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ
นางตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วยื่นมือออกรับผิงกั่วผลนั้น มองหรงจิงนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อน
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
เซียงฉือเห็นหรงจิงหัวเราะเสียงดังแบบนั้นก็รู้ว่าตนเองเป็นตัวตลกไปอีกแล้ว
“ข้าเรียกให้เจ้าตื่นเช้ามาฝึกยุทธ ดูความเกียจคร้านของเจ้าสิ กับผิงกั่วผลเดียวยังรับเสียลนลานเช่นนั้น หากข้าประเคนบุญคุณชุดใหญ่ไปให้ เจ้ายังจะรับไว้ได้ไหม
เซียงฉือชะงัก นางเชิดปากพูดอย่างกระเง้ากระงอด
“ฝ่าบาทตรัสว่าประเคนพระคุณชุดใหญ่คืออะไรหรือเพคะ ตรัสให้หม่อมฉันฟังด้วยเถิด หม่อมฉันจะได้รู้ว่ามีพระคุณชุดใหญ่อันใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าผิงกั่วที่ฝ่าบาททรงโยนมาให้ด้วยพระองค์เองเพคะ”
หรงจิงยิ้มแล้วชี้มาที่นาง เซียงฉือจึงเดินไปข้างกายหรงจิงอย่างรู้งาน ทำความเคารพแล้วไปยืนข้างเขา พูดว่า
“เมื่อวานหม่อมฉันไม่อยู่ ไม่ทราบว่าทำการงานเสียหายไปมากน้อยเพียงใด หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงเอาโทษนะเพคะ”
เซียงฉือยอมรับผิดก่อน หรงจิงจึงไม่อาจคาดโทษได้ เพียงจิ้มศีรษะนางพูดยิ้มๆ
“เจ้าเด็กต๊อง ข้าเพียงให้ผิงกั่วลูกเดียวก็พูดเสียเสิศเลอเช่นนี้ นี่ถ้าหากข้าพระราชทานสมรสให้เจ้า เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร”
เซียงฉือเงยหน้าขึ้นทันควัน ใจเต้นระรัว โครมครามเสียจนทำให้นางกังวลยิ่ง
[1] ผิงกั่ว คือ แอปเปิล