ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 367 คำปะเหลาะ / ตอนที่ 368 เกือบทะเลาะ
ตอนที่ 367 คำปะเหลาะ
“ท่านบอกว่าฉู่ฉู่สวมให้ท่านหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย ของชิ้นนี้ก็เป็นของเขาหรอกหรือ” ฉู่เกอกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ หยกเลือดนั้นเป็นของที่พี่ชายของนางเองสวมเข้าที่ข้อมือของอวี้อาเหรา ก่อนหน้านี้ที่นางถามเรื่องหยกเลือดกับหานสือ เหตุใดเขาถึงไม่เห็นจะปริปากพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคำ?
หรือว่า…
หรือว่าตั้งใจที่จะให้นางมายืมหยกเลือดแล้วกลับไปมือเปล่า? ช่างร้ายกาจนัก!
อวี้อาเหราเห็นท่าทีของฉู่เกอแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
ผ่านไปสักครู่ ฉู่เกอจึงค่อยได้สติกลับมา ก่อนจะยิ้มขึ้นมาด้วยท่าทีปกติอีกครั้ง “ถอดไม่ออกจริงๆ หรือ”
“หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูเถิด” อวี้อาเหรายื่นมือออกไปอย่างใจกว้าง ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
ฉู่เกอมองไปที่หยกเลือดที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก จากนั้นก็ชายตาขึ้นมองไปทางอวี้อาเหรา เมื่อเห็นท่าทีเปิดเผยของอีกฝ่าย โดยไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย นางก็ก้มหน้าลง แล้วยื่นมือออกไปถอดกำไลข้อมือ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เหมือนกับกำไลนี้ยึดติดอยู่กับผิวเนื้อ คงจะต้องตัดข้อมือของนางเท่านั้นกระมังจึงจะสามารถนำออกไปได้
อวี้อาเหรารู้สึกจนใจ นางถูข้อมมือแดงๆ ของตัวเองแล้วกล่าว “เจ้าคงเชื่อแล้วใช่หรือไม่”
“เชื่อแล้ว” ฉู่เกอยิ้มบางๆ
“ข้าจะบอกความลับให้เจ้า หากต้องการที่จะถอดกำไลออกจากมือของข้าแล้วล่ะก็ ก็เหมือนกับคำที่ว่าจะถอดกระดิ่งจำต้องถามคนผูกกระดิ่ง รู้ใช่หรือไม่” อวี้อาเหรากระซิบที่ข้างหูของฉู่เกออย่างลับๆ ล่อๆ มุมปากของนางโค้งขึ้น
“ท่านจะบอกว่า ฉู่ฉู่รู้หรือว่าจะต้องถอดกำไลออกอย่างไร” ฉู่เกอเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่ผิด เจ้าฉลาดมาก” อวี้อาเหราใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งประกบกันเพื่อทำเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะ เสียงเสนาะที่ดังขึ้นในห้องเงียบๆ ฟังดูชัดเจน จากนั้นก็แจกแจงอย่างละเอียด “เจ้าลองคิดดูสิ เป็นพี่ชายของเจ้าที่สวมมันให้ข้า เจ้าเป็นน้องสาวของเขาแท้ๆ แต่อยู่มาตั้งหลายปียังไม่รู้เรื่องหยกเลือดนี่เลย ดูสิว่าเขาปิดบังอะไรเจ้าบ้าง แล้วเรื่องที่จะถอดกำไลหยกนั้นเขาเองก็อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ เจ้าลองไปพูดปะเลาะเอาเถิด อาจจะรู้ก็เป็นได้ อีกอย่างหยกเลือดนี้เป็นของล้ำค่าเหลือคณา หากมีไว้ได้ครอบครองก็คงจะเข้มแข็งและแข็งแรงยิ่ง เจ้าเองก็อยากให้เขาหายเร็วๆ ใช่หรือไม่เล่า”
“ที่ท่านพูดก็ไม่ผิด แต่ว่าเขา…” ฉู่เกอมีท่าทีหวั่นไหวเล็กน้อย และยังเกิดลังเลขึ้นมา
