บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 508 เข้าคารวะ / ตอนที่ 509 เหมียวตาอิ้งจอมขี้เซา
ตอนที่ 508 เข้าคารวะ
แต่ว่าเรื่องราวก็เป็นจริงตามที่สวี่อี้บอก
สนมทั้งห้าต่างคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยความยินดีปรีดา แต่คำว่าลุกขึ้นนั้น จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ยิน
คนที่มาล้วนเป็นคนใหม่แต่ก็รู้ถึงความร้ายกาจของพระสนมเหล่านี้ดี ในใจแต่ละคนจึงหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ไม่กล้าพูดอะไร
เซียงฉือแอบมองดูสภาพภายในตำหนักเฟิ่งอี๋แล้วส่ายศีรษะ ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หวงฉี่ซานมีสุขภาพอ่อนแอ นางถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหับ ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง บนพื้นจึงเย็นปานน้ำแข็งเข่าทั้งคู่ของนางแตะอยู่บนนั้น ทั้งลมหนาวและไอเย็นแทรกซึมเข้าไปในขาของนาง นางได้แต่ร้องทุกข์อยู่ในใจแต่ไม่กล้าขยับ
เป็นเวลานานทีเดียวกว่าจิ้งเฟยจะเอ่ยปากขึ้น
“น้องหญิงทั้งสอง ตอนนี้ก็สายมากแล้ว น้องๆ พวกนั้นวันนี้เพิ่งจะเข้าวังมาเป็นวันแรก คิดว่าคงต้องมีงานไม่น้อยที่ต้องจัดการในตำหนัก มิสู้ปล่อยพวกนางกลับไปเถิด ต่อไปยังมีเวลาได้พบหน้ากันอีกมาก น้องหญิงทั้งสองก็สามารถให้การอบรมสอนสั่งได้ตลอดเวลา”
ซูเฟยช้อนตาขึ้น นางเป็นคนใจกว้างยามอยู่ข้างนอก พอได้ยินจิ้งเฟยพูดเช่นนั้นจึงเตรียมจะปล่อยคน
แต่กุ้ยเฟยกลับพูดว่า
“จิ้งเฟยพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ระยะนี้ฝ่าบาทรับสั่งกับข้าเสมอว่าผู้ถวายการปรนนิบัติไม่มีความสามารถ ข้าจึงอบรมพวกนางแทนฝ่าบาท จะได้ไม่ทำขายหน้าเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ในวันหน้า แล้วข้าก็จะถูกตำหนิว่าอบรมไม่ดี”
ซูเฟยได้ยินแล้วจึงเปลี่ยนทิศทางการพูด ดวงตางามผุดความสมใจ นางเก่งในการแสร้งเป็นคนดีต่อหน้าผู้อื่น ดังนั้นจึงรับต่อคำพูดกุ้ยเฟยพูดขึ้นว่า
“โธ่ พี่หญิงตรัสเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะเพคะ พี่น้องทั้งหลายยังไม่ได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาทเลย กฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นหน้าที่ของกูกูที่ฝ่าบาททรงคัดเลือกจะเป็นผู้สอนจึงคิดว่าคงไม่เกิดความผิดพลาด คุกเข่ากันมานานขนาดนี้แล้ว พี่หญิงทรงคิดว่าพอได้แล้วกระมังหรือไม่เพคะ หากยังทำโทษต่อไปแล้วเกิดเรื่องเหมือนดั่งครั้งก่อนขึ้นอีก พี่หญิงคงยากที่จะตอบคำถามฝ่าบาทนะเพคะ”
