บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 638 ค้นหาความจริง / ตอนที่ 639 ปะนักฆ่าอีกครั้ง
ตอนที่ 638 ค้นหาความจริง
เซียงฉือไม่มีวันยอมให้ใครจัดการง่ายๆ เป็นอันขาด นางออกมาจากบ้านหญิงชาวนาโดยมีสัมภาระใบไม่โตติดตัวไปหญิงชาวนาคนนั้นซื่อสัตย์มากน้ำใจ ไม่ค้ากำไรเกินควรและกรรโชกอะไรจากนาง
รับแต่เพียงเสื้อผ้าของนางไว้เพื่อที่จะเอาไปจำนำ โดยที่ไม่รับสิ่งของอื่นใดอีกแม้แต่น้อย
เซียงฉือสวมเสื้อคลุมของตนเอง เช่นนี้นางจึงจะสามารถหลบซ่อนอยู่บนพื้นหิมะได้โดยไม่ถูกพบเห็นโดยง่าย เซียงฉือเดินตามผู้ลี้ภัยตลอดทางเพื่อมุ่งไปอวิ๋นหยาง
เดินจนถึงพลบค่ำจึงได้เห็นประตูกำแพงเมืองชั้นในของอวิ๋นหยาง แต่ว่าประตูปิดสนิท ฝูงชนด้านนอกพากันทุบประตูทหารรักษาการณ์ด้านบนไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เซียงฉือเหลียวมองซ้ายขวาจำได้ว่ามีทหารรักษาพระองค์รักษาการณ์อยู่ใกล้ๆ นี้ แต่นางมองดูรอบด้านแล้วไม่เห็นทหารรักษาการณ์แม้สักครึ่งคน ฟ้าเริ่มมืดลงทุกที มืดเร็วขึ้นด้วยเป็นหน้าหนาว เซียงฉือรู้ว่าตนเองไม่อาจแกร่วอยู่ที่ข้างนอกนี้ได้ จึงเดินออกไปทางจุดพักเดินทางของข้าราชการด้านนอกกำแพง
ด้านนอกกำแพงมีผู้คนมากมายปะปนกันพลุกพล่าน เซียงฉือสวมหมวกปะปนอยู่ในนั้น เดินอย่างรวดเร็วไปยังโรงแรม
ที่นี่ไม่อาจเทียบความหรูหรากับภัตตาคารใหญ่ทั้งหลายภายในกำแพงเมืองได้ แต่ว่าพักชั่วคราวเพียงข้ามคืนก็ยังพอไหว
แต่เซียงฉือเหลือเพียงเงินค่าเช่าห้อง บนตัวนางไม่มีเงินสดสำหรับใช้สอยอีก เงินจำนวนนี้ยังนำมาจากในมือของเสียวสี่จื๊ออีกด้วย
เวลานี้จึงจำเป็นต้องนำเครื่องประดับศีรษะที่มีอยู่ไม่มาออกขาย ตอนนี้นางอยู่ด้านนอกกำแพง ถึงจะรู้ว่าหากหรงจิงรู้ว่านางยังไม่กลับวังจะต้องกระวนกระวายเป็นแน่
แต่นางก็รู้ว่า เมื่อคนพวกนั้นจับนางไม่ได้ จะต้องมีใครพูดอย่างทำอีกอย่างหรือรั้งตัวหรงจิงไว้ ไม่ให้เขาล่วงรู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือยังไม่กลับ
หากคิดเพียงอาศัยหงซีกูกู เกรงว่าครั้งนี้นางคงจะโชคร้ายมากกว่าดี
ถึงแม้จะรู้ว่ามีคนคิดปองร้ายชีวิตนางในที่ลับ แต่นางก็จำเป็นต้องไปโรงรับจำนำ
นางถอดสร้อยข้อมือหินโมราสีแดงนำออกจำนำได้เงินมาไม่มาก จากนั้นจึงหลบๆ ซ่อนๆ กลับโรงแรม
อวิ๋นเซียงฉือไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันเพราะวิตกกังวล จึงหิวเสียจนท้องกิ่ว พอเดินเข้าไปในโรงแรมก็หามุมข้างกำแพงที่ไม่สะดุดตาแล้วนั่งลง
สั่งน้ำแกงง่ายๆ ชามหนึ่งกับหมั่นโถวอีกสองลูก รับประทาน
ผู้คนรอบข้างคับคั่งขึ้น นางดึงหมวกหลุบลงซ่อนตนเองให้มิดชิดยิ่งขึ้น
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมช่วงนี้จึงมีผู้ลี้ภัยมากนัก ไม่ได้ข่าวว่าเกิดจราจลที่ไหนสักหน่อย”
