ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 333 แกะกุ้ง / ตอนที่ 334 ธรรมดาสามัญ
ตอนที่ 333 แกะกุ้ง
“เจ้าก็ยืนดีๆ สิ ข้าถึงจะปล่อย” ฉู่ป๋ายต่อรองกับนาง
ฉู่เกอจึงยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิมไม่ไหวติง รอจนฉู่ป๋ายปล่อยมือแล้วจึงค่อยก้าวเท้าออกไป “ข้าไม่ฟังท่านหรอก หานสือคนนั้นชอบเอาแต่ตีหน้าเคร่งขรึม แต่สมองทึบเหมือนก้อนหิน ข้าไม่วางใจให้เขาจัดการเรื่องนี้ ให้ข้าไปดูเองเถิด”
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าจะไปก็ได้ แต่อย่าได้ไปเล่นซนเสียเล่า” ฉู่ป๋ายจำต้องยอม
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” ใบหน้าของฉู่เกอเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแน่วแน่ เมื่อกำลังที่จะเดินออกไปด้านนอก หานสือก็เดินนำพนักงานยกอาหารเข้ามาพอดี คนทั้งหมดนั่งล้อมกันอยู่บนโต๊ะกลม นั่งล้อมวงกันทานอาหาร
อาศัยโอกาสที่อาหารกำลังจะขึ้นตั้งโต๊ะ เมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของอวี้อาเหรา “คุณหนู เจาเอ๋อร์ถูกส่งตัวกลับอย่างปลอดภัยแล้ว เพียงแต่มีเรื่องที่ต้องรายงานคุณหนูเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไร” อวี้อาเหราปรายสายตามองไปทางนาง
“ภายในจวนนั้น…” ยามที่เมี่ยวอวี้กำลังจะพูดขึ้น ฉู่เกอก็ขัดบทสนทนาของพวกนางขึ้นเสียก่อน “คุณหนูรอง รีบทานเข้าเถิด หากยังชักช้าอยู่อาหารจะเย็นชืดเสียหมด หากมีเรื่องอะไรก็ไว้เดี๋ยวค่อยพูดกัน ยามนี้ไม่ต้องรีบร้อน มิเช่นนั้นท่านอ๋องน้อยที่รับปากว่าจะเลี้ยงพวกเราจะผิดหวังเอาได้”
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว อวี้อาเหราจึงทำได้แต่เพียงโบกมือให้เมี่ยวอวี้ “อีกสักพักค่อยว่ากัน”
เมื่อเริ่นหว่านเอ๋อร์เห็นอาหารก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย จึงลดตัวนั่งลงข้างๆ นาง ทิ้งระยะห่างจากฟู่เส่าชิง เพียงดูก็รู้ว่าทั้งสองคนมีท่าทีไม่ญาติดีกันนับตั้งแต่ที่ทะเลาะกันในคราวที่แล้ว นางใช้ตะเกียบคีบกุ้งใส่ในจานของอวี้อาเหรา ขณะที่พูดว่า
“พี่เหรา กุ้งแช่เหล้าของหอจุ้ยเซียนนั้นมีชื่อเสียงที่สุด ท่านลองทานดูเถิดว่าอร่อยหรือไม่”
“ได้”
อวี้อาเหราหยิบขึ้นมาแกะเปลือกกุ้งออก รสชาติก็ไม่เลวเลยจริงๆ เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม เหมือนกับที่เริ่นหว่านเอ๋อร์กล่าวไว้ไม่มีผิด หลังจากกินไปหนึ่งตัวแล้วก็ต้องอดไม่ได้ที่จะแกะตัวใหม่มากินอีกหลายๆ ตัว นางนั่งกินเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แต่ฝีมือการแกะกุ้งของนางนั้นก็ช้ามาก ไม่ทันกับความอยากที่จะทานเอาเสียเลย
ฉู่ป๋ายมองนางเล็กน้อย นิ่งไปสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวางกุ้งที่แกะเปลือกแล้วลงในถ้วยของนาง
อวี้อาเหรามองเนื้อกุ้งที่ถูกแกะเปลือกออกแล้วในถ้วยของตัวเอง ชะงักไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร”
“กินสิ” เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งน้ำเสียงยังเรียบเฉย
ทุกคนล้วนก้มหน้าก้มตากินในส่วนของตัวเอง ไม่มีใครสังเกตถึงกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เลย ทว่าการกระทำทั้งหมดนี้กลับอยู่ในสายตาของฉู่เกอ นางรีบร้องขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงทำเช่นนี้ล่ะฉู่ฉู่ เหตุใดถึงแกะกุ้งให้คุณหนูรองแต่ไม่แกะให้ข้า ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านนะ นี่ก็ใจร้ายยิ่งนัก!”
