ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 453 ถกเถียงเรื่องไร้สาระ / ตอนที่ 454 ไม่ให้พูด
ตอนที่ 453 ถกเถียงเรื่องไร้สาระ
“ก็ใช่” อวี้อาเหราพยักหน้ารับ
“ถ้าเช่นนั้นนี่ก็คือปลาที่ข้าตกได้ใช่หรือไม่?” ฉู่ป๋ายมองไปยังดวงตารูปหงส์ของนาง
“…” อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ในใจของนางกำลังคิดว่านี่เขากำลังเถียงเรื่องที่ไร้สาระอยู่มิใช่หรือ?
“ก็ได้ นี่ถือว่าเป็นปลาที่ท่านตกได้พอใจหรือไม่ ข้าหิวจะตายแล้ว รีบกลับไปกินข้าวกลางวันกันเถิด” ฉู่เกอรอจนเหนื่อย ในที่สุดก็เห็นฉู่ป๋ายตกปลาได้สักตัว ก็ขคร้านที่จะสนใจ จึงพูดออกไปตามตรง
ฉู่ป๋ายส่งเบ็ดตรงปลาให้ฉู่ป๋าย แล้วลุกขึ้นจากม้านั่งด้วยท่าทางสบายใจ
“ไปเถิด”
หลังจากที่มองอวี้อาเหราและฉู่เกอ ก็หันหลังกลับไป
อวี้อาเหรามองไปที่เขาที่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะนั่งอยู่แท้ๆ ม้านั่งยังอยู่ที่เดิม แต่คนนั้นเดินไปไกลแล้ว
ฉู่เกอดึงเสื้อของนาง “พี่เหราเอ๋อร์ ท่านมองอะไรอยู่หรือ เหตุใดถึงได้ใจลอยเช่นนี้เล่า”
“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราคว้ามือของนางเพื่อดึงความสนใจของนางให้ออกไปจากม้านั่ง แล้วมองไปข้างหน้า “เจ้าหิวอยู่มิใช่หรือ พวกเราไปกินข้าวกันเถิด”
“ดีเลย” ฉู่เกอไม่สงสัยเรื่องอื่นๆ
หลังจากที่พวกเขาไปยังเรือนพักแล้ว ก็หยิบปลาที่จับได้ส่งให้ห้องครัวเพื่อทำอาหาร พวกเขาก็ไปรออยู่ในห้องเพื่อทานอาหาร
ฉู่เกอหิวจนแทบจะทนไม่ได้ จึงให้หานสือเอาเอาขนมมาให้กินรองท้องไปก่อน
ผ่านไปไม่นานก็มีสาวใช้ยกอาหารต่างๆ ที่น่าอร่อยเข้ามา อาหารทุกจานล้วนแล้วแต่มีกลิ่นรสที่สมบูรณ์แบบ อาหารมีมากมาย แต่คนทานกลับมีแต่สามคน ฉู่เกอหันไปพูดกับองครักษ์เหล่านั้นว่า “พวกเจ้าจะมานั่งทานด้วยกันหรือไม่”
“บ่าวไม่กล้าขอรับ” หานสือส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง
เขาไหนเลยจะกล้านั่งร่วมโต๊ะกับซื่อจื่อและท่านหญิงกันเล่า?
ฉู่เกอเหยียดยิ้มออกมา “เหตุใดถึงได้ไม่กล้ากันเล่า ปลาพวกนี้ก็เป็นเจ้าที่จับมาได้ แน่นอนว่าต้องกินด้วยกัน อย่าทำเป็นกระมิดกระเมี้ยนเหมือนผู้หญิงไปหน่อยเลย รีบมากินเร็วๆ เข้าเถิด”
อยู่ในค่ายทหารมาเป็นเวลานาน คำพูดและการกระทำของนางจึงคุ้นเคยกับความสบายๆ แน่นอนว่าจะต้องไม่ยึดถือข้อปฏิบัติอะไรเช่นนี้แน่
หานสือมองฉู่ป๋ายอย่างลำบากใจ
ฉู่ป๋ายพยักหน้าลง “ในเมื่อท่านหญิงน้อยให้พวกเจ้านั่งด้วย พวกเจ้าก็นั่งลงกินข้าวเสียเถิด”
“ขอรับ” หานสือไม่กล้าอิดออด รีบนั่งลงในทันที
ฉู่เกอมองอย่างไม่ชอบใจ แค่เรื่องจะนั่งหรือไม่นั่งทำไมจะต้องรอให้คนอื่นบอกด้วยล่ะ
นางพูดอยู่เป็นนาน แต่พวกเขาก็ยังอิดออดไม่ยอมทำตาม ไม่เหมือนกับฉู่ป๋ายที่พูดด้วยท่าทีนิ่งๆ กลับได้ผล
นางก็รู้สึกพ่ายแพ้เสียจริงๆ!
