บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 558 ข่าวลือสะพัดในวัง / ตอนที่ 559 แต่งตั้งผิน
ตอนที่ 558 ข่าวลือสะพัดในวัง
เซียงฉือยังไม่ทันได้เป็นอวิ๋นผิน แต่ข่าวลือภายในวังได้แพร่สะพัดออกไปทั่วแล้ว
จากการจงใจปล่อยข่าวของหมอหลวงจังเจ๋อ ข่าวเรื่องหรงจิงใกล้จะแต่งตั้งอวิ๋นเซียงฉือขึ้นเป็นอวิ๋นผินถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเรว อีกทั้งหมอหลวงจังเจ๋อยังทำหน้าอย่างเต็มที่ จัดยาบำรุงครรภ์ให้เซียงฉือตามเวลาทุกวัน
จนแม้แต่อวิ๋นเซียงฉือยังรู้สึกประหวั่นใจ
ทุกวันหรงจิงจะอยู่กับนางนานขึ้น ถึงแม้หรงจิงจะยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนาง แต่ได้ลงมือจัดการเองไปแล้ว เขาดัดแปลงหอทิงเฟิงสถานที่โปรดปรานที่สุดของตนเองเป็นตำหนักซีเฝ่ยเพื่อให้เซียงฉือได้อยู่สบายอย่างคุ้นเคย โดยระดมใช้ช่างฝีมือที่มีอยู่ทั้งหมดในวัง หอทิงเฟิงเป็นอาคารที่สร้างอยู่ท่ามกลางภูเขาและสายน้ำ การตกแต่งภายในสวยงามสถานที่ตั้งดีเยี่ยม มีทิวทัศน์งดงามและยังมีตาน้ำแร่อุ่นซ่อนอยู่อีกด้วย
เซียงฉือใช้ชีวิตตั้งแต่เล็กในซวี่ตูซึ่งเป็นเมืองใกล้น้ำ หรงจิงรู้ว่าเซียงฉือชอบน้ำแร่อุ่นและดอกเหมย จึงคิดจะดัดแปลงสถานที่ตรงนั้นให้ดีเพื่อไว้เป็นที่อยู่สำหรับนาง
ความใส่ใจของหรงจิงทำให้เซียงฉือซาบซึ้งใจ
แต่ยาขมวันละชามนั้นอย่างไรหรงจิงก็ไม่ยอมให้ยกเลิก เขาเฝ้ามองเซียงฉือดื่มยาบำรุงร่างกายทุกวันซึ่งทำให้ใบหน้าเล็กๆ ที่ค่อนข้างซีดของนางขาวผ่องอวบอิ่มขึ้นมาจากการบำรุง
“ฝ่าบาท ถ้าหากหม่อมฉันตั้งครรภ์จริงๆ ฝ่าบาททรงปรารถนาให้หม่อมฉันให้กำเนิดองค์หญิงหรือองค์ชายเพคะ”
หรงจิงฟังคำพูดนางแล้วคิด
“ดีทั้งนั้น ขอให้น่ารักเหมือนเซียงฉือเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
ตอนที่ 559 แต่งตั้งผิน
เกี่ยวกับเรื่องแต่งตั้งผิน หรงจิงจัดการทุกอย่างโดยเร่งด่วน การดัดแปลงตำหนักซีเฝ่ยต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่หรงจิงใจร้อนจึงได้มีพระบรมราชโองการอย่างรวดเร็ว แต่งตั้งเซียงฉือขึ้นเป็นอวิ๋นผิน ให้อยู่ในตำหนักซีเฝ่ย
ก่อนที่ตำหนักซีเฝ่ยจะซ่อมแซมเสร็จให้อยู่ในหนิงอวี้เก๋อไปก่อนโดยหรงจิงจะเป็นคนดูแลเอง ดังนั้นข่าวการตั้งครรภ์ของเซียงฉือ จึงได้เปลี่ยนจากข่าวลือกลายเป็นความจริงขึ้นมาทันที
เซียงฉือคุกเข่าอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งดูหรงจิงเขียนราชโองการแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นผินด้วยตัวเอง จากนั้นซูกงกงอัญเชิญพระราชลัญจกร ประทับตราของหรงจิงลงบนนั้นอย่างชัดเจนเป็นระเบียบ
หรงจิงตรวจทานดูเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงให้ซูกงกงอ่านราชโองการนั้นเบื้องหน้าเขา เซียงฉือรับราชโองการสำนึกในพระกรุณาแล้วเป็นอันเสร็จสิ้นอย่างไม่ติดขัด
ขณะเดียวกันก็แจ้งไปยังกรมพิธีการและฝ่ายใน เซียงฉือยังคงอยู่ทำหน้าที่งานอาลักษณ์ เพียงแต่เลื่อนฐานะขึ้นเป็นผินเท่านั้น
การกระทำของหรงจิง ทั้งซูเฟยและจินกุ้ยเฟยต่างไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่เบื้องหลังไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
เซียงฉืออ่านรายงานทุกวันซึ่งส่วนมากจะเป็นการกราบทูลกล่าวหาว่าเซียงฉือมอมเมาฮ่องเต้ ใช้เสน่ห์ทำให้ลุ่มหลงขอให้ฮ่องเต้ขับเซียงฉือที่เป็นผู้หญิงไร้ศีลธรรมไม่มีมารยาทออกไปให้พ้นกำแพงวัง
