บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 604 ขุนพลหลินถึงแก่กรรม / ตอนที่ 605 คุณธรรมบารมีสูงส่ง
ตอนที่ 604 ขุนพลหลินถึงแก่กรรม
พอขุนพลจินจะพูด ใต้เท้าหลิ่วก็พ่นลมออกจมูก สบกับสายตาโกรธเคืองของเขา สะบัดมือพูดว่า
“ขุนพลจินทำอะไรด้วยความดุร้ายไร้ไมตรี แต่นั่นควรเอาไว้ใช้กับศัตรู สำหรับคนกันเองแล้วไม่คิดว่าขุนพลจินจะโหดร้ายเช่นนี้ ข้าน้อมรับคำสั่งสอนแล้ว”
“ในเมื่อความเห็นต่างก็ไม่ควรต้องปรึกษาหารือกัน ข้าขอลาก่อน”
ใต้เท้าหลิ่วพูดจบก็ผละไปทันที ขุนพลจินยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับที่ สะบัดแขนเสื้อแล้วก็เดินออกนอกวังไปเช่นกัน
ข่าวที่หรงจิงได้ยินเมื่อครู่ทำให้เขาตกใจมาก จังหวะนั้นเขาเกิดปวดศีรษะขึ้นมาพอดี เมื่อกลับถึงตำหนักเจิ้งหยางจึงเรียกเซียงฉือให้มานวดให้เขา
เซียงฉือฝันร้ายตลอดคืน หลังตื่นจากฝันแล้วก็ไม่อาจหลับลงได้อีก นางลืมตาจ้องมองด้านบนมุ้งมาทั้งคืน อดหลับอดนอน ดวงตาจึงเหมือนกับกระต่ายน้อย
หรงจิงเลิกประชุมไวมาก นางสระสางเสร็จก็ได้ยินเรียกขานพอดี เมื่อไปถึงตำหนักเจิ้งหยางเห็นหรงจิงท่าทางอ่อนล้ามือข้างหนึ่งแตะหน้าผากดูเจ็บปวด
นางเดินเข้าไปหา ประคองแขนหรงจิงแล้วถามว่า
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรเพคะ ปวดศีรษะอีกแล้วหรือเพคะ”
หรงจิงได้ยินเสียงเซียงฉือก็พยักหน้า เซียงฉือประคองศีรษะหรงจิงแล้วนวดเบาๆ แตกต่างไปจากตอนที่นางเห็นหรงจิงปวดศีรษะครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง นับวันนางยิ่งชำนาญการนวดศีรษะให้หรงจิง ทั้งยังมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
“ฝ่าบาททรงรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ”
หรงจิงพยักหน้าแต่ยังคงบีบหัวคิ้วแน่นอยู่ ราวกับความทุกข์ตรงกลางหว่างคิ้วไม่อาจลบเลือนไปได้ เซียงฉือจึงหยั่งเชิงถามว่า
“หรือจะมีใครในราชสำนักทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เหตุใดวันนี้จึงทรงทุกข์เช่นนี้เพคะ”
หรงจิงถอนใจยาว ค่อยๆ เอ่ยคำบางคำออกมา
“สวรรค์ไม่เป็นใจ แม้เราเป็นถึงฮ่องเต้ก็เช่นเดียวกัน”
เซียงฉือฟังแล้วยังคงสงสัย แต่แล้วคำพูดถัดมาของหรงจิง ทำให้หัวใจของเซียงฉือร่วงลงสู่อุโมงค์น้ำแข็งในทันที
“ขุนพลหลินตายไปเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว เรารู้ข่าวตอนประชุมราชสำนัก ทำให้เราทุกข์ใจอย่างยิ่ง”
พอเซียงฉือได้ยินมือก็ชะงักไปแล้วค่อยๆ ลดลงมา จากนั้นนางถามขึ้นอย่างคลางแคลงสงสัยไม่เข้าใจ
“ขุนพลหลินตายแล้ว เป็นไปได้อย่างไร หมอหลวงบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
หรงจิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เรื่องทั้งหมดนี้ต่างไปจากทั้งหมดที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง หรือว่าหมอหลวงหลิวจะเข้าใจเจตนาเขาผิด
หรงจิงขมวดคิ้วมุ่นราวกับลั่นกลอนใหญ่ไว้ หนักหน่วงเสียจนเซียงฉือรู้สึกหายใจลำบาก