ในใจของนางนิ่งงันไป แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ แล้วถามอวี้อาเหราว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นสาวใช้สองคนนั้นของท่านเลยเล่า”
“เจ้าหมายถึงเจาเอ๋อร์กับเมี่ยวอวี้หรือ?” อวี้อาเหรามองไปรอบๆ แต่ก็กลับไม่พบเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้จริงๆ หากเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ฉู่เกอที่เอ่ยขึ้นมา นางก็คงจะลืมไปเสียแล้ว เมื่อนางพูดขึ้นมาเช่นนี้ก็ไม่เห็นคนทั้งสองจริงๆ
หานสือรีบตอบในทันที “คุณหนูรอง เมื่อครู่ได้ยินมาว่า เหมือนเจาเอ๋อร์จะไม่สบาย เมี่ยวอวี้จึงประคองนางไปยังเรือนรองเพื่อพักผ่อนขอรับ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็หันไปทางเขาพร้อมทั้งอมยิ้ม “หานสือ เจ้าไปดูเจาเอ๋อร์ให้ข้าหน่อยเถิด ถามว่านางกับเมี่ยวอวี้จะมากินข้าวด้วยกันหรือไม่ หากนางไม่สบายก็รบกวนเจ้าตามหมอมาดูอาการด้วยนะ”
“หา?” หานสือชะงักไป ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย “บ่าวว่าไม่ค่อยเหมาะ…”
“มีอะไรไม่เหมาะกันเล่า?” อวี้อาเหราแสร้งทำเป็นไขสือ “แล้วเจ้าจะหน้าแดงทำไมกัน”
“บ่าว…บ่าวจะไปดูพวกเจาเอ๋อร์ขอรับ” หานสือถูกนางพูดให้เช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำไปกันใหญ่
ตอนที่ 454 ไม่ให้พูด
ไม่สนใจว่าจะนางจะพูดอะไร เขาได้แต่รีบเดินหนีไปทันทีไม่พูดไม่จา
ฉู่ป๋ายหันมองไปทางนาง คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไรกับคนของเจ้าก็ได้ แต่อย่ามาแกล้งองครักษ์ของข้าได้หรือไม่”
“ก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้น เจ้าจะทำอะไรข้าได้?” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมอง ราวกับจะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ สำหรับฉู่ป๋ายที่หน้าไม่อายแล้วจะต้องให้เขาอับอายมากๆ มิเช่นนั้นนางคงจะถูกเขาทำให้โกรธจนทนพูดไม่ออกเป็นแน่
เมื่อฉู่ป๋ายได้ยินดังนั้น ก็ไม่พูดอะไรอีก
ฉู่เกอได้ยินทั้งสองคนพูดคุยกันเช่นนี้ก็เริ่มเข้าใจถึงความหมายที่แฝงอยู่ ดวงตาของนางฉายประกายวิบวับ มองไปที่อวี้อาเหราด้วยสายตาตื่นตะลึงและยินดี “มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้หานสือถึงได้หน้าแดง ที่แท้ก็…”
“ชู่ กินข้าวเถิด” ในยามที่นางกำลังจะพูดต่อ อวี้อาเหราก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารแล้วส่งเข้าไปในปากของนาง ทันใดนั้นนางจึงพูดไม่ออก
ฉู่เกอจำต้องปิดปากลง เคี้ยวอาหารที่อยู่ในปากจนละเอียด หลังจากกลืนลงไปแล้วจึงค่อยพูดขึ้นด้วยความสงสัย “พี่เหราเอ๋อร์ เหตุใดถึงไม่ให้ข้าพูดเล่า”
“หานสือมาแล้ว” อวี้อาเหรามองไปยังหน้าประตูในทันใด
ฉู่เกอจึงหยุดพูดในทันที มองตามสายตาของอวี้อาเหราจึงเห็นว่าหานสือ เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์กำลังเดินเข้ามาจริงๆ เมื่อมองหานสืออีกครั้ง เขาก็ยังคงหน้าแดงก่ำ ราวกับแต้มผงสีสำหรับแต่งหน้าเอาไว้
เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้เดินเข้ามาข้างหน้า ทันใดนั้นก็รีบทำความเคารพ “บ่าวคารวะเซิ่นซื่อจื่อ ท่านหญิงเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ฉู่ป๋ายพยักหน้า และรับคำง่ายๆ
“คนไหนคือเจาเอ๋อร์?” ฉู่เกอมองพวกนางทั้งสอง ไม่มั่นใจว่าใครเป็นใคร
เจาเอ๋อร์ช้อนตาขึ้นมอง “บ่าวคือเจาเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
ฉู่เกมองนางอย่างประเมินค่า แม้จะไม่อาจพูดได้ว่านางงดงามเป็นที่หนึ่ง แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของนางนั้นดูอ่อนโยน เพราะอาการป่วยจึงทำให้นางดูอ่อนแอบอบบางจนแทบจะปลิวลม บางครั้งก็ส่งสายตาไปทางหานสือ หรือว่าเขากับเจาเอ๋อร์นั้น…
เจาเอ๋อร์ที่ถูกจ้องมองรู้สึกแปลกๆ จึงทำเพียงมองไปทางอวี้อาเหรา
“เมื่อครู่นี้หานสือบอกว่าเจ้าไม่สบายหรือ” อวี้อาเหราถามขึ้นมา
“เมื่อครู่นี้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูโปรดวางใจเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ตอบ
“เช่นนั้นก็ดี มิเช่นนั้นข้าจะส่งเขาไปเชิญหมอเพื่อดูอาการเจ้าเสียหน่อย” อวี้อาเหรายิ้ม
เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าก็ต่างนั่งลงทานอาหารพร้อมกัน ในตอนแรกที่เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ได้ยินมาว่าจะให้นางนั่งลงทานอาหารด้วยกันนั้น แน่นอนว่าพวกนางก็ตกใจเสียจนคุกเข่าลงไปที่พื้น เมื่อลังเลอยู่สักครู่จึงค่อยนั่งลง
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการทานอาหารที่โรงเตี๊ยมของหลงจู๊แห่งตลาดมืด ครั้งนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ แต่ในสถานการณ์ปกติแล้วไหนเลยจะกล้านั่งทานอาหารร่วมกับเจ้านายกันเล่า?
อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างไม่เลวนัก โดยเฉพาะฉู่เกอ นางจับปลานานเป็นครึ่งวัน แน่นอนว่าต้องอยากกินเป็นแน่ เมื่อกินปลาส่วนใหญ่ไปได้มากกว่าครึ่งก็กินอะไรไม่ลงอีก จำนวนอาหารที่นางกินเข้าไปนั้นก็ช่างน่าตกใจนัก อวี้อาเหราเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทานเยอะอยู่แล้ว แต่ยังไม่เท่าฉู่เกอ วันนี้ได้เห็นนางทาน จึงรู้แล้วว่าการที่ผู้น้อยพบกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่านั้นเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นนางเอาแต่จ้องมองฉู่เกอยามที่ทานอาหาร ฉู่ป๋ายก็ออกปากอธิบายว่า “เมื่อก่อนนี้นางทานไม่เยอะ แต่เมื่อไปยังค่านทหารแห่งซีซานแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะชีวิตที่ค่ายทหารนั้นยากลำบากกระมัง”
“ก็ลำบากอยู่บ้างจริงๆ เป็นเพราะท่านนั่นล่ะ” ฉู่เกอหยุดทุกการกระทำ “เป็นเพราะท่านบอกกับคนที่นั่นเองว่าไม่ต้องเห็นว่าข้าเป็นท่านหญิง ให้ฝึกข้าเหมือนฝึกทหารธรรมดา ตอนนี้ท่านจะมาพูดอะไรอีกเล่า”