ซูเฟยพูดพร้อมด้วยสายตากังวลและอาทร หากมิใช่เซียงฉือรู้มาก่อนว่านางเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ก็คงจะซาบซึ้งอย่างที่สุดไปกับคำพูดไพเราะเพราะพริ้งเช่นนี้ของนาง
พวกเจ้านายน้อยทั้งหลายที่ด้านล่างล้วนเห็นซูเฟยเป็นเช่นนั้น ต่างซาบซึ้งใจต่อซูเฟยยิ่งนัก
ก้าวแรกที่จะซื้อใจคน ซูเฟยทำได้ลุล่วงไปแล้ว
กุ้ยเฟยได้ยินก็หัวเราะเยาะ
“ผู้ควบคุมดูแลฝ่ายในในวังมิใช่ซูเฟยหรอกหรือ หากซูเฟยไม่เอ่ยปากพวกนางก็คงต้องคุกเข่าอยู่เช่นนั้น เหตุใดตอนนี้จึงกลายเป็นความผิดของข้าเล่า หรือฝ่าบาททรงคืนอำนาจปกครองฝ่ายในให้กับข้าแล้วหรือไร”
ซูเฟยถูกทำให้เสียหน้าอับอาย กุ้ยเฟยกำลังเปิดโปงนางโต้งๆ ทำให้นางไม่อาจกลบเกลื่อนคำโกหกของตนเองได้จึงร้อนรน มองกุ้ยเฟยอย่างโกรธๆ แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เพียงสะบัดมือแล้วหลี่กงกงจึงร้องป่าวให้สนมทั้งหลายลุกขึ้น
“หม่อมฉันถวายบังคมกุ้ยเฟย ซูเฟย จิ้งเฟย ขอทุกพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปีเพคะ”
เจ้านายน้อยทั้งห้าพูดขึ้นพร้อมกัน เรื่องจึงจบลงได้ เซียงฉือเห็นเช่นนั้นก็ปาดเหงื่อ สตรีผู้สูงส่งในวังเหล่านี้ การให้คุณให้โทษขึ้นอยู่กับลำดับขั้นอย่างเคร่งครัด ต่างถ่วงความก้าวหน้าของกันและกัน
เซียงฉือหันกายกลับพูดกับสวี่อี้ว่า
“คิดว่าครั้งนี้คงไม่เกิดเรื่องอะไรแล้ว ครั้งนี้ฝ่าบาททรงคัดเลือกเอง จะไม่มีพวกไม่ได้ความพวกนั้นเข้าวังมาอีก ทำให้สงบเงียบขึ้นไม่น้อย”
เซียงฉือเพียงพูดจบ กุ้ยเฟยกับซูเฟยต่างอบรมกันอีกคนละคำสองคำ แล้วจึงให้พวกนางแยกย้ายไปพักผ่อนกันได้ เพื่อรอการเรียกตัวจากหรงจิง
ตอนที่ 509 เหมียวตาอิ้งจอมขี้เซา
วันสนมใหม่เข้าวังเป็นวันดี สามวันให้หลังหงซีกูกูจากกองพระตำหนักก็ทำป้ายชื่อเจ้านายน้อยใหม่ทุกคนเสร็จแล้วยกเข้าไป ทางสำนักดาราศาสตร์ได้เลือกวันฤกษ์ดีขึ้นมาสามวันเพื่อให้หรงจิงเลือก
คืนวันที่เจ็ดเดือนสิบเอ็ด ณ โถงยางหรง
หรงจิงโอนงานตรวจอ่านรายงานไปให้เซียงฉือตั้งแต่หัวค่ำ นางรู้ว่าวันนี้เป็นวันเข้าหอของหรงจิง เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมต้องมีการเตรียมตัวที่ดี
ดังนั้นจึงขัดสีฉวีวรรณ ผลัดเครื่องทรง จุดธูปจุดตะเกียง
โคมไฟสีแดงแขวนไว้ด้านนอกหน้าต่างเพื่อเป็นสิริมงคล
เซียงฉืออ่านรายงานมานานจึงรู้สึกอ่อนเพลีย นางเตรียมจะกลับไปพักผ่อน แต่พอเดินเข้าไปในห้องตัวเองแล้วต้องตกตะลึง
เหมียวตาอิ้งนอนอยู่บนเตียงนาง ปิดตาหลับไปแล้ว
เซียงฉือเห็นท่าทางเหมียวตาอิ้งเช่นนั้นจึงต้องปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา
“เหมียวตาอิ้ง? เหมียวตาอิ้ง?”