“ก็เจ้าไม่ชอบกินนี่” ฉู่ป๋ายทำหน้าอึกอัก
“ข้าไม่สน ท่านจะแกะให้ข้าหรือไม่” ฉู่เกอนึกอยากแกล้งขึ้นมา
“แกะสิ” ฉู่ป๋ายจำต้องหยิบมาแกะเปลือกออกหนึ่งตัว เพื่อทำให้อีกฝ่ายสงบลง
แน่นอนว่าคนอื่นจะต้องได้ยินด้วย สายตาของอวิ๋นเซิ่นส่องประกายวิบวับ มองไปยังร่างของฉู่ป๋าย จากนั้นก็หันไปทางอวี้อาเหรา แล้วค่อยๆ ถอนสายตากลับมา ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
อวี้อาเหรารู้สึกได้ถึงสายตามากมายที่กำลังสาดส่องมายังร่างของตนเอง นางทำคอแข็งแล้วกินกุ้งลงไป แม้ว่าจะมีรสชาติเลิศล้าหาใดเปรียบไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับไร้ซึ่งรสชาติใดๆ นางถลึงตาจ้องมองฉู่ป๋ายอย่างอารมณ์ไม่ดี เขาตั้งใจที่จะทำให้นางกินอะไรไม่ลงใช่หรือไม่
ช่างใจร้ายยิ่งนัก! นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ
ภายในห้องเงียบอยู่ได้ไม่นาน ที่ด้านนอกก็พลันมีเสียงฝีเท้าคนดังเข้ามา ทุกคนย้ายสายตาจากถ้วยข้าวของตัวเอง แล้วมองสำรวจออกไปด้านนอก
ตอนที่ 334 ธรรมดาสามัญ
เห็นเพียงหานสือเดินนำชายหนุ่มหล่อเหลาผู้สวมชุดสีดำรัดกุมเข้ามาด้านใน รอบกายของคนผู้นั้นพลันแผ่กระจายรังสีอำมหิต สายตาที่มองกวาดไปทั่วนั้นเหมือนใบมีดที่เชือดเฉือน ทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นยิ่งน่าอึดอัดเข้าไปอีก
“คุณหนูเซิ่น นายน้อยมาแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินหานสือพูดออกมาเช่นนั้น นางถึงได้เข้าใจว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้านี้คือลูกพี่ลูกน้องของอวิ๋นเซิ่น และเป็นนายน้อยแห่งจวนราชเลขาแห่งกรมทหาร ได้ยินว่าเขาเพิ่งจะกลับมาจากนอกด่าน จึงไม่แปลกเลยที่ทั่วทั้งร่างของเขาจะเผยให้เห็นถึงความดิบเถื่อน
แต่เขากลับมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ดุดันนัก แม้ใบหน้าจะไม่ได้เรียกว่างดงาม แต่ก็มีท่าทีของสุภาพบุรุษ อีกทั้งทั่วทั้งร่างยังแฝงกลิ่นอายแห่งบุรุษเพศเอาไว้ หากเดินไปตามท้องถนนจะต้องดึงดูดสายตาของสตรีเป็นแน่
อวิ๋นเซิ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที จัดการเรื่องให้ท่านลุงเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ”
“ท่านพี่โปรดวางใจ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ” ตานเวยพยักหน้า
“รีบมากินข้าวกันเถิด วันนี้ท่านอ๋องน้อยจวินประทานเลี้ยง จะต้องกินให้มากๆ นะ”
“อืม” ตานเวยเผยรอยยิ้มให้เห็น ขณะกำลังจะเดินไปนั่งข้างอวิ๋นเซิ่นก็เห็นอวี้อาเหรานั่งอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ น้ำเสียงพลันฉุนเฉียวขึ้นมา “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
