บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 650 มังกรเหินกับสวี่อี้ / ตอนที่ 651 เรื่องลำบากใจ
ตอนที่ 650 มังกรเหินกับสวี่อี้
พอหรงจิงสั่งก็มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลัง นางคุกเข่าลงเบื้องหน้าหรงจิง
ร่างที่สวมชุดขุนนางราชสำนักสีดำมีใบหน้างดงาม รูปร่างสูงโปร่งนั้นก็คือสวี่อี้ นางเงียบหายไปช่วงหนึ่งเพราะถูกหรงจิงส่งให้ไปแถบเทือกเขาสวินหลง ครั้งนี้นางกลับมาช้าทำให้หรงจิงเต็มไปด้วยความสงสัย
“สวี่อี้ เราส่งเจ้าไปเทือกเขาสวินหลง ได้ข่าวอะไรกลับมาหรือไม่”
สวี่อี้คุกเข่าลงทันทีตอบว่า
“หม่อมฉันนำหน่วยข่าวกรองมังกรเหินไปเจ็ดคนและได้อะไรมาบ้างเพคะ แต่ว่ามีเรื่องประหลาด ทั้งใต้เท้าหลัวกับหม่อมฉันต่างล้วนอับจนหนทาง จึงได้กลับมากราบทูลเพคะ”
หรงจิงสนใจขึ้นมา เขาพยักหน้าถามว่า
“เก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง ไหนลองว่ามา เราสนใจขึ้นแล้ว”
สวี่อี้ผงกศีรษะแล้วพูดอีกครั้งว่า
“ทูลฝ่าบาท วันนั้นใต้เท้าหลัวส่งทีมมังกรเหินชุดแรกไปแต่ไม่มีใครกลับมา เขาจึงส่งออกไปอีกเจ็ดคนซึ่งล้วนเป็นนักรบที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในมังกรเหิน แต่ล่วงเลยเวลาที่ควรกลับไปสามวันก็ยังไม่กลับมา เมื่อฝ่าบาททรงเร่งรัดจึงได้ส่งนักรบคนหนึ่งให้มากราบทูลฝ่าบาท ใต้เท้าหลัวพบว่าเรื่องนี้น่าแปลก จึงได้นำเซียงซวินกับแม่นางที่ชำนาญคาถาอาคมจากองครักษ์มังกรฟ้าอีกหลายคนเข้าไปข้างใน แล้วก็ได้พบซากศพหนึ่งเข้า แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถนำกลับมาได้เพคะ”
หรงจิงขมวดคิ้วท่าทางเคร่งขรึม หน่วยข่าวกรองมังกรเหินหากพบศพเพื่อนร่วมงานย่อมต้องพยายามหาวิธีนำกลับมาฝัง แต่เมื่อไม่สามารถนำกลับมาได้ สถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไรกัน
เขาพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม ถามขึ้นอีกครั้งว่า
“พบอะไรในเทือกเขาสวินหลงเช่นนั้นหรือ ขุนพลจินทำเรื่องอะไรอยู่กันแน่”
สายตาสวี่อี้ขรึมและปลง นางตอบว่า
“บนร่างซากศพที่พบนั้นมีผิวหนังสีเขียวดวงตาสีแดงอย่างแปลกประหลาด นักเวทย์จากองครักษ์มังกรฟ้าบอกว่าในร่างพวกเขาถูกพิษประหลาดไม่อาจเข้าใกล้ได้ ซากศพเคลื่อนไหวได้เหมือนกับภูติผีปีศาจ กลางวันหลบซ่อนกลางคืนจึงจะออกมา การตอบสนองเชื่องช้า หากได้ยินเสียงไก่ขันก็จะล้มลงไม่เคลื่อนไหว เหมือนตายเพราะถูกพิษ วิชานี้เหมือนวิชาหนอนพิษจากลี่โจว หรือเป็นวิชาลับศพพิษที่ปรากฏแต่เพียงในตำนานเท่านั้นเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วลุกขึ้นยืนทันที คนตายไปแล้วยังสามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้อีก เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ทำให้หรงจิงถึงกับหน้าถอดสี
“หลัวเชียนยังนำข่าวอะไรออกมาได้อีก”
ใจของหรงจิงในตอนนี้มีภาพเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ แต่เขาไม่ได้สืบสาวเรื่องนี้ต่อ กลับถามหาเบาะแสเรื่องอื่น
