ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 433 โกรธเคือง / ตอนที่ 434 โตเร็วเกินไป
ตอนที่ 433 โกรธเคือง
แต่เมื่อสายตาของเขาลึกล้ำเสียจนน่าหวาดกลัว ไม่เหมือนกับความตั้งใจที่จะไถ่ถามเพียงธรรมดา อวี้อาเหราก็พยายามเก็บความตระหนกในดวงตาและดวงใจเอาไว้
เหตุใดเพียงนางมองเขาก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้ได้นะ?
ความรู้สึกตื่นเต้นนี้ไม่เพียงจะไม่เลือนหาย แต่นานวันเข้าก็รุนแรงมากขึ้น
นางจะตื่นเต้นไปทำไมกัน? กลัวว่าเขาจะกินนางหรืออย่างไร เขาไม่ใช่สัตว์ร้ายเสียหน่อย
พยายามที่จะฝืนให้ตัวเองสงบลง แล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าอยากถามอะไรก็ถามมาเถิด ไม่ต้องเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้”
“ข้าเข้ามาใกล้แล้วทำไมหรือ” มุมปากของฉู่ป๋ายยังคงยกยิ้ม แต่อวี้อาเหรากลับรู้สึกว่าเขากำลังเสแสร้ง หลังจากหยุดแล้วก็ถามกลับขึ้นมาพร้อมทั้งเลิกคิ้ว “แล้วใครอนุญาตให้จวินอู๋เหินเข้าใกล้เจ้ากัน”
ใครอนุญาตให้จวินอู๋เหินเข้าใกล้เจ้า? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
อวี้อาเหราไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ”
“หมายความว่าอย่างไร? เจ้าก็มองไม่ออกหรือ ปกติเจ้าฉลาดมากมิใช่หรืออย่างไร” ฉู่ป๋ายสูงกว่านางมาก เมื่อยิ่งอยู่ใกล้เช่นนี้ก็ยิ่งดูสูงกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่พูด จำต้องก้มหน้าลงมามองนาง ดังนั้นท่าทีทั้งหมดของอวี้อาเหราจึงตกอยู่ในสายตาของเขา
แต่ยากเหลือเกินที่อวี้อาเหราจะมองเห็นท่าทีของเขาได้อย่างชัดเจน และเขายังจงใจปิดบังอีกด้วย
“ข้ามองไม่ออก” ในครั้งนี้อวี้อาเหราพูดตามความจริง ไม่เข้าใจว่านางไปทำอะไรให้เขาโกรธ ใช่ ตอนนี้ท่าทีของเขาเหมือนโกรธเคืองขึ้นมาอย่างจริงจัง เมื่อสัมผัสได้ถึงความโกรธของเขา นางก็รีบเงยหน้าขึ้น “เจ้าคงไม่ได้โกรธที่ถูกจวินอู๋เหินยั่วยุหรอกใช่หรือไม่”
“โกรธหรือ?” ฉู่ป๋ายมองนาง
“ใช่น่ะสิ” อวี้อาเหราพยักหน้าหนักๆ “หากเจ้าโกรธก็ไม่ควรมาหาเรื่องข้า ควรไปหาเรื่องจวินอู๋เหินสิถึงจะถูก อีกอย่าง เมื่อครู่นี้ข้าก็เข้าข้างเจ้ามิใช่หรือ?”
“แล้วอย่างไร” ฉู่ป๋ายรอให้นางพูดต่อ
ยังจะพูดอะไรได้อีก? อวี้อาเหราคิดต่อว่าจะพูดอะไรดีอยู่นาน เหงื่อกาฬแตกพล่าน ในที่สุดนางก็คิดออก “หากเจ้าโกรธจริงๆ ก็ไปมัดตัวเขาไว้แล้วตีเสียสิ”
หากจวินอู๋เหินได้ยินนางพูดเช่นนี้คงโกรธเสียจนตัดความสัมพันธ์เป็นแน่
ใครถนัดเรื่องใส่ร้ายเพื่อนร่วมขบวนการน่ะหรือ? ก็นางเองอย่างไรเล่า!
ทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนี้แต่หน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสีเลยแม้แต่น้อย
ฉู่ป๋ายจ้องมองนางอย่างชั่งใจอยู่นาน เมื่อเห็นอวี้อาเหรามีสีหน้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในที่สุดก็ยิ้มออกมา “ไม่รู้ว่าเจ้าโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่”
“?” อวี้อาเหราใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจมองเขา
“ไม่มีอะไร ตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว กลับไปทานอาหารก่อนเถิด เมื่อทานอาหารแล้วข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับจวน”
“อ้อ”
อวี้อาเหราตอบกลับเรียบๆ
“อย่าขยับ” ทันใดนั้นฉู่ป๋ายก็ร้องออกมา จนทำให้นางแข็งค้างอยู่ในท่าเดิม ยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับตามอำเภอใจ เขาเม้มปากแล้วมองมาที่นาง มือขวาที่มีนิ้วเรียวยาวยื่นมาหาใบหน้าของนาง ในใจของอวี้อาเหราสั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ กะพริบตาปริบๆ อย่างตกใจเสียยิ่งนัก
เมื่อผ่านไปสักครู่ ก็เห็นว่านิ้วชี้และนิ้วโป้งของเขามีดอกไม้ดอกเล็กๆ อยู่หนึ่งดอก ทั้งยังส่งกลิ่นหอมของดอกเหมย เสียบเข้าไปที่ช้องผมข้างหูของนาง เป็นดอกเหมยตูมสีแดงสด แม้ว่าจะเป็นดอกเหมยที่ยังไม่ผลิดอก แต่ก็สามารถส่งเสริมให้นางงดงามยิ่งขึ้น จนทำให้คนมองนั้นรู้สึกใจละลาย
อวี้อาเหราลูบศีรษะนิ่งๆ สีหน้ามีแววอึดอัดอยู่บ้าง เมื่อครู่นี้นางคิดว่าเขาจะลูบไล้ใบหน้าของนางเสียอีก…
จากนั้นนางก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจราวกับนึกขึ้นมาได้ “แปลกนัก เหตุใดที่นี่ถึงมีดอกไม้ตูมด้วยเล่า?”
นางจำได้ว่าเหล่าต้นเหมยในสวนนี้เพิ่งปลูกได้ไม่นาน เหตุใดถึงออกดอกตูมได้รวดเร็วนัก? นางหันกลับไปมองในทันที บนต้นไม้นั้นว่างเปล่า ราวกับมีดอกนี้เพียงดอกเดียวเท่านั้น
ตอนที่ 434 โตเร็วเกินไป
“คงจะเป็นเพราะโตเร็วเกินไปกระมัง” ฉู่ป๋ายเอ่ยปาก
ห๊ะ?
โตเร็วหรือ? มันจะไม่โตเร็วไปหน่อยหรืออย่าไงร
อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากหัวเราะ จากนั้นจึงค่อยถามคำถามที่สำคัญขึ้น “แล้วเหตุใดจ้าต้องเสียบดอกเหมยบนศีรษะของข้าด้วย”
“ข้ารู้สึกว่าเหมาะกับเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับดอกไม้ ข้าจะดึงออกให้” ฉู่ป๋ายว่าอย่างสบายๆ
“ไม่ต้อง” อวี้อาเหรารีบร้องห้าม นางรู้สึกว่าดอกเหมยดอกนี้ไม่เลวเลยทีเดียว และยังเป็นดอกไม้ที่นางชอบที่สุด ในโลกนี้มีดอกไม้หลากหลายชนิด แต่นางนั้นชอบดอกเหมยมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังชื่นชมดอกเหมยที่แข็งแกร่งจนผลิบานได้แม้ในช่วงฤดูหนาวอันแสนเยือกเย็น
ใช่แล้ว เขามักสวมเสื้อผ้าที่ปักลายดอกเหมยอยู่ตลอดมิใช่หรือ? ในจวนเซิ่นอ๋องเองก็ยังปลูกต้นเหมยแปลงใหญ่ เขาเองก็คงจะชอบมาแต่ไหนแต่ไรด้วยกระมัง
แต่ในจวนเซิ่นอ๋องยังมีดอกไม้ชนิดอื่นอีกมากมาย ไม่ได้มีเพียงดอกเหมยเท่านั้น
“เจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไมกัน คิดจะค้างคืนที่นี่หรือ?” ฉู่ป๋ายเห็นนางใจลอย ก็อดไม่ได้ที่จะร้องเรียกขึ้น
“เจ้าน่ะสิถึงจะนอนที่นี่” อวี้อาเหราว่า ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเซิ่นซื่อจื่อผู้ที่ออกปากพูดจาไม่เกรงใจใครคนเดิม ฉู่ป๋ายผู้อ่อนโยนที่สอนนางเล่นว่าวเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องโกหก! นางทบความแค้นอยู่ในใจไม่หยุดหย่อน
เมื่อได้สติแล้วประเมินรอบกาย คนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
ดวงตะวันลาลับแล้ว เหลือเพียงแสงระยิบระยับที่ประดับอยู่ที่ปลายขอบฟ้าเท่านั้น
เมื่อคนทั้งสองกลับมาถึงเรือนหลัก ฉู่เกอและหานสือต่างก็นั่งคุยกันอยู่อย่างเกียจคร้านนี่หน้าประตู ในมือถือไข่ไก่เอาไว้ ดูแล้วคงต้มเสียจนสุก
อวี้อาเหรามองมาอย่างสงสัย “เจ้าเอาไข่ไก่มาทำอะไรกัน”
“เอามากินน่ะสิ” ฉู่เกอว่า หยิบไข่ไก่ขึ้นมาเคาะกับประตูสองสามครั้ง เปลือกไข่ปริแตก นางปอกเปลือกอย่างคล่องแคล่ว แล้วส่งไข่ไก่ที่ถูกปลอกเรียบร้อยแล้วเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีแล้วกลืนลงไป อวี้อาเหราเห็นแล้วก็ตกใจ แล้วปรายตามองไปทางฉู่ป๋าย
ราวกับสายตาของนางกำลังพูดว่า เจ้าปล่อยให้น้องสาวเพียงคนเดียวหิวโหยถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?
นี่คือไข่ไก่ ไม่ใช่ไข่นกกระทา แม้อวี้อาเหราจะอ้าปากกว้างเพียงใดก็ไม่สามารถทานคำเดียวหมดแน่ ฉู่เกอทำให้นางได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ ที่สามารถทานไข่ไก่ได้ภายในคำเดียว ช่างน่าชื่นชมนัก แม้เพียงไข่ต้มนางก็สามารถทานได้เอร็ดอร่อยถึงเพียงนี้ คงจะเป็นเพราะอดยากมาตั้งแต่เล็กเป็นแน่!
นางมองฉู่ป๋ายอย่างประเมินค่า คิดไม่ถึงเลย เขาก็ช่างเป็นพี่ชายที่ขาดคุณสมบัติยิ่งนัก!
ก่อนหน้านี้นางเห็นสองคนพี่น้องสนิทสนมรักใคร่กันดี ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ทว่าตอนนี้นางรู้แล้ว ว่านางนั้นไร้เดียงสาจนเกินไป!
สายตาของฉู่ป๋ายเย็นชา “ไม่รู้ว่าที่ค่ายทหารซีซานนั้นนางไปเรียนจากใครมา”
หรือจะให้พูดอีกอย่าง ก็คือเขาไม่เคยปล่อยให้นางอดยากเลย
อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจ ยังดีที่ยังใจดีกับน้องสาวตัวเองอยู่บ้าง
“ท่านพี่ ไข่นี่อร่อยยิ่งนัก เอาสักลูกไหมเจ้าคะ” ฉู่เกอว่า หยิบไข่จากถาดของหานสือแล้วส่งให้เขาหนึ่งลูก ราวกับกำลังส่งมอบของมีค่าให้อย่างไรอย่างนั้น
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น ก็เป็นเพียงไข่ต้มสุกเท่านั้นเอง!
อวี้อาเหรากระแอมไอ อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงท่านหญิงแห่งจวนเซิ่นอ๋อง อยากจะทานอะไรก็ย่อมได้ แต่กลับชอบทานไข่ต้ม แต่ก็ไม่แปลก นี่คงเป็นรสนิยมของคนมีเงินกระมัง นางที่เป็นคนปากกัดตีนถีบมาก่อนคงไม่มีสิทธิ์วิจารณ์
แน่นอนว่าสีหน้าของฉู่ป๋ายคงเต็มไปด้วยความไม่แยแส “เจ้าเก็บเอาไว้กินเองเถิด”