บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 556 เซียงฉือตั้งครรภ์ / ตอนที่ 557 ปลอบโยน
ตอนที่ 556 เซียงฉือตั้งครรภ์
หรงจิงฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า
“งั้นก็ดีแล้ว ถือว่าเป็นคนเก่าในวังได้แล้ว แล้วก็คงจะฟังคำพูดของข้าได้เข้าใจ”
ดวงตาของจังเจ๋อกลิ้งไปมาขณะฟังหรงจิงพูด หรงจิงพูดต่อไปว่า
“ข้าขอถามเจ้า ในวังนี้ใครกันที่เป็นนายที่แท้จริง”
เหงื่อเริ่มซึมออกมาบนหน้าผากจังเจ๋อ เขาฟังคำพูดนั้นแล้วก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตอบไปว่า
“ย่อมต้องเป็นฝ่าบาท มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่ทรงเป็นประมุขเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ”
จางเจ๋อพูดจบหรงจิงก็ปรบมือ พูดว่า
“นั่นประไร ข้าว่าแล้วว่าหมอหลวงจังเป็นคนฉลาด”
จังเจ๋อถอนหายใจยาว ค่อยรู้สึกพอจะวางใจลงได้บ้าง
แต่ว่าคำพูดถัดมาของหรงจิง ทำให้เหงื่อเย็นไหลโชกบนแผ่นหลังเขา
“ในเมื่อใต้เท้าจังเข้าใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมอบความภักดีของท่านให้ใครอื่นอีกแล้ว ใต้เท้าจังควรรู้ไว้ด้วยว่าในฝ่ายในนี้ แท้จริงแล้วควรต้องเชื่อฟังคำพูดของใคร”
จังเจ๋อรีบคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะโดยแรงพูดเสียงดังว่า
“กระหม่อมจะเชื่อฟังฝ่าบาท เชื่อฟังฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงทรงมีรับสั่ง กระหม่อมจะต้องปฏิบัติตามอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จังเจ๋อเข้าใจดีว่าขณะนี้หรงจิงกำลังเตือนเขาอยู่ หากเขายังคงไม่แสดงความภักดีออกมา นอกจากจะไม่มีอะไรดีแล้วแม้แต่ศีรษะก็ไม่อาจรักษาไว้ได้
จังเจ๋อคุกเข่าอยู่บนพื้นเหงื่อกาฬยิ่งไหลออกมามากขึ้น
อำนาจของหรงจิงทำให้เขาไร้ทางต่อต้าน อยู่ต่อหน้าหรงจิงเขาไม่สามารถแสร้งทำได้อย่างเหมาะสม นี่คงเป็นเจตนาของฮ่องเต้กระมัง
หรงจิงฟังคำพูดของเขาแล้วก็ยิ้ม พูดว่า
“ข้าตรวจโรคไม่เป็น แต่ข้ารู้ว่าเซียงฉือตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว ข้าดีใจอย่างยิ่ง และข้าก็เตรียมจะแต่งตั้งนางให้เป็นอวิ๋นผิน เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรทำอะไร”
จังเจ๋อโขกศีรษะแรงๆ หรงจิงสะบัดมือแล้วเขาจึงได้ออกไป หรงจิงหายใจเข้าลึกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของเซียงฉือ
“เซียงฉือ”
เซียงฉือกำลังนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ หงซีกูกูกลับออกไปแล้ว หรงจิงเห็นนางแล้วรักใคร่สงสาร เซียงฉือได้ยินเสียงเรียกของหรงจิงจึงหันหน้ากลับไปมองหรงจิงยิ้มๆ พูดว่า
“ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้แล้วกระมังเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไร”
หรงจิงเดินเข้าไปข้างกายนางแล้วโอบกอดนางไว้พูดว่า