ลูกค้าที่มารับประทานอาหารสองคนด้านข้างกำลังจะเข้าไปในเมืองแต่ถูกขวางกั้นไว้ เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับเซียงฉือในขณะนี้
แต่แล้วคนข้างๆ เขาก็พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า
“ว่ากันว่าขุนพลจินที่เทือกเขาสวินหลงยอมจำนนต่อแคว้นหรงเสวี่ย กองทัพหมาป่าของแคว้นหรงเสวี่ยจึงฉวยโอกาสบุกเข้ามา ปล้นสดมภ์เข่นฆ่าเผาทำลาย น่าเวทนายิ่งนัก”
พอได้ยินว่าขุนพลจินและเทือกเขาสวินหลง เซียงฉือก็วางหมั่นโถวในมือแล้วตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ
คนด้านข้างคนนั้นถามต่ออย่างเป็นใจยิ่งนักว่า
“ขุนพลจินทิ้งเมืองยอมแพ้แล้วหรือ แคว้นเซี่ยวจิ่งเราจะทำศึกสงครามอีกแล้วหรือนี่ เฮ่อ วันเวลาที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมันช่างน้อยนิดเสียจริง เจ้ายังรู้อะไรอีกรีบบอกมาไวๆ”
เซียงฉือฟังเขาพูดแล้วบังเกิดความสนใจขึ้นมา คนๆ นั้นจึงเล่าอย่างน้ำไหลไฟดับออกมาทันที
“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า เจ้ารู้จักกองทัพหมาป่าที่เกรียงไกรที่สุดของแคว้นหรงเสวี่ยดีกระมัง พวกมันปล่อยหมาป่าออกมาไล่กัดคน คนตายแล้วซากศพยังไปอยู่ในท้องหมาป่าอีก”
เซียงฉือฟังแล้วตกตะลึง บังเกิดความรู้สึกสะท้อนใจอย่างมากในขณะนั้น
คนคนนั้นฟังคำพูดเช่นนี้แล้วได้แต่ปลง เขาพูดว่า
“พวกเรารีบหาวิธีเข้าไปในเมืองโดยเร็วจะดีกว่า”
ตอนที่ 639 ปะนักฆ่าอีกครั้ง
เซียงฉือเงี่ยหูตั้งใจจะฟังให้ชัดเจนสักหน่อยก็มีชายร่างกำยำหลายคนเดินเข้าประตูมา หางตาเซียงฉือปรายออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่แล้วใจก็วูบลง
คนคนนั้นคือผู้ชายสีหน้าเย็นชา แววตาดุร้ายที่เห็นอยู่ท่านกลางฝูงชนเมื่อกลางวันนี้ และเขาก็คือผู้รับผิดชอบในการจับเซียงฉืออย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงพวกผู้ลี้ภัยจะต้องการไปรวมตัวกันที่อวิ๋นหยาง แต่หากไม่มีใครยุยงปลุกปั่น ลำพังเพียงตาสีตาสาจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ที่อยู่บนรถคือใครและถึงกับมีคนใจกล้าพอที่จะจับตัวเซียงฉือออกไป
“นั่งอยู่กับที่ ห้ามไม่ให้ใครขยับ เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้ามารบกวน”
ชายคนนั้นพูดแล้วก็ถือมีดเดินเข้ามา เขาจับแหงนดูใบหน้าหญิงสาวทุกคนอย่างหยาบคาย
“ดูท่าคงกำลังหาผู้หญิงอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ช่วงวุ่นวายไม่สงบสุขแบบนี้ เจ้าพวกทหารกลุ่มนี้คงไม่ได้เป็นอันธพาลเที่ยวฉุดคร่าหญิงสาวกระมัง”
แล้วชายที่เมื่อครู่ยังคุยโวโอ้อวดอยู่ก็รีบพูดขึ้นเสียงเบา
“ชาวบ้านไม่ต่อกรกับขุนนางอยู่แล้ว ข้าว่าพี่หลิวอย่าไปสนใจกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราจะดีกว่า กินข้าวๆ ไปเถอะ”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่หลิวคนนั้นพ่นลมพรืดแล้ววางตะเกียบลงโดยแรง