สวี่อี้พยักหน้าตอบว่า
“เรื่องนี้แปลกประหลาดและยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ประหลาดยิ่งเช่นกันเพคะ นักเวทย์ที่ใต้เท้าหลัวพาเข้าไปเคยบอกว่าละแวกใกล้เคียงกับเทือกเขาเสวียนหลงมีสนามแม่เหล็กใหญ่มาก คนที่เดินเข้าไปหากไม่มีนักเวทย์ผู้เชี่ยวชาญนำทางจะพลัดหลงได้ง่าย นางเปิดอ่านคัมภีร์โบราณพบว่าบนเทือกเขาสวินหลงเมื่อร้อยปีก่อนมีหินอุกกาบาตตกลงไปก้อนหนึ่ง หินอุกกาบาตเหมือนกับภูเขาแต่สูญหายไม่พบเห็นอีกเพคะ”
หรงจิงตะลึงงัน นิ้วมือที่ขยับลูกประคำเบาๆ ชะงักลง
“สนามแม่เหล็ก หินอุกกาบาต ศพพิษ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร สวี่อี้ เจ้าเคยถามอวิ๋นหมิงหรือไม่ว่านางได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง”
หรงจิงถาม สวี่อี้ก้มหน้าต่ำรู้สึกลำบากใจ
“ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยเพคะ อวิ๋นหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัสในเทือกเขาสวินหลง ตอนที่หม่อมฉันจากมาก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ หม่อมฉัน…”
หรงจิงบีบนิ้วแรงขึ้น พยักหน้าแล้วพูดว่า
“เรื่องนี้เรารับรู้แล้ว ช่วงนี้เจ้าลำบากมามาก ไปพักผ่อนให้เต็มที่สักสามวันเถอะ”
สวี่อี้ฟังแล้วคุกเข่าลงทันใด
“อวิ๋นผินทรงได้รับบาดเจ็บและสูญเสียพระโอรส ล้วนเป็นเพราะหม่อมฉันอารักขาไม่ดี ขอทรงโปรดประทานโอกาสให้หม่อมฉันได้ทำคุณไถ่โทษด้วยเถิดเพคะ”
ตอนที่ 651 เรื่องลำบากใจ
หรงจิงฟังคำพูดสวี่อี้แล้วสะบัดมือพูดว่า
“เจ้าคอยเป็นเพื่อนกับนางให้ดีก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องใส่ใจ และนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เรื่องนี้ให้เซียงซวินไปจัดการเพราะนางเหมาะกับงานนี้ที่สุด ส่วนเจ้าคอยเป็นเพื่อนนางให้ดีก็แล้วกัน ในช่วงที่เกิดเรื่องมากมาย ให้นางได้สบายใจจะดีกว่า”
สวี่อี้ฟังแล้วผงกศีรษะ แล้วถอยออกไปเงียบๆ
ไม่ต่างอะไรกับก้อนไหมที่พันกันยุ่งเหยิงมีปมยุบยับ สิ่งสำคัญจะต้องหาต้นสายให้พบจึงจะสามารถตรวจสอบทุกอย่างให้กระจ่างได้ หรงจิงร้อนใจแต่ก็ดูเหมือนไม่ทุกข์ใจ
เขาเป็นฮ่องเต้ จะต้องมีพวกโจรขบถที่รุ่มร้อนยิ่งกว่าเขา
ตำหนักเจิ้งหยางของหรงจิงคึกคักอย่างยิ่งในวันนี้ มีคนเข้าๆ ออกๆ มากมาย หรงเฉิงเยี่ยออกจากตำหนักเจิ้งหยางกลับเข้าไปในท้องพระโรงก็ถูกขุนนางกลุ่มใหญ่ห้อมล้อม ถึงสุราอาหารของหรงจิงจะเลิศรส แต่ต่างรู้สึกเหมือนมีดาบแขวนอยู่เหนือศีรษะของตน ทำให้เหล่าขุนนางไม่กล้าออกไปจากวัง
หรงเฉิงเยี่ยเพิ่งกลับเข้ามาก็ถูกขุนนางพวกนี้โอบล้อม แต่เขาก็ยังคงพูดยิ้มๆ อย่างสงบและอ่อนใจ
“ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งอะไร เพียงตรัสถามว่าพวกท่านรู้สึกอย่างไรกับอาหารเที่ยงบ้าง”