ผู้ที่กล่าวเช่นนี้คือเฟิงโหย่วเต้า ผู้ตรวจการจากสำนักตรวจการซึ่งไม่ใช่ขุนนางใหญ่โตอะไร ถึงแม้วันนี้จะมีคนมาทูลถวายรายงานมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกพูดกระทบเปรียบเปรย กล่าวว่าฮ่องเต้โปรดปรานบุตรสาวขุนนางต้องโทษบ้างก็ว่านักโทษหญิงไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับฮ่องเต้
และก็มีขุนนางใหญ่ที่นำเรื่องวงศ์ตระกูลของเซียงฉือออกมาเปิดโปง ส่วนที่ว่าเซียงฉือทำลายกฎระเบียบในวัง ขาดจริยธรรมสตรี ศีลธรรมบกพร่อง ไม่เข้าใจหลักความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้น มีเพียงเฟิงโหย่วเต้าผู้ตรวจการของฝ่ายตรวจการเท่านั้น
เซียงฉืออ่านแล้วก็ปิดลงโดยแรงทำให้เกิดเสียงดัง หรงจิงจึงเงยหน้ามองนาง สีหน้านางเคร่งเครียด แล้ววางรายงานนั้นลงที่ด้านข้าง
ในใจยังคงโกรธเคียงอย่างที่สุด
หรงจิงได้ยินเสียงจึงเงยหน้าถามขึ้น
“ชายาของข้า เจ้าโกรธอะไรหรือ”
เซียงฉือได้ยินคำเรียกเช่นนี้ก็อึ้งไป นางหันกายกลับไปแววตามีความโกรธ พูดว่า
“ฝ่าบาททรงหยอกล้อหม่อมฉันอยู่เรื่อย หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ”
หรงจิงยิ้มแล้วหยิบรายงานของเฟิงโหย่วเต้าฉบับนั้นจากโต๊ะของนาง เมื่ออ่านแล้วก็ตะโกนเรียก
“ซูกงกง นำรายงานฉบับนี้ไปส่งให้ผู้ตรวจการหลิวเจี้ยนหมิงในสำนักผู้ตรวจการ สั่งให้เขาใช้คำพูดที่เหมาะสม ข้าไม่ต้องการเห็นเฟิงโหย่วเต้าคนนี้อีก”
หรงจิงพูดเช่นนั้นทำให้เซียงฉือตกตะลึง ผู้ตรวจการในสำนักผู้ตรวจการ พวกนั้นมีหน้าที่รายงานการกระทำของขุนนางใหญ่ พวกเขาอยู่เพื่อจัดการเหล่าขุนนางและฮ่องเต้ให้อยู่ในความถูกต้อง
ดังนั้นการเสนอรายงานขึ้นมาแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดที่ตรงไหน แต่หรงจิงทำแบบนี้เซียงฉือกลับรู้สึกเป็นความไม่ถูกต้อง
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงไม่ต้องการเห็นใต้เท้าเฟิงโหย่วเต้าอีกเพคะ”
หรงจิงมองเซียงฉือแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ถึงจะเป็นผู้ตรวจการเหมือนกัน แต่คำพูดของเขาเกินเลยไป ถึงกับกล้าพูดว่าลูกของข้ากับเจ้าขัดต่อศีลธรรมจรรยาไม่สมควรได้รับบันทึกลงในหนังสือลำดับราชสกุล ข้าไว้ชีวิตเขานี่นับว่าเกรงใจแล้ว”
“สำนักตรวจการควรเป็นปากเป็นเสียงให้ข้า เหตุใดกลับมาขวางคอข้าเช่นนี้ ผู้ตรวจการแบบนั้นถึงจะบอกว่าเป็นผู้มีคุณธรรม แต่ออกจะคร่ำครึเกินไป ข้าไม่ชอบ”
เซียงฉือฟังหรงจิงพูดแล้วก็ผงกศีรษะ หัวเราะแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาททรงเป็นประมุขของทวยราษฎร์จึงทรงเห็นเป็นเช่นนี้ แต่หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีไม่อาจเข้าใจเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองได้ เพียงแต่หม่อมฉันมีความรู้สึกว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนมีความสามารถธรรมดาๆ หากฝ่าบาททรงอ่านรายงานเขาให้ละเอียดก็จะพบว่าถึงจะหัวรุนแรงไปหน่อย แต่คำพูดของเขาล้วนกำหนดสาระสำคัญที่ไม่เคยมีมานะเพคะ”
“หม่อมฉันคิดว่าคนๆ นี้เป็นอัจฉริยะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ เขาเพียงไม่สบายใจเรื่องในวัง แต่หากฝ่าบาททรงชี้แนะเขามากขึ้น ไม่แน่ว่าจะเป็นประโยชน์ใช้สอยได้มากขึ้นนะเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วหัวเราะเบาๆ โดยมีเซียงฉืออิงแอบแนบอยู่บนไหล่ของเขา