ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 441 ยาเม็ดใจดอกพุดตานเจ็ดห้อง / ตอนที่ 442 ตบหน้า
ตอนที่ 441 ยาเม็ดใจดอกพุดตานเจ็ดห้อง
อวี้อาเหราพออกพอใจในชุดที่นางสวมอยู่เป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นานนัก หานสือก็กลับมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน ในมือก็ถือกล่องเข้ามาด้วยหนึ่งกล่อง
เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์นิ่งไป แล้วมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงได้กลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่หานสือแสดงความเคารพและกล่าวคำทักทายแล้ว เขาจึงค่อยตอบกลับอวี้อาเหราว่า “คุณหนูรอง นี่ก็คือยาตัวนั้น หลังจากที่ซื่อจื่อของพวกเราไปรับยามาแล้ว ก็คิดว่าคุณหนูรองคงจะออกจากจวนไม่ค่อยสะดวกนัก ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยนำยามาให้ บอกว่าคุณหนูจะได้ไม่ต้องมารับยาด้วยตัวเองขอรับ”
“อ้อ?” อวี้อาเหราแปลกใจ ฉู่ป๋ายไม่ใช่คนที่จะพูดกลับไปกลับมาเช่นนี้ หากต้องการให้นางไปรับยาด้วยตัวเองก็เป็นเพราะเขาคิดมารอบคอบแล้ว เหตุใดจึงจะไม่คิดมาก่อนว่านางนั้นไม่สะดวกที่จะออกจากจวน แต่ตอนนี้กลับคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้เพื่อนำมาเป็นข้ออ้าง หลังจากที่คิดเช่นนี้ นางก็มองหานสือด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น
“ซื่อจื่อของเจ้าเป็นอะไรไปหรือเปล่า”
หานสือเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่มีขอรับ ซื่อจื่อสบายดีมากขอรับ”
อวี้อาเหราจับได้ถึงท่าทีลังเลของเขา แต่กลับพยักหน้าอย่างเงียบๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้านำยามาให้ข้าเถิด”
หานสือรีบส่งกล่องยามาให้ในทันที หลังจากที่อวี้อาเหรารับมาแล้วก็เปิดออกดู
เมื่อเห็นยาเม็ดที่ดูมีรูปร่างธรรมดาหนึ่งเม็ด ไม่มีส่วนใดที่แตกต่างกัน แต่กลับได้กลิ่นหอมสดชื่นราวกับไม่ใช่ตัวยา นางไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร จึงถามหานสือว่า “ยานี่มีชื่อหรือไม่”
“ยานี้คือยาเม็ดใจพุดตานเจ็ดห้องขอรับ” หานสือตอบ
“ใจพุดตานเจ็ดห้อง…” อวี้อาเหราทวนคำเบาๆ ใจคนที่ปราดเปรื่องนั้นมีเจ็ดห้อง หากเริ่มต้นจากยาเม็ดนี้ นางก็อาจจะสามารถรักษาอาการป่วยปลอมๆ ของตัวเองเอาไว้ได้ นางไม่นึกสงสัย กลืนน้ำชาลงท้องไป หากเป็นยาที่คนอื่นนำมาให้ นางคงไม่อาจจะกลืนกินยานี้ลงไปโดยง่ายเป็นแน่
แต่ฉู่ป๋ายคงไม่ทำร้ายนาง เขายังไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องลงมือกับนาง
เพียงยาเม็ดเล็กๆ อย่างใจพุดตานเจ็ดห้องนี้ กลับมีราคาถึงหนึ่งหมื่นตำลึงเชียวหรือ
เหตุใดถึงแพงเพียงนี้นะ!
เมื่อเห็นว่าหานสือยังไม่จากไปไหน อวี้อาเหราจึงคิดขึ้นมาได้ จึงสั่งกับเมี่ยวอวี้ว่า “นำตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่เตรียมเอาไว้มามอบให้เขาเถิด”
เมี่ยวอวี้พยักหน้าลง แล้วยื่นตั๋วเงินให้หานสือก่อนที่จะจากไป
อวี้อาเหรามองตั๋วเงินใบนั้นอย่างเสียดาย หากบอกว่าจะไม่เจ็บปวดใจก็คงจะโกหก นั่นเป็นเงินที่นางใช้เวลาตั้งเป็นนานกว่าจะหยิบยืมอนุสี่มาได้ ดีที่ครอบครัวของนางมีเงิน แน่นอนว่าอนุสี่คงจะต้องยอมให้ยืม แต่นางต้องพยายามหาเงินมาคืนให้ได้ มิเช่นนั้นหากอนุรองและอนุสามรู้เข้า คงจะนำเรื่องนี้มาหาเรื่องนางเป็นแน่
เจาเอ๋อร์มองอวี้อาเหราด้วยความสงสัย “เมื่อครู่นี้คุณหนูทานยาอะไรกัน หรือเป็นยาที่ทำให้สามารถแกล้งป่วยต่อไปได้?”
