ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 393 เหลียงเอ๋อร์ / ตอนที่ 394 ปากช่างสกปรกนัก
ตอนที่ 393 เหลียงเอ๋อร์
จะต้องเป็นอำนาจเช่นใดกันที่ทำให้เขาไม่อาจรับมือได้ นี่เป็นจุดที่ควรพิจารณาให้จงดี
“อืม” ต้าเว่ยพยักหน้า พลางกล่าวว่า “แม้ว่าบ่าวจะสืบเรื่องทรัพย์สินของอนุรองไม่ได้ความอะไร แต่กลับสืบเรื่องหนึ่งได้ คุณหนูยังจำสาวใช้ที่ล่อลวงท่านไปยังหนานย่วนที่ชื่อเหลียงเอ๋อร์ได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องจำได้” อวี้อาเหราไม่อาจลืมนางลง ยามนั้นนางตกลงไปสู่แผนร้ายอย่างจัง จนทำให้นางเกือบจะโดนหลิงอ๋องลงโทษ ทำไมถึงจะลืมลงได้เล่า
“บ่าวนำตัวเหลียงเอ๋อร์มาแล้ว นางเป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่จริงๆ เพียงแต่ยังไม่ทันได้ขึ้นทะเบียนตามกฎเท่านั้น ในวันที่ท่านถูกคุณหนูใหญ่ล่อเข้าไปติดกับนั้น สาวใช้คนนั้นก็เพิ่งจะถูกซื้อตัวเข้ามาในวันนั้นเอง คนอื่นๆ จึงไม่มีใครรู้จักนางสักคน หลังจากล่อลวงท่านไปยังหนานย่วนแล้ว ก็ลอบขโมยกระเป๋าเงินแล้วหนีไป”
ต้าเว่ยพูดจบ ไม่พบว่าอวี้อาเหราจะมีกิริยาอย่างไร จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
อวี้อาเหราเลียริมฝีปากที่แห้งผาก จากนั้นก็โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “เรื่องเหลียงเอ๋อร์นี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ไม่ต้องมาถามข้าอีกแล้ว”
ที่จริงเรื่องนี้นางเองก็พอเดาออก เพราะตอนนั้นทำอย่างไรก็ไม่อาจหาตัวเหลียงเอ๋อร์พบจึงไม่ได้บอกหลิงอ๋อง แต่ตอนนี้อนุรองตั้งครรภ์เสียแล้ว เรื่องนี้แม้ว่าจะมีเหลียงเอ๋อร์เป็นพยาน แต่แม้ว่าจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมาก็ไม่มีความหมาย หลิงอ๋องต้องคิดถึงทายาทที่จะเกิดมา จึงจำต้องไว้หน้านาง คงจะลงโทษอนุรองและอวี้จื่อเยียนเพียงเล็กน้อย
ดังนั้นนางจึงขี้เกียจที่จะใช้เหลียงเอ๋อร์มาต่อกรกับพวกนางสองแม่ลูก
“ที่จริงแล้ว บ่าวมีเรื่องที่จะบอกกับคุณหนูสักเรื่องเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้รีบพูดขึ้นมาในทันที
“เรื่องอะไร” อวี้อาเหราถามอย่างเกียจคร้าน
“ที่จริง หลังจากที่คุณหนูหลับไปแล้ว จึงอยากที่จะออกไปจากจวนเพื่อซื้อเข็มและด้าย ไม่คิดว่าจะพบเซิ่นซื่อจื่อพูดคุยอยู่กับคุณหนูใหญ่ จากนั้นจึงเห็นเซิ่นซื่อจื่อจากไปด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ และคุณหนูใหญ่ก็รีบตามไปเจ้าค่ะ”
“เรื่องจริงหรือ” อวี้อาเหราผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง
อวี้จื่อเยียนพูดคุยอะไรกับฉู่ป่าย จึงทำให้เขามีสีหน้าเป็นทุกข์แล้วเดินจากไป และตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมา หากคิดตามเหตุผลเช่นนี้ เรื่องที่ฉู่ป๋ายหายตัวไปก็อาจจะเกี่ยวข้องกับอวี้จื่อเยียน ใครจะรู้ว่าหลังจากที่นางตามไปแล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ทันใดนั้นนางก็ถามขึ้นอย่างร้อนรน “เมี่ยวอวี้ ตอนนี้อวี้จื่อเยียนอยู่ที่ใดกัน”