มือของเซียงฉือถูกหรงจิงกุมไว้ เขาเงยหน้ามองดูนางแล้วพูดว่า
“ทำให้เจ้าพลอยลำบากใจไปด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องนี้”
เซียงฉือนิ่งอึ้งยิ้มตอบน้อยๆ แต่เจ็บปวดร้าวใจจนพูดไม่ออก นางเดินกลับไปตำหนักเฟิ่งอี๋ หิมะหนักด้านนอกค่อยๆ หยุดลง หากไม่ใช่เบื้องหน้าขาวโพลนไปทั่ว นางอาจจะสงสัยว่าเคยมีหิมะตกลงมาจริงๆ หรือ
เซียงฉือแหงนหน้ามองฟ้า ท้องฟ้ายามนี้กำลังดี ฟ้าเป็นสีครามอีกทั้งยังมีนกกระจอกหลายตัวบินผ่าน บางครั้งก็ร่อนลงกลางลานเพื่อจิกกินข้าวเปลือกบนพื้น กินอย่างตั้งใจ
นางยื่นมือออกนอกเสื้อคลุมสีขาวตัวใหญ่ เหมือนดั่งมีเกล็ดหิมะร่วงลงมา นางจึงยื่นมือออกไปรองรับเกล็ดหิมะสีขาวอย่างรู้สึกประหลาด ยกมืออยู่นานแต่พอหดมือเข้ามากลับไม่มีอะไรเลย
เซียงฉือถามขึ้นอย่างรู้สึกทุกข์ทน
“หลิ่วจุ้ย ไหนบอกหน่อยสิว่า เกล็ดหิมะพอร่วงเข้าสู่กลางฝ่ามือแล้วอันตรธานไป แต่พอร่วงลงพื้นดินกลับขาวโพลนไปทั้งผืน เจ้าว่าเป็นเพราะมือข้าที่ยื่นออกไปใช่หรือไม่ ที่ทำให้มันต้องดับสูญลงไปก่อน”
น้ำตาเซียงฉือร่วงหล่นลงมาจากหางตา หลิ่วจุ้ยส่งผ้าเช็ดหน้าให้ไม่รู้จะปลอบใจนางอย่างไร ได้แต่เศร้าใจไปกับนางด้วย
ตอนที่ 605 คุณธรรมบารมีสูงส่ง
มีบางเรื่องพอเป็นฮ่องเต้มานานทำให้การคาดเดาแม่นยำยิ่ง อย่างเช่นในราชสำนักวันนี้ หรงจิงมองเหล่าขุนนางที่โยนทุกอย่างในกรณีการตายของขุนพลหลินลงบนตัวอวิ๋นเซียงฉืออีก
ขุนนางพวกนั้นมีใจเคียดแค้นอำมหิตคิดฉีกทึ้งเนื้อหนังเซียงฉือ และคิดจะฆ่าเซียงฉือที่ไร้กำลังต้านทานให้ตายในกองน้ำลายของพวกเขา
หรงจิงยิ้มน้อยๆ กับเรื่องนี้เพราะเขารู้แจ้งแก่ใจดี อวิ๋นเซียงฉือได้รับความรักจากเขาอีกทั้งยังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งหมายความว่าการดำรงอยู่ของนางนั้นเป็นการรุกล้ำผลประโยชน์ของใครบางคน
หรงจิงรู้กระจ่างแต่ยังมีคนอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจ พากันเฮโลตามขุนพลจินอย่างเลอะเทอะด้วยคิดว่าจะได้อยู่ร่มเย็นสงบสุขความทะเยอทะยานที่ปิดไม่มิดของเขาเป็นที่รู้กันทั่ว
หรงจิงฟังรายงานพวกนั้นอย่างสงบไม่พูดอะไร อดทนจนถึงตอนเลิกประชุมจึงรู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นนอน
เมื่อบิดขี้เกียจแล้วจึงเลิกคิ้วพูดขึ้นว่า
“รายงานพวกนี้เราเห็นหมดแล้ว เรื่องที่ท่านทั้งหลายรายงานมาเรารู้แล้ว เราจะเอาไปพิจารณาให้จริงจัง เลิกประชุมได้”
หรงจิงลุกขึ้น หลังจากยืนอยู่นาน เขามองขุนนางเบื้องล่างโดยรอบแล้วพูดขึ้น
“ขุนพลมู่หรง หยางกั๋วกง แม่ทัพเฉา ขุนพลจิน ทั้งสี่ท่านไปรอที่ตำหนักเจิ้งหยาง เรายังมีเรื่องจะปรึกษาหารือ”
หรงจิงพูดจบก็ย่างเท้าเดินออกไป มุมปากผุดอาการยิ้มเยาะ
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้เลือดเย็นไร้น้ำใจ แต่ขออย่าให้ทำเรื่องเลยเถิดเกินขอบเขต มิเช่นนั้น เขาจะไม่มีวันยอมให้ทำเรื่องแบบนั้นต่อไปอีกอย่างเด็ดขาด