“ใช่แล้ว…” อวี้อาเหราต้องการจะพูดต่อ เงาร่างร่างหนึ่งกลับเดินเข้ามาจากด้านนอก เป็นจวินฉางอวิ๋นที่ก้าวเข้ามาในห้อง เขายื่นมือออกไปคว้าเอากล่องยาที่นางถือเอาไว้อย่างโกรธเคือง แล้วหัวเราะเสียงเย็น “ข้าว่าแล้วว่าอาการป่วยของเจ้าดูแปลกประหลาดนัก ในที่สุดข้าก็พบหลักฐานเสียที”
เมี่ยวอวี้และอวี้อาเหราตกใจเป็นอย่างมาก ต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกจวินฉางอวิ๋นตะคอกใส่ “เรามีเรื่องที่จะต้องพูดกับคุณหนูของเจ้า ใครกล้าก็เข้ามา!”
อวี้อาเหราได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจก็เต้นตึกๆ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? หากข้าไม่อยู่ที่นี่แล้วจะรู้หรือไม่ว่าเจ้าแสร้งป่วยเช่นนี้?” สายตาเย็นชาของจวินฉางอวิ๋นมองไปยังกล่องยาในมือของนาง แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้ายังเห็นว่าเจ้ากลืนยาอะไรลงไป เจ้านั่นเป็นองครักษ์ข้างกายของเซิ่นซื่อจื่อใช่หรือไม่ ตอนนี้สีหน้าของเจ้าดูไม่เหมือนคนป่วยเลยแม้แต่น้อย หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าเองก็แสร้งป่วยกัน”
ตอนที่ 442 ตบหน้า
“แสร้งป่วยหรือ?” หลังจากที่อวี้อาเหราวุ่นวายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสงบขึ้นมาได้ “ข้าไปแสร้งป่วยตอนไหนกัน เจ้ามีพยานหลักฐานหรือจึงพูดออกมาได้”
สีหน้าของจวินอู๋เหินเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เจ้าไม่ยอมรับน่ะสิ ถ้าเช่นนั้นก็กลับวังหลวงแล้วไปพบหมอหลวงกับข้า ดูให้รู้ไปเลยว่าเจ้าแสร้งป่วยหรือไม่ เจ้าควรรู้ว่าหากเจ้ากล้าที่จะโกหกไทเฮา นั่นเป็นโทษหนักถึงตาย แม้แต่คนทั้งจวนหลิงอ๋องเองก็ต้องถูกลากเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ เราอยากรู้นักว่าเจ้าและฉู่ป๋ายกำลังทำเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่!”
“เจ้า!” สีหน้าของอวี้อาเหราเย็นชาขึ้นมา “เหตุใดข้าจะต้องเข้าวังไปพบหมอหลวงกับเจ้าด้วย อย่าได้คิด!”