“ข้าจะแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นอวิ๋นผิน เจ้าท้องได้หนึ่งเดือนแล้ว ข้าพูดออกมาจากปากของข้าเอง”
เซียงฉือเบิกตาโตหันกลับไปมองหรงจิงอย่างไม่สามารถจะเชื่อได้
“ฝ่าบาททรงหมายความเช่นไรเพคะ หม่อมฉัน”
เซียงฉือยังไม่ได้ถวายตัวจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร แต่การกระทำเช่นนี้ของหรงจิงทำให้นางหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
“ข้ารู้ดี แต่ข้ากำลังทอดแหใหญ่ผืนหนึ่งไว้รอดักพวกที่คิดว่าตนเองฉลาดให้เข้ามาติดในกับดักทีละคน เซียงฉือ เจ้าต้องร่วมแสดงละครนี้กับข้าด้วย”
เซียงฉือเข้าใจเจตนาของหรงจิงจึงพยักหน้าน้อยๆ อย่างแทบมองไม่เห็น แต่รู้สึกไม่สบายใจ
หรงจิงกอดนางไว้แนบอก เซียงฉือได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น รู้ว่าหรงจิงจะไม่บอกอะไรนางมาก นางได้แต่ต้องคลำหาความคิดของเขา จึงจะสามารถร่วมแสดงด้วยได้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันควรต้องทำอะไรบ้างเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือมักรู้สึกว่าหรงจิงปฏิบัติต่อนางแตกต่างออกไป แต่จะว่าไปก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ต่างก็ถูกใช้เหมือนกันเพียงแต่นางถูกใช้อย่างมีคุณค่าอยู่บ้าง เซียงฉือได้แต่ปลอบใจตนเองเช่นนี้
นางฝืนยิ้ม หรงจิงก็มองออก แต่จะให้เขาพูดอะไรได้”
เซียงฉือเฉลียวฉลาดเช่นนี้ นอกจากเขาต้องพูดให้หมดเปลือก มิฉะนั้นแผนการทั้งหมดของเขาล้วนเกิดช่องโหว่ ซึ่งนั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสียใจแก่นางเท่านั้น
เรื่องครั้งนั้นขององค์หญิงหมิงอวี้ก็ทำให้นางเสียใจรวดร้าวอย่างมากแล้ว จะให้นางต้องทรมานเช่นนั้นอีกได้อย่างไร เรื่องพวกนั้นที่นางไม่ปรารถนาจะกระทำ ควรต้องให้เขามาเป็นคนสะสางก็เขาไม่ใช่หรือที่เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนาง”
ตอนที่ 557 ปลอบโยน
เซียงฉือซุกอยู่ในอ้อมอกหรงจิงพูดกับเขาเสียงเบา หรงจิงถอนใจพูดขึ้นว่า
“เซียงฉือ เจ้าควรต้องเข้าใจข้า ข้าต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเจ้าเท่านั้น”
เซียงฉือฟังคำทอดถอนของเขาแล้วไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือไม่ เพราะอวิ๋นเซียงฉือไม่เคยเลยที่จะสนใจตำแหน่งฐานะอะไรพวกนั้น การที่นางต้องรับสมอ้างว่าตั้งครรภ์ก็เพื่อหรงจิงจะได้สามารถแต่งตั้งฐานะผินแก่นางได้ มิเช่นนั้นอย่างมากนางก็เป็นได้เพียงอวิ๋นกุ้ยเหริน
นางเข้าใจเหตุผลนี้ดี แต่ว่านางไม่อาจสบายใจได้
นางไม่ได้ตั้งครรภ์เลยแต่ฝ่าบาทพูดออกไปเช่นนั้น ซึ่งการโกหกจะต้องถูกจับได้ในวันหนึ่งแล้วจะอธิบายอย่างไร จะต้องมีใครได้รับโทษเพราะการโกหกนี้เป็นแน่แท้
กับดักใหญ่ขนาดนี้ก็เหมือนหมากกระดานหนึ่งซึ่งหรงจิงสร้างหลุมพรางไว้ใหญ่มาก คนข้างกายเขาไม่สามารถเข้าใจความประสงค์ของเขา เขาเป็นนายพรานที่อดทนซึ่งจะรอจนกว่าเหยื่อจะกระโจนเข้าสู่ลานประหารด้วยตัวเองจึงจะถือว่าสำเร็จอย่างงดงาม