“เอ่อ แน่นอนว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ที่หอหญิงของนางสิเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้ชะงัก จากนั้นจึงค่อยตอบ
อวี้อาเหราเงียบไปสักครู่ จากนั้นก็ออกคำสั่งกับต้าเว่ยอีกครั้ง “นำตัวเหลียงเอ๋อร์มาให้ข้าจัดการก็แล้วกัน พวกเราไปหาอวี้จื่อเยียนกันเถิด”
“แต่ว่าคุณหนู ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คุณหนูใหญ่คงจะนอนอยู่ในห้อง หากท่านไปตอนนี้ก็คงจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ค่อยบอกท่านอ๋องเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะโดนดุนะเจ้าคะ…” เมี่ยวอวี้ไม่ค่อยวางใจนัก
“เจ้าลืมแล้วหรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้ว “ยังมีเหลียงเอ๋อร์ผู้นั้นอยู่ทั้งคนมิใช่หรือ”
“คุณหนู หรือท่านอยากจะ…” เมี่ยวอวี้เข้าใจเจตนาของนางในทันที
“ต้าเว่ย พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถิด ดูเหลียงเอ๋อร์เอาไว้ให้ดี อย่าให้นางหนีไปได้” หลังจากที่อวี้อาเหราออกคำสั่งแล้ว จึงค่อยหันไปเอ่ยปากกับเมี่ยวอวี้ “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อย ก็สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ด้านนอก ซึ่งทำมาจากขนห่าน จึงทำให้อุ่นสบายเป็นที่สุด
แล้วเดินไปตามแสงตะเกียงในค่ำคืนดึกสงัดเพื่อไปยังห้องของอวี้จื่อเยียน
ตอนที่ 394 ปากช่างสกปรกนัก
เมื่อมาถึงด้านนอกเรือนพักของอวี้จื่อเยียนแล้ว อวี้อาเหราก็ส่งสายตาให้เมี่ยวอวี้ นางรีบเคาะประตูทันที
มีสาวใช้ที่ถูกเสียงเคาะซ้ำซากปลุกจนตื่น จึงเดินมาเปิดประตูด้วยคำด่าทอต่างๆ นานา เมื่อเห็นอวี้อาเหรายืนอยู่ด้านนอก ก็ตกใจเสียจนตัวเย็นเฉียบ สองคาอ่อนแรงลง แล้วคุกเข่าเสียงดังตึง “บ่าวคารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
“คุณหนูของเจ้าเล่า” อวี้อาเหราไม่สนใจการคารวะของนาง นางถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม
“คุณหนูใหญ่ยังนอนหลับอยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
“ข้าอยากพบนาง”
“หา” สาวใช้ตกใจ “ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว คุณหนูใหญ่ไม่ชอบให้คนรบกวนตอนนอนเจ้าค่ะ หากบ่าวปล่อยท่านเข้าไปด้านใน คงจะต้องโดนตีจนขาหักเป็นแน่ ขอให้คุณหนูรองมาใหม่พรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ”
“นางหรือข้ากันแน่ที่เป็นบุตรสาวสายตรง” อวี้อาเหราถามเสียงเย็น ถามเสียจนอีกฝ่ายไร้หนทางโต้เถียง จึงใช้โอกาสตอนที่สาวใช้ยังคงนิ่งชะงัก กวักมือเรียกสาวใช้สองนางที่ตามอยู่ด้านหลัง “ขวางทางนางเอาไว้ หากนางถ่วงเวลาจนเรื่องของข้าเสียการ ข้าจะเอาโทษพวกเจ้า”
“บ่าวรับคำสั่ง” องครักษ์หญิงทั้งสองไม่กล้าถ่วงเวลา รีบเข้ามาจับตัวสาวใช้ที่เปิดประตูทันที
สาวใช้ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา “คุณหนูรอง เข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยพูดเถิดเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราไม่สนใจ นางก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน
