บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 632 คำไหนคำนั้น / ตอนที่ 633 พบพานเพื่อนเก่า
ตอนที่ 632 คำไหนคำนั้น
เซียงฉืออิงแอบข้างกายหรงจิงมองดูสิ่งปลูกสร้างด้านล่างไปด้วย ในใจยิ่งบังเกิดความหดหู่
เสียงของหรงจิงลอยล่องอยู่ในสายลม วนเวียนอยู่ข้างหูเซียงฉือตลอดเวลา
“เราไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยแค่ไหนมายืนมองดูที่นั่นจากบนที่สูง และไม่รู้ว่ามีสักกี่คนที่มีใจคิดจะแทนที่ของเรา สถานะนั้นอยู่สูงล้ำก็จริง แต่ทว่าเป็นตำแหน่งแห่งที่ๆ มืดบอดและหนวกสนิทที่สุด เราจึงต้องขอให้เจ้าช่วยเราทดสอบเพื่อจะได้รู้ว่ามีใครต้องการที่แห่งนี้ มีคนไหนที่อยากจะฆ่าเราจนแทบจะรอไม่ไหวเพื่อที่จะได้ขึ้นมาแทนที่”
เซียงฉืออึ้งไป นางได้ยินความเศร้ารันทดในน้ำเสียงของหรงจิง
“ฝ่าบาททรงเป็นพระประมุขของทวยราษฎร์ ราชันของแผ่นดิน เหตุใดจึงทรงเศร้าสร้อยเช่นนี้เพคะ”
หรงจิงประคองมือเซียงฉือไว้พูดว่า
“เราขึ้นครองบัลลังก์ในวัยเยาว์ รอบข้างเต็มไปด้วยภยันตราย เราศึกษาอุบายการเป็นฮ่องเต้ แต่ทว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาวเราอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางแต่เพียงลำพังและหวาดหวั่น”
อวิ๋นเซียงฉือฟังได้ชัดแจ้ง นางทั้งหวาดหวั่นและสงสาร จึงยื่นมืออกไปโอบหรงจิง ซบศีรษะลงกับแผ่นอกเขา มองดูพระราชวังต้องห้ามเบื้องหลังแล้วพลอยรู้สึกวังเวง
หรงจิงสัมผัสความคิดของนางได้จึงประคองนางไว้แล้วพูดยิ้มๆ ว่า
“เรามอบหนังสือสมรสให้กับเจ้าไม่ใช่ด้วยเหตุอื่นใด แต่เพื่อต้องการบอกเจ้าว่าเราจริงใจต่อเจ้า ปรารถนาจะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต หวังว่าเจ้าจะไม่ทรยศต่อเรา”
หัวใจอวิ๋นเซียงฉือสะท้าน นางพยักหน้าเลื่อนลอยอยู่ในอ้อมอกหรงจิง
หรงจิงรับรู้ถึงการผงกศีรษะเบาๆ แต่หนักแน่นนั้น รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากแล้วพูดว่า
“เจ้าเฉลียวฉลาดปานนี้คิดว่าคงจะรู้ว่าฝ่ายในที่อยู่ข้างใต้เรานี้ถึงเวลาต้องสะสางกันแล้ว เราปล่อยปละคนบางคนมานานเกินไปกระทั่งพวกเขาลืมไปแล้วว่าทุกอย่างได้มาเพราะเราประทานให้ แล้วเห็นเราข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง”
รอยยิ้มของหรงจิงแข็งเย็นยิ่งกว่าหิมะเบื้องหน้า อวิ๋นเซียงฉือเห็นแล้วต้องหดคอลง
เจตนาของเขาเซียงฉือฟังอย่างเข้าใจ
บนเขาอวี้หนี่ว์มีหิมะรายรอบ มีหมอกลอยขึ้นมาบนนั้นดูราวก้อนเมฆล่องลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อมองลงไปยังพระราชวังต้องห้าม เซียงฉือเห็นราวกับเป็นโลกใบใหม่ ไม่ใช่ที่ๆ ตนอยู่อาศัยมาโดยตลอด
“หม่อมฉันจะร่วมประสานกับฝ่าบาท เชื่อมั่นและจงรักภักดีต่อฝ่าบาท หม่อมฉันขอถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยทุกชีวิตของคนบ้านสกุลอวิ๋นและทุกสิ่งทุกอย่างของหม่อมฉันเพคะ”
หรงจิงโอบเซียงฉือไว้ในอ้อมอก พูดเสียงเบาว่า
“เรารู้ เราเลือกด้วยตนเอง เราเชื่อใจเจ้า”