“หากเจ้าไม่ไป ก็แสดงให้เห็นว่าใจของเจ้ามีแผนร้ายอยู่เป็นแน่!” จวินฉางอวิ๋นส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของอวี้อาเหรากำเข้าหากันแน่น ดูแล้วเขาคงไม่ต้องการที่จะปล่อยนางไปแน่ๆ นอกจากจะทำให้เขาเชื่อจริงๆ ว่าตัวนางนั้นป่วย แต่ไม่รู้ว่ายาตัวนี้ของฉู่ป๋ายนั้นใช้ได้จริงๆ หรือไม่ หรือว่ายาจะยังไม่ออกฤทธิ์ในตอนนี้ หากให้หมอหลวงตรวจขึ้นมาจริงๆ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น แม้แต่คนทั้งหมดของจวนหลิงอ๋องก็คงจะโดนลงโทษไปด้วย
นอกเสียจาก…นอกเสียจากว่านางจะบอกว่านางหายจากอาการป่วยแล้ว
แต่หากพูดเช่นนั้น ไทเฮาก็จะจัดการเรื่องงานหมั้นของนางอีก หากเป็นพระเสาวนีย์ ก็คงไม่มีใครสามารถที่จะทัดทานได้
มาถึงจุดที่จะไปต่อก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้
หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นางก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองสงบลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองจวินฉางอวิ๋น
จวินฉางอวิ๋นมองไปที่นาง ยกยิ้มอย่างพอใจ ครั้งก่อนถูกอวี้อาเหราเล่นงานไป เขาที่เป็นถึงรัชทายาทเหตุใดจะต้องทนถึงเพียงนี้ด้วย
ในยามที่ทั้งสองกำลังจ้องมองกันไปมาโดยไม่พูดไม่จานั้น นางกำนัลอาวุโสประจำตัวของฮองเฮาได้ยินว่าด้านในเกิดเสียงดังโวยวายขึ้น สุดท้ายก็ทนไม่ไหว จึงเข้ามาดูด้านใน เมื่อเห็นรัชทายาทกุมมืออวี้อาเหราเอาไว้ด้วยความโกรธเคือง ก็รีบก้าวเข้ามาห้ามในทันที “องค์รัชทายาทขออย่าเพิ่งทรงกริ้ว อย่างไรก็อย่าได้ทำร้ายร่างกายคุณหนูรองอีกเลย ครั้งนี้องค์ไทเฮาส่งพระองค์มาเพื่อขออภัยในความผิดครั้งก่อน เหตุใดจึงวุ่นวายขึ้นมาได้อีกเล่า”
ที่แท้ก็เป็นไทเฮาที่ส่งเขามานั่นเอง อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในทันที
จวินฉางอวิ๋นปล่อยมือที่กุมมืออวี้อาเหราเอาไว้ จากนั้นก็พูดกับนางกำนัลอาวุโสด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เราอยากจะพาตัวคุณหนูรองไปให้หมอหลวงของไทเฮาดูอาการ ดูว่านางป่วยจริงหรือแสร้งป่วยกันแน่”
ตอนนี้เขาเริ่มมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าอวี้อาเหรานั้นแกล้งป่วย ก่อนหน้านี้ที่เขามาถึงที่นี่ก็รู้สึกผิดปกติ เมื่อครู่นี้เขาก็ได้ยินพวกนางนายบ่าวคุยกัน เขาก็เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็พยายามจะสะกดความโกรธเอาไว้
นางไม่เพียงแต่แกล้งป่วย ทั้งยังปฏิเสธความปรารถนาที่จะให้พวกเขาแต่งงานกันของไทเฮา
เช่นนี้ก็เท่ากับตบหน้าเขามิใช่หรือ?
ป่วยจริงหรือแสร้งป่วย? นางกำนัลอาวุโสผู้นั้นได้ยินแล้วถึงกับชะงัก ไม่เข้าใจเรื่องที่คนทั้งสองพูดคุยกันโดยสิ้นเชิง หลังจากจัดการระบบความคิดของตัวเองแล้ว ก็เท่ากับว่าองค์รัชทายาททรงสงสัยว่าคุณหนูรองจะแกล้งป่วย!
อวี้อาเหราเห็นท่าทีสาสมใจของจวินฉางอวิ๋น นางนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม่ขยับไปไหน มีท่าทีท้าทายอย่างเห็นได้ชัด
จวินฉางอวิ๋นไม่รอช้า ลากข้อมือของนางแล้วดึงขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู
คนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ยืนนิ่ง ลืมไปเสียสิ้นว่าจะทำอะไร
เอาแต่มองอวี้อาเหราที่ถูกฉุดกระชากให้เดินตาม
เมี่ยวอวี้ชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าไปขวางทางจวินฉางอวิ๋นเอาไว้ “องค์รัชทายาท คุณหนูของหม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจทนต่อลมหนาว ขอให้รัชทายาททรงปล่อยพระหัตถ์เถิดเพคะ แม้ว่าทั้งสองจะหมั้นหมาย แต่จับมือกันในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้ คงจะดูไม่ดีกระมัง”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้ามาพูดกับเราเช่นนี้?” จวินฉางอวิ๋นมองด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง
เมี่ยวอวี้ไม่สั่นไหวไปกับท่าทีคุกคามที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างของเขา กลับพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเนิบนาบไม่บ่งบอกอารมณ์ว่า…