อวี้อาเหรามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างคนแปลกหน้า นางก็ไม่รู้จักเขาเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาแล้วก็ดูราวกับว่าเขารู้จักตนเองเช่นนั้น ในสายตาเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ นางเห็นแล้วก็ชะงักไป “แล้วเหตุใดข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“เหตุใดถึงไม่ได้น่ะหรือ เจ้าเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่วิ่งตามองค์รัชทายาทไม่ห่าง วันนี้ว่างหรืออย่างไรถึงได้มานั่งทานอาหารกับทุกคนได้ แต่ข้าก็ได้ยินคนในเมืองเฟิ่งเฉิงคุยกันว่าช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไปมาก แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ายังดูธรรมดาสามัญอยู่เลยเล่า”
อวี้อาเหราฟังถ้อยคำถากถางของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ และสิ่งที่ทำให้นางหมดคำพูดก็คือ นางไปทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไรกัน ดูเหมือนว่าเดิมทีพวกเขาก็ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลยมิใช่หรือ
อวิ๋นเซิ่นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็รีบเข้ามาดึงตานเวยไว้ “กินข้าวอยู่ เจ้าอย่าได้พูดอะไรส่งเดช เจ้านี่ก็ชอบมุทะลุไม่รู้จักควบคุมตัวเองอยู่เรื่อยเชียว”
“วาจานี้ของคุณหนูเซิ่นก็น่าขันนัก เจ้าให้เขาอดกลั้นต่อผู้อื่นคงเป็นเรื่องง่าย มีแต่อาเหราเท่านั้นหรอกที่เขาทำไม่ได้” ตะเกียบที่กำลังคีบอาหารของจวินอู๋เหินหยุดลงเล็กน้อย ก่อนจะรินเหล้าใส่จอกของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน แล้วค่อยๆ จิบลงไป
“พี่อู๋เหิน ที่ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เริ่นหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจนัก สายตาไร้เดียงสามองไปยังอวี้อาเหราและตานเวย
“ไม่มีอะไรหรอก” จวินอู๋เหินยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า บนใบหน้ามีรอยยิ้มลึกล้ำประดับอยู่
เห็นๆ อยู่ว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ แต่เขากลับไม่ยอมเอ่ยออกมา วันนี้บัญชีที่อวี้อาเหรามีต่อเขาก็ยังไม่ได้สะสาง ยามปกติที่เห็นว่าเขานั้นเป็นคนสบายๆ แต่กลับเจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งนัก เขาจะต้องกำลังรอดูละครฉากสนุกๆ อยู่อย่างแน่นอน
อวี้อาเหราจัดระเบียบเส้นผมที่ปรกลงมาที่หน้าผากอย่างเงียบงัน เพื่อปิดบังความไม่รู้ของตัวเองเอาไว้
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาบ้าง ราวกับว่าตอนที่พวกเขายังเด็กก็มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันบางอย่าง ทำให้มองหน้ากันไม่ติดตั้งแต่ตอนนั้น หากได้พบกันก็จะต้องทะเลาะ ตอนนี้เมื่อมาพบกันอีกครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้ ดูท่าข่าวลือที่น่าจะเป็นข่าวโคมลอยเชื่อถือไม่ได้ กลับมีความจริงแฝงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”
ในยามที่จวินอู๋เหินไม่ยอมเปิดปากพูดสาเหตุออกมานั้น ฟู่เส่าชิงที่นิ่งเงียบอยู่เป็นนานกลับแกว่งไกวตะเกียบในมือเบาๆ แล้วพูดออกมา น้ำเสียงของเขาเนิบนาบน่าฟัง พูดขึ้นมาเป็นท่วงทำนอง ท่าทางดูราวกับบัณฑิตหนุ่ม