อวิ๋นเซียงฉือได้ยินดังนั้นก็อิงแอบแนบกายหรงจิงอย่างหลงในกลิ่นกายของเขา
ชื่นชอบความอบอุ่นจากเขาอีกทั้งเขาที่เป็นที่พึ่งแก่นางได้ อวิ๋นเซียงฉือไม่ได้เก็บใจของตนเองไว้แม้แต่น้อย นางมอบให้หรงจิงจนหมดสิ้น
มือหรงจิงที่กอดนางกระชับขึ้น เขาพูดว่า
“ทัศนียภาพที่นี่งดงามยิ่งนัก เจ้าชอบหรือไม่”
เซียงฉือผงกศีรษะพูดว่า
“เดินมาครึ่งวันกว่าจะถึงที่นี่ แต่ทิวทัศน์นี้ไม่ทำให้หม่อมฉันผิดหวังเลยเพคะ มีฝ่าบาทอยู่ที่นี่ด้วยยิ่งเป็นการเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่ทัศนียภาพเพคะ”
หรงจิงเคาะศีรษะนางแล้วรำพึงชื่นชม วันเวลาที่สงบสุขเป็นเช่นนี้นี่เอง
อวิ๋นเซียงฉือเดินลงบันไดช้าๆ พร้อมหรงจิง หรงจิงออกแรงเล็กน้อยประคองมือนาง กลัวนางจะหกล้มอย่างยิ่ง
เดินไปไม่ถึงสิบห้านาทีก็ไม่เห็นหิมะที่ทับถมแล้ว
คนมักพูดกันว่าขึ้นเขานั้นง่ายแต่ตอนลงนั้นยากเพิ่งเป็นที่ประจักษ์ในครั้งนี้ หรงจิงยิ้ม ค่อยๆ ดึงมือเซียงฉือพูดว่า
“เส้นทางลำบากไม่ราบเรียบเช่นนี้ เจ้านึกเสียใจบ้างไหม”
เซียงฉือเพียงยิ้มน้อยๆ เป็นนานจนกระทั่งลงจากเขาแล้ว นางจึงได้ตอบคำถามหรงจิง
“การที่หม่อมฉันเชื่อมั่นในฝ่าบาทย่อมมีความหมายลึกซึ้ง ซึ่งทำให้ได้รับประโยชน์มากมายมิใช่หรือเพคะ”
หรงจิงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“เรามีคำสั่งให้คืนตำแหน่งหน้าที่เดิมแก่บิดาเจ้าแล้ว เรารับปากเจ้าว่าจะไม่มีใครนำเรี่องคดีเก่ามาสร้างความลำบากใจให้เจ้ากับบิดาเจ้าอีกต่อไป เป็นอย่างไร”
ตอนที่ 633 พบพานเพื่อนเก่า
“ฝ่าบาททรงคิดจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตนี้อย่างไรเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือถามออกไปด้วยความสงสัย หรงจิงโอบคนงามในอ้อมแขน สายตามองออกไปเบื้องนอก พูดเรียบๆ ว่า
“เราต้องการเพียงจูงมือไปกับเจ้าชั่วชีวิต ชมดอกท้อในฤดูใบไม้ผลิ หน้าร้อนดูดอกบัว ฤดูใบไม้ร่วงบรรเลงเพลงขลุ่ยพอถึงฤดูหนาวก็มาชมดอกเหมยดูหิมะกันที่นี่ ขอเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้างเราก็พอแล้ว”
เซียงฉือถอนใจเบาๆ อิงแอบหรงจิงนิ่งเงียบ แม้จะไม่ใช่ความต้องการที่มากมาย แต่น่าเสียดายว่าคงจะไม่ง่ายดายนักสำหรับพวกเขา
ข่าวด่วนเรื่องการศึกที่ชายแดนส่งไปถึงตำหนักเจิ้งหยางทำให้หรงจิงต้องรีบเดินทางกลับวังเรียกเปิดประชุมผู้นำทัพเป็นการด่วน หรงเสวี่ยกั๋วรุกล้ำชายแดนอย่างฮึกเหิม ไม่อาจไม่ระวังป้องกัน
เขาไม่อาจไม่ปล่อยเซียงฉือไว้แล้วเร่งเดินทางกลับตำหนักเจิ้งหยางไปก่อน
อวิ๋นเซียงฉือนั่งอยู่ในห้องพลิกอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่าย นางคิดถึงเวลาสองวันที่ได้อยู่กับหรงจิงทำให้ต้องยิ้มขึ้นมา
ด้านนอกเสียงลมพัดแรงหงซีกูกูจึงรีบออกไปตรวจดู เซียงฉือไม่ใส่ใจกับอะไรพวกนั้น ยังคงอ่านหนังสือในมือ
แสงไฟเบื้องหน้ากระตุกสองครั้งจึงได้กลับมานิ่งดังเดิม