“พี่หวัง ท่านกับข้าต่างเป็นผู้ศึกษาตำรา เหตุใดพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วนอกจากไม่ห้ามปรามยังจะพูดจาแบบนี้อีกประเทศชาติจะรุ่งเรืองหรือล่มสลายเป็นความรับผิดชอบของประชาชนทุกคน น่าเสียดายที่ท่านสู้อุตส่าห์ศึกษาตำราปราชญ์มานานปี”
เซียงฉือได้ยินก็นึกเยาะในใจ นางวางเงินลงบนโต๊ะเงียบๆ แล้วหมุนกาย วางหมั่นโถวในมือลงมองดูพวกนั้นค้นหาอยู่ในหมู่คน จากนั้นรีบเคลื่อนกายเงียบๆ เข้าไปในครัวด้านหลัง พ่อครัวใหญ่ในนั้นต่างกำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหารไม่มีใครรับรู้ถึงการเข้าไปของนางในขณะนั้น
ฝีเท้าเซียงฉือแผ่วเบา นางแสร้งทำตัวเป็นหญิงชรายกมีดทำท่าเหมือนกำลังหั่นผัก ชายรูปร่างใหญ่คนนั้นเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองเข้ามาข้างใน
หัวใจของเซียงฉือกระโดดขึ้นไปถึงคอหอย ผู้ชายที่มีแววตาเย็นชาหน้าตาขาวผ่องคนนั้นสำรวจไปทั่วด้วยสีหน้าจริงจังอายุเขาประมาณสามสิบเศษแต่ดูช่ำชองยิ่ง ทั้งใบหน้าก็เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา
เซียงฉือใจหายใจคว่ำ นางคอยจดจ่อและเตรียมช่องทางหนีทีไล่ไว้แล้ว
คนคนนั้นเข้ามามองไปทั่ว คนในห้องครัวต่างก็เงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นบังเกิดควันลอยคละคลุ้ง รมเสียจนแต่ละคนลืมตาไม่ขึ้น
คนคนนั้นกระแอมไอหลายครั้ง สบถด่าแล้วเดินออกไป
เซียงฉือกำลังจะวางมีดลงก็ถูกคนจับแขนไว้ ผู้ชายหนวดเคราเฟิ้มคนหนึ่งยุดข้อมือของนางไว้ เซียงฉือตกตะลึง เมื่อมองดูหน้าตาของคนคนนั้นแล้วก็รู้ว่าเป็นพ่อครัวของที่นี่
“เจ้าเป็นใคร ห้องครัวเป็นสถานที่สำคัญห้ามไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา ถ้าเป็นแขกก็ออกไปข้างนอกโน่น”
เสียงของเขาดังมาก คนในห้องครัวส่วนหนึ่งจึงหันมามอง เซียงฉือมองรอบข้างแล้วจึงพูดว่า
“ผู้กล้าท่านนี้ไว้ชีวิตด้วยเถิด แม่เลี้ยงของข้าใจร้ายมาก นางจะให้ข้าแต่งงานกับขันทีในวัง ข้าไร้หนทางจึงได้วิ่งหนีออกมา ตอนนี้พวกเขาอยู่ข้างนอก ขอท่านผู้กล้าได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”
พ่อครัวคนนั้นตั้งใจจะลากนางออกไป แต่เมื่อได้ฟังเรื่องชะตาชีวิตที่แสนเศร้าของนางแล้วเกิดรู้สึกเศร้าลดขึ้นมา เขาส่ายหน้าน้อยๆ ทอดถอนใจ
“ชีวิตเจ้าลำเค็ญจริงๆ ตามข้าไปหลบที่ด้านหลังเถอะ รอให้พวกเขาจากไปก่อนเจ้าค่อยออกมาก็แล้วกัน”
เซียงฉือผงกศีรษะ แต่ความละโมบที่ผุดขึ้นแวบหนึ่งในดวงตาของเขาไม่อาจหลุดพ้นสายตาเซียงฉือไปได้ ในวังมีสนมนางในที่มีฝีมือการแสดงที่เหนือชั้นกว่ามากมาย ลูกไม้เล็กน้อยของเขาเท่านี้จึงช่างตื้นเขินนัก
เซียงฉือบีบริมฝีปากแน่น เดินตามหลังเขาไปโดยไม่พูดอะไร