“ไม่มีแต่แล้ว ข้าเป็นเพียงคนนอก แน่นอนว่าเขาคงไม่บอกความลับเรื่องวิธีถอดกำไลหยกเลือดกับข้าแน่ แต่เจ้าไม่เหมือนกับข้านี่ เจ้าเป็นน้องสาวของเขา ทั้งยังเป็นน้องสาวร่วมพระมารดาเสียอีก อย่างไรก็คงบอกความลับเรื่องหยกเลือดกับเจ้าแน่ ใช่หรือไม่” อวี้อาเหราตัดบทคำพูดของนาง
“ใช่แล้ว!” ฉู่เกอพยักหน้าอย่างมั่นใจ
อวี้อาเหรามองไปยังแผนการที่ตัวเองวางเอาไว้ หากฉู่เกอสามารถหาวิธีถอดหยดเลือกออกไปได้ก็คุ้มค่าที่จะขอลองดู เป็นเพราะมีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่กับตัว นางก็ต้องพบกับความลำบากมากมาย ช่างร้ายกาจเสียยิ่งนักเชียว อย่างไรนางก็ไม่ยอมที่จะก้มหัวขอร้องฉู่ป๋ายแน่ พูดตามตรงแล้ว ฉู่ป๋ายก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับนางเลยทั้งนั้น ทำไมนางจะต้องเปลืองแรงเพื่อเขาด้วย จนแม้แต่ชีวิตนางก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้!
คงเป็นเพราะนางนั้นเป็นคนดีมีเมตตาเป็นทุนเดิมกระมัง ไม่ว่าใครที่จะต้องมาตายต่อหน้า นางที่มีความสามารถในการช่วยชีวิตอยู่ด้วยแล้ว หากไม่ยอมช่วย ใจของนางก็คงจะไม่สงบเป็นแน่แล้ว
ก่อนหน้านี้นางเคยช่วยเหลือผู้ที่มีความสามารถพิเศษ แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นจะมีจิตใจดีอ่อนโยนถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถพิเศษซึ่งถูกจับกุมเอาไว้ จนเกือบจะโดนจับตัวได้ ดีที่สวรรค์มีตา มิเช่นนั้นนางคงโดนทรมานอยู่ในศูนย์วิจัยอยู่ที่นั่นเป็นแน่
เมื่อใจดี ก็เป็นดังชาวนาที่ถูกงูเห่าแว้งกัด
ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อวี้อาเหราก็สาบานว่าจะไม่สนใจเรื่องอะไรอีก!
ตอนที่ 368 เกือบทะเลาะ
“พี่เหราเอ๋อร์ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ” ฉู่เกอเห็นท่าทีของอวี้อาเหรา ก็เรียกอยู่หลายครั้ง นางที่ชะงักไปก็ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เมื่อครู่นี้เราพูดกันถึงไหนแล้วเล่า”
“ท่านว่าจะให้ข้าไปถามหาวิธีถอดกำไลหยกกับฉู่ฉู่” ฉู่เกอตอบกลับ
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ทำตามที่ข้าบอกเถิด” อวี้อาเหราพยักหน้า
“ก็ได้ ข้าจะลองดู แต่พี่เหราเอ๋อร์กลับไปพร้อมกับข้าได้หรือไม่ ในเมื่อกำไลหยกเลือดถอดออกมาไม่ได้ ก็มีแต่จะไปขอร้องฉู่ฉู่ด้วยกันกับข้าเท่านั้น” ฉู่เกอนิ่งไปสักครู่ จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นขอร้อง
อวี้อาเหราชะงักไป “อาการโรคกระหายโลหิตของพี่ชายเจ้ากำเริบอีกแล้วหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก” ฉู่เกอส่ายหน้า “เลือดของข้านั้นสามารถควบคุมอาการของโรคได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งได้นาน ดังนั้นจึงต้องรีบหยิบยืมหยกเลือดมา ดูว่าจะใช้ได้หรือไม่”
อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็อยากจะไปกับเจ้า แต่ข้าจะลงจากเตียงยังทำไม่ได้ ป่วยหนักเหลือเกิน รอให้ข้าหายป่วยก่อนค่อยว่ากันเถิด เจ้ารีบไปหาวิธีถอดกำไลหยกเลือดออกจากมือของข้าก่อน นี่ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือเขาด้วยหรือมิใช่”
“อืม พี่เหราเอ๋อร์กล่าวได้ถูกต้อง” ฉู่เกอฟังอย่างตั้งใจ แล้วลุกขึ้นยืน ยามนี้เมี่ยวอวี้ก็ยกชาเดินเข้ามาข้างใน “ท่านหญิงน้อย ดื่มชาสักหน่อยค่อยไปเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ามีเรื่องที่ต้องทำน่ะ” ฉู่เกอส่ายหน้า ในยามที่กำลังจะเดินจากไปนั้นจึงค่อยหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับไปมองยังอวี้อาเหราอย่างลังเล “แล้วก็เรื่องนั้น พี่เหราเอ๋อร์…”
“มีเรื่องอะไรก็พูดเถิด” เพียงอวี้อาเหรามองท่าทีลังเลของนาง ก็หันไปสั่งเมี่ยวอวี้ “เจ้าออกไปก่อน”
หลังจากที่เมี่ยวอวี้ออกไปแล้ว ฉู่เกอจึงค่อยถามขึ้นด้วยความอึกอัก “นายน้อยสามของจวนท่านคงใกล้จะกลับมาแล้วกระมัง”
“นายน้อยสามหรือ” อวี้อาเหราชะงัก นางไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไรกันแน่
ฉู่เกอรีบพูดขึ้นต่อ “ก็อวี้จื้ออย่างไรเล่า”
ดวงตาของอวี้อาเหราค่อยๆ แฝงความนัยบางอย่าง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทุกที มองไปยังนางอย่างละเอียดลออพินิจพิเคราะห์ “เจ้าหมายถึงน้องสามของข้าหรือ หรือว่าท่านหญิงน้อยก็รู้จักเขาด้วย?”
เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของฉู่เกอเข้า ในสายตาของอวี้อาเหรา ฉู่เกอนั้นเป็นผู้พูดจาคล่องแคล่วเก่งกาจนัก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาเมื่อยามที่พบกันครั้งแรก หรือยามที่ต่อปากต่อคำกับจวินอู๋เหินที่หอจุ้ยเซียน นางไม่เคยเห็นฉู่เกอมีท่าทีลังเลและเชื่องช้าเช่นนี้
แต่เมื่อพูดถึงอวี้จื้อนางกลับ…
ฉู่เกอรีบโบกไม้โบกมือทันที “พี่เหราเอ๋อร์อย่าได้คิดไปไกล ข้าเพียงแต่เคยรู้จักเขาตอนที่อยู่ที่ค่ายใหญ่แห่งซีซานเท่านั้น แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลย”
“เช่นนั้นเจ้าจะตื่นเต้นทำไมกัน” อวี้อาเหรามีสายตาแหลมคม ใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะอย่างผ่อนคลาย แล้วเอนตัวลงบนเตียงอย่างเกียจคร้านขณะที่มองฉู่เกอ หัวเราะเบาๆ ในน้ำเสียงหัวเราะแฝงแววเจ้าเล่ห์
“เป็นเพราะข้าทำผิดต่อเขา ดังนั้นจึงได้…” ฉู่เกอมีท่าทีเป็นทุกข์ “แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เหราเอ๋อร์คิด ก่อนหน้านี้ข้าตกอยู่ในอันตราย ยังดีมีเขาช่วยเหลือเอาไว้ แต่ข้ากลับคิดว่าเป็นเขาที่ทำร้ายข้า ดังนั้นข้าจึงเกือบที่จะทะเลาะกับเขาเสียแล้ว วันนี้ข้าคิดแล้วก็รู้สึกละอายใจนัก”
อวี้อาเหราพลันเข้าใจมากยิ่งขึ้น แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “ดังนั้นเจ้าเลยคิดที่จะขออภัยเขาใช่หรือไม่”
“อืม” ฉู่เกอพยักหน้าหนักๆ
อวี้อาเหราพยายามหุบยิ้ม แล้วตีสีหน้านิ่งขรึม “เรื่องนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ได้ยินเสด็จพ่อกล่าวว่าอีกสักพักก็คงจะกลับมาแล้ว”