เซียงฉือหยิบกรรไกรตัดไส้เทียนให้สั้นลงแล้วตั้งใจอ่านหนังสือต่อ แต่รู้สึกเหมือนมีสายตาสายหนึ่งมองดูนางอยู่ในห้อง เมื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย ก็เห็นคนๆ หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้านาง
ร่างในชุดเดินทางสีดำทั้งชุด เส้นผมยาวดำรัดไว้ด้วยศิราภรณ์ แต่ว่าคนคนนี้ไม่ใช่หรงจิงทว่าคือเหอเจี่ยนสุย
อวิ๋นเซียงฉือตกใจไม่น้อย นางก้มหน้าเก็บหนังสือแล้วลุกขึ้นช้าๆ
หลังจากถอนใจเบาๆ แล้วก็เดินไปเบื้องหน้า ย่อกายทำความเคารพเขา
“ใต้เท้าเหอ”
จากนั้นลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าเหอเจี่ยนสุยและมองสบตาเขานิ่ง ดวงตาแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองเขา
“ท่านไม่ควรมา เพราะรู้ดีถึงผลลัพธ์อยู่แล้ว ข้าคิดว่าเหลียนชินอ๋องคงได้บอกกับท่านชัดเจนดีแล้ว ท่านเป็นขุนนางควรต้องรักษาสถานะความเป็นขุนนางให้ดีที่สุด ส่วนข้าเป็นพระชายา ก็มีกฎที่ข้าควรต้องปฏิบัติ”
เหอเจี่ยนสุยมองเซียงฉือเนิ่นนาน จนกระทั่งนางพูดจบเขาจึงเอ่ยปากช้าๆ
“ข้ารู้ดี แต่ตอนนั้นข้าเป็นคนเสนอเรื่องวิวาห์เอง ถึงแม้พวกเรามีบุญแต่ไร้วาสนา ก็สมควรต้องแยกทางกันต่อหน้าจึงจะถูกต้อง”
เหอเจี่ยนสุยยังคงนุ่มนวลเหมือนดั่งเคย น้ำเสียงราบเรียบกับน้ำคำที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป คนทั่วไปจะรู้สึกว่าเขาทำตัวห่างเหิน
แต่เซียงฉือรู้ว่าเขาเป็นคนไม่เคยโกรธและโอบอ้อมต่อคนอื่น จะไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัด หากใครรู้สึกอึดอัด เขาจะโกรธมากและไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เซียงฉือรู้ดีทุกอย่างแต่นางจะทำอย่างไร จะปลอบใจเขาหรือ ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้เขาตัดไม่ขาด แต่อย่างไรก็ตาม เหอเจี่ยนสุยไม่ผิด ที่ผิดล้วนเป็นนาง ดังนั้นนางก็ควรเป็นนางร้ายเช่นนี้ตลอดไป
นางหลบสายตาเหอเจี่ยนสุยแล้วเดินไปด้านข้างลงกลอนประตูเบาๆ แล้วหันกลับไปพูดกับเหอเจี่ยนสุย
“พี่เหวินเซวียน การหมั้นหมายของพวกเราจบสิ้นไปนานแล้ว เพียงแต่ข้าเห็นท่านเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายจึงยึดไว้แน่น ตลอดมาไม่ยอมปล่อยมือ แต่ตอนนี้ข้าได้พบไม้ใหญ่ที่สามารถพักพิงได้แล้วจึงปล่อยฟางเส้นนั้นไป ดังนั้นต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง”
คำพูดที่อวิ๋นเซียงฉือทำใจดำพูดออกมานั้น ทำให้เหอเจี่ยนสุยหัวเราะเยาะขึ้น
แต่เหอเจี่ยนสุยที่ไม่เคยบันดาลโทสะมาก่อนกลับดึงแขนนาง มองนางด้วยสายตาวับวาว เมื่ออวิ๋นเซียงฉือคิดหลบตาก็ถูกเขาบังคับให้มองตน
อวิ๋นเซียงฉือคิดต่อต้านแต่เหอเจี่ยนสุยจับมือนางแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อไม่อาจต่อต้านได้อีก จึงจ้องฝ่ายตรงข้ามเขม็ง
“ใต้เท้าเหอ โปรดสำรวมด้วย”
เหอเจี่ยนสุยได้ยินก็หัวเราะเยาะแล้วเพิ่มแรงที่มือยิ่งขึ้น สายตาที่มองนาง จดจ้องมองดูอย่างจริงจัง
เซียงฉือไร้ทางหลบเลี่ยงและไม่อาจควบคุม จึงถูกดวงตาที่เอ่อท้นความเศร้าเสียใจของเขาทำให้จิตใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง