บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 506 เซียงซวินแห่งมังกรเหิน / ตอนที่ 507 สนมใหม่เข้าวัง
ตอนที่ 506 เซียงซวินแห่งมังกรเหิน
เซียงฉือนอนหลับสนิท แต่ท่าทางของหรงจิงเย็นเยือก หากเซียงฉือเห็นเข้าเป็นต้องหลบหนีไปไกล ในความทรงจำของนาง หากหรงจิงมีปฏิกิริยาเช่นนี้เมื่อไร จะต้องใจร้ายขึ้นมา
หรงจิงจุดอันเสินเซียงแล้วเคาะโต๊ะเบาๆ สามครั้ง ยาวสองกับสั้นอีกหนึ่งครั้ง เสียงส่งออกไปไกลโพ้น เพียงไม่นานก็มีชายในชุดสีดำคนหนึ่งกระโดดลงมาจากบนคาน
“นายท่าน เซียงซวินขอรับคำสั่ง”
นางเป็นหญิง ท่วงท่าเหมือนดั่งแมวเคลื่อนไหวรวดเร็วแต่ไร้เสียง ยามเท้าทั้งคู่แตะลงบนพื้น ราวกับแตะลงบนนุ่น ไม่มีสุ้มเสียงเกิดขึ้นแม้แต่น้อย หากมิใช่นางปรากฏกายขึ้นเอง จะเหมือนดั่งได้หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งภายในตำหนักใหญ่นี้แล้ว
สีหน้าหรงจริงเย็นเยียบ หญิงสาวคนนั้นคุกเข่าอยู่ หรงจิงหยุดชั่วขณะแล้วจึงพูดว่า
“เรื่องของซูเฟยตรวจสอบถึงไหน”
สตรีที่เรียกตนเองว่าเซียงซวินก้มหน้ารายงาน
“ซูเฟยดำเนินการรอบคอบมากเพคะ คนของมังกรเหินแทรกซึมเข้าข้างในได้แล้ว แต่หากจะหาหลักฐานยังคงต้องการเวลาอีกหน่อยเพคะ ดังนั้นเซียงซวินจึงไม่มีอะไรรายงานเพคะ”
หรงจิงพยักหน้า นางสังกัดมังกรเหิน ซึ่งไม่เคยพูดคำพูดน่าสงสัยกับเขา ไม่มีอะไรคลุมเครือ วาจาที่พูดออกมาจะแม่นยำไม่มีผิดพลาดควรแก่การพิจารณา มีหลักมีฐานอย่างไม่อาจโต้แย้ง
“ปล่อยเรื่องนั้นไปก่อนไม่ด่วนมาก ไปตรวจสอบเรื่องคืนนี้เสียก่อน ข้าต้องการรู้ว่าคนคนนั้นคือใคร ทำอะไรเซียงฉือไว้ จุดประสงค์คืออะไร มีใครบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ งานนี้ให้ไปรวบรวมกำลังมังกรเหิน ข้าต้องการรู้ข่าวอย่างรวดเร็วที่สุด จะปล่อยให้ข่าวรั่วไหล แหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้”
หรงจิงสั่งการแล้วคนคนนั้นก็รับคำสั่ง ขณะกำลังหันหน้าจะออกไปกลับชะงักแล้วพูดว่า
“เซียงซวินมีเรื่องเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบควรกล่าวออกมาหรือไม่เพคะ”
สตรีนางนั้นพูดจาเสียงเบามากราวขนนก แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็เกิดอาการลังเลเล็กน้อย หรงจิงชะงัก หน่วยข่าวกรองมังกรเหินของเขาไม่เคยมีคำถามเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรเสียมังกรเหินพวกนี้ล้วนถูกเขาฝึกฝนมาตั้งแต่เล็ก ความจงรักภักดีอยู่ในระดับไม่มีข้อสงสัย ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ของตนเอง ไม่เคยบกพร่องมาก่อน เพราะเหตุนี้หรงจิงจึงแปลกใจมาก เขาพยักหน้า
“อยากบอกก็บอกมา หากไม่อยากบอกเจ้าคงไม่ถามเช่นนี้”