อวี้จื่อเยียนที่นอนอยู่ในห้องคงจะถูกปลุกจนตื่น นางเพิ่งจะสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วลงจากเตียง เมื่อเห็นอวี้อาเหราเดินนำหน้าคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา นางก็ชะงักทันที จากนั้นก็มองนางอย่างโกรธเคือง “อวี้อาเหรา ทำไมดึกดื่นป่านนี้เจ้าจึงไม่นอนพักผ่อนอยู่ที่ห้องของตัวเอง แต่มาป่วนอะไรที่นี่ หรือเจ้าคิดที่จะก่อกบฏอะไรอีก”
“เจ้ายังนอนไม่ตื่นหรืออย่างไร ทำไมปากจึงได้สกปรกถึงเพียงนี้ ให้ข้าช่วยปลุกเจ้าให้ตื่นดีไหม” อวี้อาเหรายิ้มเย็น แล้วหยิบน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะสาดใส่ศีรษะของอวี้จื่อเยียน ทั่วทั้งร่างของนางเปียกโชก เพราะนางขยับตัวอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ไม่อาจป้องกันตัวได้
“อวี้อาเหรา!” อวี้จื่อเยียนโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นสีม่วง ร่างของนางไม่ได้สวมเสื้อผ้าหลายชั้นนัก เมื่อถูกน้ำชาสาดใส่ทั้งกา พร้อมทั้งถูกลมหนาวที่พัดโชยมาจากช่องว่างของช่องประตู นางก็หนาวเสียจนไอโขลก
ในใจของนางลอบคิด ว่าอวี้อาเหราคงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ จึงได้สาดน้ำชาเย็นๆ ใส่นางเช่นนี้
“ข้าก็อยู่นี่ เจ้าจะเรียกข้าทำไม” เมื่อเทียบกับอวี้จื่อเยียนที่โกรธขึ้ง อวี้อาเหรากลับดูนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง มุมปากยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง แม้ว่านางจะยังยิ้มอยู่ แต่กลับทำให้คนมองเสียวสันหลังวาบ
อวี้จื่อเยียนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธอยู่จึงค่อยสงบลง แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วสาวใช้ของข้าไปไหน”
“ข้าขวางเอาไว้ด้านนอก เจ้าอยากให้พวกนางเข้ามาหรือ” อวี้อาเหรายิ้มสวยงาม ใบหน้ายิ้มแย้มของนางต้องแสงเทียนวับๆ แวมๆ จนดูงดงามเป็นอย่างมาก ทั้งยังเผยให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ผิดแผกไป เป็นความลึกล้ำอันแสนลึกลับไม่เหมือนสิ่งใด
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับคนของข้าหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะนำเรื่องทั้งหมดไปบอกเสด็จพ่อให้หมด” อวี้จื่อเยียนโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้อวี้อาเหรามีฝีมือร้ายกาจ ทำการอะไรก็มักจะสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ไม่บุกรุกเข้ามาซึ่งๆ หน้าเช่นวันนี้
อวี้อาเหราหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าก็ไปฟ้องเลยสิ ข้าเองก็มีเรื่องที่จะต้องแจ้งเสด็จพ่อเหมือนกัน”
“เจ้า!” อวี้จื่อเยียนโกรธจนพูดแทบไม่ออก อวี้อาเหราไม่ยอมให้นางทำอะไรได้เลย แต่เมื่อนึกถึงคำพูดประโยคหลังของนางแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะชะงัก แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เจ้ามีเรื่องอะไรจะแจ้งเสด็จพ่อ”
“อยากรู้หรือ” อวี้ออาเหราก้มหน้าลงไปกระซิบที่หูของนาง แล้วพ่นลมเบาๆ “แต่ข้าไม่อยากบอกเจ้านี่”