เซียงฉือถึงจะลำบากใจเมื่อได้ฟังที่เขาพูด แต่ก็รู้ว่าหรงจิงรักใคร่นางอย่างยิ่ง จึงพูดขึ้นว่า
“หม่อมฉันเข้าใจฝ่าบาทเพคะ”
หรงจิงได้ยินเซียงฉือเรียกเขาเช่นนั้นก็ทุกข์ใจ ในใจของนางได้เปลี่ยนเขาจากหรงจิงเป็นฝ่าบาทไปแล้ว นี่หมายความว่านางรู้สึกผิดหวังเช่นนั้นหรือ
หรงจิงกอดนาง เขาเก็บเรื่องไร้ต้นสายปลายเหตุนั้นลงแล้วถามว่า
“วันนี้เจ้าไปตำหนักซูเฟยพบเห็นอะไรเข้า ทำไมกลับมาแล้วเนื้อตัวมีแต่กลิ่นคาวเลือด เสี่ยวเต๋อจื่อหายไปไหนแล้ว”
เซียงฉือย่อมต้องเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หรงจิงฟัง เมื่อครู่เซียงฉือได้สั่งหงซีกูกูให้ส่งคนไปที่บริเวณสะพานสายรุ้งหรือไม่ก็ละแวกกองราชเลขาอย่างเงียบๆ แล้ว
ความหมายของนางที่ส่งถึงเสี่ยวเต๋อจื่อเมื่อครู่ก่อนคือให้เขาไปขอความช่วยเหลือจากเหอจิ่นเซ่อที่กองราชเลขาก่อนในเมื่อพระชายาทั้งหลายต่างมาอยู่กันที่นี่ หากเขาปรากฏตัวออกมาทันทีจะต้องถูกซูเฟยก่อความยุ่งยาก ถึงตอนนั้นแม้จะมีเสี่ยวเต๋อจื่อเป็นพยาน ฝ่าบาทก็อาจจะไม่เชื่อว่าเป็นความจริงทั้งหมด
หรงจิงได้ยินเซียงฉือพูดว่าหรูอี้กงกงถูกซูเฟยกำจัดไปแล้วในตำหนักของนาง สีหน้าก็แย่ลง
เซียงฉือเห็นเช่นนั้นจึงพูดว่า
“ในตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของฝ่าบาท ถ้าหากว่ารู้…”
เซียงฉือคิดจะอธิบายแต่หรงจิงหยุดนางไว้ แม้จะปวดใจแต่ก็ขมวดคิ้วพูดออกมาว่า
“เจ้าทำได้ดีมาก ในสถานการณ์ที่ศัตรูมีมากเราตัวคนเดียวแบบนั้นจะต้องป้องกันตัวเองก่อน แต่หรูอี้ติดตามข้ามาหลายปี ข้าจึงรู้สึกทนไม่ค่อยได้”
หรงจิงพูดเช่นนั้นเซียงฉือจึงจับมือเขาไว้ นางสัมผัสถึงความเย็นของมือที่แตกต่างไปจากความอบอุ่นในวันอื่นๆ แสดงว่าเขาสุดจะทนจริงๆ
นางคิดจะพูดปลอบโยนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นางได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ในตอนนั้นออกไปอย่างเสียใจและโกรธตนเองออกไปแล้ว
เพราะหรูอี้มาอยู่ข้างกายหรงจิงตั้งแต่ยังเล็กและอยู่กับเขาตลอดเวลามาเป็นเวลานานแล้วจึงย่อมเกิดความทุกข์ใจบ้าง
แต่เมื่อได้รับการปลอบอย่างอ่อนโยนจากเซียงฉือก็รู้สึกดีขึ้นมาก จึงได้พูดว่า
“ซูเฟยเข้ามาควบคุมฝ่ายในเริ่มมีอำนาจมากขึ้นก็ยิ่งก่อเรื่องโดยไม่เลือกวิธีการลงมือ นี่ใช่หญิงสาวที่นุ่มนวลในอดีตคนนั้นหรือ พอถือมีดฆ่าสัตว์ขึ้นมากลับยิ่งน่ากลัวกว่าคนเชือดสัตว์เสียอีก”
“ข้าเศร้าใจจริงๆ”
เซียงฉือประคองหรงจิง เขาส่ายหน้าน้อยๆ
หรงจิงพูดขึ้นเงียบๆ ว่า
“ฝ่ายในเป็นสถานที่อย่างไรกันแน่ สามารถเปลี่ยนหญิงสาวดีๆ คนหนึ่งให้กลายเป็นแบบนี้ได้ ฝ่ายในของข้าช่างเป็นสถานที่น่ากลัวจริงๆ”
เซียงฉือมองดูเขาแล้วพูดออกมาว่า
“ไม่ใช่ฝ่ายในที่น่ากลัว แต่เป็นเพราะใจคนเปลี่ยนแปลงง่าย”