สายตาหรงจิงมองอีกฝ่ายตรงๆ เซียงซวินฟังคำพูดหรงจิงแล้วเกิดความหวั่นไหว นางคุกเข่าลงใหม่แล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกว่าระยะนี้เหยาฮวาดูผิดปกติ ซึ่งเป็นความรู้สึกของหม่อมฉันเท่านั้นเพคะ ไม่มีหลักฐาน ตลอดมามังกรเหินพูดจาโดยอาศัยหลักฐาน แต่เพราะหม่อมฉันไม่มีเวลาและกำลังเพียงพอจะตรวจสอบ หากแต่ในใจเกิดความสงสัยอย่างยิ่งเพคะ”
หรงจิงฟังคำเซียงซวินแล้วสีหน้าขรึมลง
“เจ้ากับเหยาฮวาเข้ามารับใช้ในวังพร้อมกัน กี่ปีแล้ว…”
หรงจิงพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เซียงซวินเกิดหวาดหวั่นขึ้นแล้ว เพราะน้ำเสียงหรงจิงเย็นเยือกเหมือนฤดูใบไม้ร่วงและนางเป็นคนมีความรู้สึกไวที่สุด
เซียงซวินตอบอ้ำอึ้ง
“สิบปีเพคะ”
หรงจิงพยักหน้าพูดว่า
“ข้ายังจำได้ ครั้งแรกที่พบพวกเจ้ายังเป็นเด็กกะโปโลอายุสิบขวบสองคนอยู่ แต่ตอนนี้ต่างคนก็ต่างมีความสามารถ แต่เจ้ามีความละเอียดมากกว่า ข้าจึงเลือกเจ้าไว้ข้างกาย”
“ข้าเชื่อใจเจ้าแต่ก็เชื่อเหยาฮวาด้วย พวกเจ้าต่างเป็นคนที่ข้าไว้วางใจที่สุด ดังนั้นความจงรักภักดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เซียงซวินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก แล้วหายตัวไปอย่างเงียบเชียบในความมืด
ตอนที่ 507 สนมใหม่เข้าวัง
วันรุ่งขึ้นเมื่อเซียงฉือตื่นนอนนางรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะศีรษะที่รู้สึกหนักมาก นางป่วยแล้ว เหมือนจู่ๆ ก็เป็นขึ้นมา
หรงจิงเสร็จจากออกว่าราชสำนักแล้วเซียงฉือก็ยังไม่ตื่น ซูกงกงเรียกหมอหลวงให้มารักษานาง แต่ก็ไม่ได้บอกสาเหตุของการเจ็บป่วย เพียงใช้คำพูดว่าระยะนี้ประสาทขมึงเกลียวเกินไป ต้องการให้นางผ่อนคลายลงบ้าง
เซียงฉือป่วยแต่ตรวจไม่พบสาเหตุ หรงจิงเพียงสอบถามสองสามคำ กำชับให้พักผ่อนมากๆ แล้วไม่ได้ใส่ใจอะไร
ทุกวันเซียงฉือจะตื่นในตอนบ่าย ใบหน้าขาวราวกระดาษ เพราะนางกลัวจะฝันร้ายในตอนกลางคืน ดังนั้นทุกวันจึงเข้านอนดึกมาก
ทุกวันนางจะอยู่กับหรงจิงในตำหนักฉินเจิ้ง ทบทวนตรวจอ่านและจัดการรายงานต่างๆ เหมือนเครื่องจักร
ระยะนี้เหอจิ่นเซ่อมาบ่อยมากตามคำสั่งของหรงจิง ช่วงนี้เซียงฉือเหนื่อยล้า งานบางอย่างจึงจำเป็นต้องให้เหอจิ่นเซ่อมาเขียนแทน
ในขณะหนึ่งเซียงฉือจึงเป็นเหมือนดั่งคนไร้ประโยชน์ ทุกวันจะออกไปตากแดดในสวนดอกไม้ที่อยู่ระหว่างตำหนักหน้าและตำหนักหลัง
เดือนสิบเอ็ดในฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้แม้มีบางแห่งจะประสบอุทกภัย แต่โดยภาพรวมยังนับได้ว่าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลดังนั้นตลอดปีจึงเก็บเกี่ยวได้อย่างบริบูรณ์
สนมมาใหม่ทั้งห้าต่างได้เข้าวังเพื่อถวายการรับใช้ฮ่องเต้ตามลำดับ