สตรีคนนี้ก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง ใบหน้านางงดงาม ยามปิดตาลงขนตาแพยาวนั้นน่ารักยิ่ง
เซียงฉือปลุกนางตื่นไม่ใช่เป็นเพราะนางนอนอยู่บนเตียงของตน แต่เป็นเพราะนางไม่สามารถมานอนได้ ตามกฎระเบียบ นางจะต้องไปคุกเข่ารออยู่ด้านนอกโถงยางหรง
เซียงฉือไม่ต้องการให้นางทำผิดกฎเกณฑ์แล้วถูกลงโทษ เพราะการถวายงานบรรทมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เหมียวตาอิ้งไม่ยอมลืมตา นางพลิกกายแล้วหลับต่อ และยังตีมือเซียงฉืออย่างรังเกียจ
เซียงฉือทั้งหัวเราะและร้องไห้ไม่ออก พระสนมแบบนี้หลุดเข้าวังมาได้อย่างไรกัน
เซียงฉือจำต้องไปหาหงซีกูกูอย่างเสียมิได้ เมื่อหงซีกูกูมาถึงก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร จึงมองสบตากับเซียงฉือแล้วยิ้ม
“ยังไม่เคยพบเห็นเจ้านายน้อยแบบนี้มาก่อนจริงๆ คืนนี้ต้องถวายงานบรรทมด้วย ไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาไหวไหมนี่”
เซียงฉือก็ยิ้ม สายตาผุดความจนปัญญา
“หงซีกูกู จะทำอย่างไรดี หากฝ่าบาทถามขึ้น ข้าไม่ได้เป็นคนรับนางไว้แต่นางวิ่งเข้ามาเอง เรื่องนี้หวังว่าหงซีกูกูจะเป็นพยานให้ข้าได้นะ”
หงซีกูกูยิ้ม พยักหน้าพูดว่า
“ใต้เท้าวางใจเถิด ข้าจะไปตามสาวใช้ของเหมียวตาอิ้งให้มาพานางกลับตำหนักไปนอนเดี๋ยวนี้ แล้วเรียกมู่ตาอิ้งมา”
เซียงฉือยิ้ม การถวายงานบรรทมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนแรก แต่เหมียวตาอิ้งคนนี้กลับนอนหลับจนเพลินไป ช่างเป็นเรื่องที่แปลกที่สุดจริงๆ
เซียงฉือจะพูดอะไรได้ นางได้ทำในสิ่งที่นางทำได้ไปแล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเหมียวตาอิ้งคนนี้แล้ว แต่เกรงว่าชาตินี้นางคงยากที่จะได้พบฮ่องเต้อีก
หากเป็นคนขี้เซาเช่นนี้ เหตุใดจึงยังจะเข้ามาในวัง ต้องอยู่ตั้งแต่ผมดำยันผมขาว โดยที่ไม่อาจได้พบเห็นคนที่ต้องการพบ
เซียงฉือส่ายหน้า หงซีกูกูเรียกนางกำนัลสวมชุดขาวมาคนหนึ่ง นางเป่าลมออกจากปากแล้วเดินเข้าไป เมื่อเห็นเจ้านายของตนนอนหลับอยู่บนเตียงของข้าราชสำนักสตรี ก็รู้สึกตกใจพูดขึ้นว่า
“ใต้เท้าอวิ๋นต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะที่เจ้านายของข้าสร้างความลำบากแก่ท่าน เหมียวตาอิ้งของข้าเพิ่งจะอายุสิบสี่ปียังอ่อนเยาว์เกินไป ไม่ประสาอะไรมากนัก มั่วลี่ขออภัยต่อใต้เท้าอวิ๋นแทนตาอิ้งด้วยนะเจ้าคะ”
เซียงฉือสะบัดมือพูดว่า
“เด็กน้อยอายุสิบสี่จะมีโทษอันใด กลับไปเถิด ดูแลนางให้ดีก็แล้วกัน ด้านนอกลมแรงน้ำค้างจัด อย่าให้เหมียวตาอิ้งต้องเป็นหวัดล่ะ ที่นี่มีพรมผืนหนึ่ง เอาห่อหุ้มตัวนางแล้วพากลับไปเถอะ”