เหล่าขุนนางฟังดังนั้นแล้วจึงแยกย้ายกันไปไม่ห้อมล้อมหรงเฉิงเยี่ยอีก เวลาล่วงเลยไปถึงพลบค่ำการโบยตีจึงได้เสร็จสิ้น ใต้เท้าสองคนที่เจ็บปวดเหลือคณายังมีชีวิตอยู่ทว่าลมหายใจออกมากกว่าลมหายใจเข้า มองดูแล้วไม่น่าจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ซูกงกงกลับไปรายงานหรงจิง เมื่อได้รับทราบแล้ว หรงจิงจึงได้ปล่อยให้เหล่าขุนนางกลับได้
หรงจิงนั่งในตำหนักฉินเจิ้งได้สักครู่ ซูกงกงก็ยกสำรับอาหารที่อุ่นไปแล้วสามรอบเข้ามา
“ฝ่าบาท พระองค์ควรต้องเสวยอะไรบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ ราชกิจทำอย่างไรก็ไม่จบสิ้น พระสุขภาพสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูกงกงเพียรอ้อนวอนอย่างจริงใจ หรงจิงก็ยังคงปัดมือไม่สนใจ
เซียงฉือนั่งมาทั้งคืนอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ ช่วงเวลาโกลาหลอลหม่านได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว นางสอบถามข่าวคราวจากซูกงกงแล้วจึงคลุมเสื้อตัวนอกเข้าไปยังตำหนักเจิ้งหยาง
ขันทีเห็นนางเข้าก็คิดจะขานแจ้ง แต่เห็นซูกงกงเดินออกมาจากข้างในพอดี
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ แต่ซูกงกงหน้าถอดสี
“อวิ๋นผิงเพิ่งจะทรงแท้ง จะออกมาเดินเหินได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ รีบเสด็จกลับไปพักผ่อนเถิด ถ้าหาก…”
ซูกงกงเห็นอวิ๋นเซียงฉือเข้าก็ลนลาน เรื่องต่างๆ ในวังเหล่านี้เขารู้แจ้งกระจ่างดี เรื่องใหญ่น้อยทั้งหลายในตำหนักเจิ้งหยางไม่อาจเล็ดลอดเขาไปได้ ส่วนเรื่องที่อวิ๋นเซียงฉือไม่ได้ตั้งครรภ์เขายิ่งรู้ชัด แต่หากรู้กันมากคนก็มากความ จึงควรต้องเลี่ยงจากสายตาพวกขันทีผู้น้อยเหล่านั้น
ถึงสีหน้าอวิ๋นเซียงฉือจะซีดเซียวอยู่บ้างแต่ก็ยังสดชื่น พอเห็นกล่องอาหารในมือซูกงกง จึงยิ้มน้อยๆ พูดว่า
“กงกงไม่ต้องเป็นห่วง มีหงซีกูกูมากับข้าด้วย ไม่มีใครรู้หรอก ฝ่าบาทยังไม่ได้เสวยอาหารเย็นหรือ”
อวิ๋นเซียงฉือถาม ซูกงกงส่ายหน้าพูดว่า
“ไม่ใช่เพียงแค่มื้อเย็นนะพ่ะย่ะค่ะ ตลอดวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ได้เสวยเลยแม้ข้าวสักเมล็ด บ่าวออกไปทำงานยุ่งอยู่ทั้งวันเจ้าพวกบ่าวพวกนี้ก็ไม่รู้จักดูแลฝ่าบาท ถ้าหากไทเฮายังทรงพระขนม์ชีพก็ยังทรงโน้มน้าวฝ่าบาทได้ แต่ในวังตอนนี้ไม่มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวฝ่าบาทได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซียงฉือขมวดคิ้วห่วงใยขึ้นมาอย่างยิ่ง หงซีกูกูประคองนางแล้วพูดขึ้นก่อนว่า
“ไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะทรงฟังอวิ๋นผินนะ ซูกงกงมิสู้มอบสำรับเครื่องเสวยให้อวิ๋นผินจะดีกว่า ให้อวิ๋นผินทรงทดลองดูเถิด”
ซูกงกงตบหน้าผากแล้วรีบส่งสำรับอาหารในมือให้กับหงซีกูกูแล้วโค้งกายทำความเคารพ
“อวิ๋นผินทรงเป็นคนสำคัญที่สุดของฝ่าบาท คิดว่าหากทรงโน้มน้าว ฝ่าบาทจะต้องทรงฟัง เรื่องนี้ต้องรบกวนอวิ๋นผินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”