หรงจิงยืนรออยู่ข้างนอกท่ามกลางลมหิมะ ขุนศึกใหญ่ทั้งสี่ล้วนเป็นผู้มีคุณธรรมบารมีสูงส่งในกองทัพ ขุนพลจินเฝ้ารักษาการณ์ยังเทือกเขาสวินหลงจุดอันตรายที่สุดเหนือชังโจว สถานที่นั้นอยู่ระหว่างแคว้นเยี่ยกวนกับแปดกองทัพหรงเสวี่ย อันเป็นด่านที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุด
สถานที่นั้นเพราะต้องดำรงชีวิตอย่างเลวร้าย อากาศเหน็บหนาวทั้งโจรร้ายก็กำเริบเสิบสาน บางครั้งทหารม้าที่ฮึกเหิมของแคว้นหรงเสวี่ยจะก่อเหตุขี่ม้าปล้นชิงสินค้า กำเริบอยู่ตามชายแดนอีกด้วย
ดังนั้นขุนพลจินจึงเป็นตัวแทนขุนศึกในดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือคือชัวโจว อวิ๋นโจวและจิ้งโจวสามหัวเมือง ขุนพลมู่รักษาการณ์ลี่โจว ชิงโจว บริเวณนั้นมากด้วยภูเขาป่าทึบ พวกแคว้นเยี่ยกวนกับเมืองเล็กๆ แถบนั้นมักล่วงล้ำแดนและมีเหตุการณ์ค้าของเถื่อนค้ามนุษย์ ดังนั้นบริเวณนั้นจึงถูกสั่งปิดและล้าหลัง ขึ้นชื่อด้านแมลงพิษ ยาพิษ งูพิษ ชื่อเสียงของขุนพลมู่หรงอันเป็นที่รู้จัก ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลคุณธรรมมีบารมีสูงที่สุด
ส่วนแม่ทัพเฉาเป็นแม่ทัพมณฑลในไห่โจว ฮุยโจว รับผิดชอบการรบทางทะเลกับแคว้นซานโฮ่ว แคว้นหนานอวี่และแคว้นเป่ยหมิง อีกทั้งการลำเลียงขนส่งเสบียงอาหารทางน้ำ
หยางกั๋วกงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ช่ำชองสุขุมที่สุด อีกทั้งยังเป็นขุนศึกเฒ่าที่มีความสามารถที่สุดของหรงจิง
การนำพวกเขาทั้งสี่มาที่นี่ในตอนนี้ เหมือนหรงจิงได้นำผู้นำทัพคนสำคัญของทั้งประเทศมาที่ตำหนักเจิ้งหยาง
วันนี้เซียงฉือยังไม่ได้มาตำหนักเจิ้งหยาง ตั้งแต่หรงจิงประกาศต่อภายนอกว่านางตั้งครรภ์และโปรดปรานนางที่สุดเป็นต้นมา อวิ๋นเซียงฉือก็รู้ว่านางได้กลายเป็นโล่กำบังอยู่ด้านหน้าหรงจิง
เขาจะต้องทำอะไรอยู่เป็นแน่ ตัวตนของอวิ๋นเซียงฉือมีไว้เพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากใครบางพวกเท่านั้น
เรื่องเหล่านี้นางเข้าใจชัดเจนแต่นางจะทำอะไรได้นอกจากให้ความร่วมมืออย่างสงบ
หรงจิงยืนอยู่ใต้ระเบียง มองดูหิมะด้านนอกที่ยังไม่ละลาย หยางกั๋วกงเดินออกมาจากในห้องเป็นคนแรกแล้วไปยืนอยู่ข้างหรงจิง นิ่งมองดูหิมะด้านนอกเป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบๆ เช่นกัน
“ท่านอาจารย์ เราไม่ได้ดูหิมะแบบนี้มานานแล้ว”
หยางกั๋วกงตกตะลึงแล้วสั่นศีรษะรัว พูดว่า
“ฝ่าบาททรงศึกษาวิธีการวางทัพจัดกำลังกับกระหม่อมเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทรงให้เกียรติแก่กระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หิมะนั้นหากดูมากเกินไปจะทำร้ายดวงตาได้ กระหม่อมแก่แล้ว ปีนี้ได้เห็นไม่รู้ว่าปีหน้ายังจะมีโอกาสอีกหรือไม่ ส่วนฝ่าบาทยังทรงอยู่ในวัยฉกรรจ์ หิมะที่ตกทุกปีแตกต่างกันไปทุกปีนะพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงฟังคำพูดนี้แล้วก็ยิ้ม