ทั้งห้านางต่างมีความโดดเด่นของแต่ละคน สองคนที่ฮ่องเต้เลือกก่อนเป็นสตรีสุขุมงามสง่า คนหนึ่งเป็นบุตรสาวรองมุขมนตรีฝ่ายพิธีการหวงโหย่วเหวยนามหวงฉี่ซาน นางมีมารยาทเรียบร้อย พูดจาสุภาพ มีกิริยาท่าทางสมกับผู้มีตระกูล หรงจิงแต่งตั้งนางเป็นฉังไจ้ พักอยู่ในตำหนักข้างของตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟย
คนที่สองเป็นหลานสาวของหวังคัง ผู้ว่าเมืองหนิงหลานที่ไห่โจว ชื่อหวังเมี่ยวหลิง นางมีดวงตาเด่นงามเป็นประกาย ทั้งยังฉลาดน่ารักยิ่ง ตอบคำถามได้คล่องแคล่ว ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีมีความรู้คนหนึ่ง ชำนาญการวาดภาพ หรงจิงชื่นชอบความเฉลียวฉลาดของนาง ดังนั้นจึงเป็นฉังไจ้อีกคนหนึ่ง ให้อยู่เป็นเพื่อนโหรวผินในตำหนักเจียนเจีย
ที่เหลืออีกสามคนได้รับแต่งตั้งเป็นตาอิ้ง ฮ่องเต้เลือกตำหนักซินเย่ว์ประทานให้เป็นที่พักของนางทั้งสาม แต่ทำเลที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป ทำให้พบกับหรงจิงได้ยาก
เพราะตำแหน่งเจ้านายน้อยทั้งห้ายังต่ำอยู่ ดังนั้นในวังจึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ เพียงส่งหงซีกูกูไปดูแลบ้าง
ตามกฎระเบียบในวัง ขณะอยู่ที่นอกวังจะมีโมโมฝึกสอนช่วยให้คำแนะนำ
วันที่เข้าวังตรงกับวันที่สองเดือนสิบเอ็ด ให้เข้าวังตอนยามห้าฟ้าสาง ช่วงเที่ยงต้องเข้าไปคารวะพระสนมทั้งสามที่ฝ่ายใน
เซียงฉือช่วงนี้ว่างไม่มีงานทำจึงถูกสวี่อี้ดึงไปดูเป็นที่ครึกครื้น เจ้านายน้อยทั้งห้าเข้าเยี่ยมคารวะพระชายาทั้งสามจิ้งเฟยย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ซูเฟยกับกุ้ยเฟยต่างไม่ยินยอมกัน
ในตำหนักเฟิ่งอี๋ เพราะยังไม่มีฮองเฮา ดังนั้นตำแหน่งประธานจึงว่างอยู่ ซูเฟยนั่งลงในตำแหน่งแรกฝั่งซ้ายมือ เมื่อกุ้ยเฟยมาถึงสีหน้าจึงไม่สู้ดีอย่างยิ่ง
สวี่อี้ดึงเซียงฉือออกมาด้านนอกแอบฟังพวกนางสนทนากัน
“เจ้าเบื่อมากนักหรืออย่างไร จึงได้วิ่งมาฟังอะไรข้างเชิงกำแพงแบบนี้ ใต้เท้าสวี่ เจ้าเป็นดั่งขุนนางใหญ่ในวังเชียวนะจะต้องสนใจทำตัวให้น่าเกรงขามสิ”
เซียงฉือพูดที่ข้างหูสวี่อี้ สวี่อี้ไม่เหลือบมองนาง พูดขึ้นอย่างสงบว่า
“ได้ยินมาว่าครั้งก่อนเลือกฉังไจ้เข้าวังมาสองคน แต่ซูเฟยกับกุ้ยเฟยประลองกำลังกันแล้วปล่อยให้ฉังไจ้คนหนึ่งอดตายอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ ฝ่าบาทจึงทรงกำชับว่าจะให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกไม่ได้ ดังนั้นที่ข้ามานี่ไม่ใช่เพื่อรักษาระเบียบวินัยหรอกหรือ”
เซียงฉืออดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา นางสนิทกับสวี่อี้มานานกระทั่งพบว่าหญิงสาวที่ดูเยือกเย็นคนนี้ยังมีใจเป็นดั่งเด็กสาวน่ารักน่าทะนุถนอม วันดีคืนดีก็จะลุกขึ้นมาอาละวาดสักครั้ง