ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 469 ฟาดฟันซึ่งกันและกัน / ตอนที่ 470 ความผิดของใคร
ตอนที่ 469 ฟาดฟันซึ่งกันและกัน
จริงๆ แล้วก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นพิษ แต่เมื่อมีพลังยุทธ์พุ่งโจมตี เมื่อแตะต้องเข้าทำให้เกิดสิ่งที่คล้ายกับพิษ ไม่แปลกที่เลือดของนางจะไม่สามารถทำให้สิ่งนี้เจือจางลงได้
อีกอย่างพลังพิเศษจากดวงตาคู่นี้ของนาง กลับใช้ไปเพียงแค่ครั้งเดียวเมื่อครั้งที่ฉู่ป๋ายป่วย
นั่นก็เหมือนกับการผายลมเลยมิใช่หรือ? มีก็เหมือนมี ไม่มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
อวี้อาเหราพร่ำบ่นในใจถึงความสามารถแสนพิสดารของตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ฉู่ป๋ายที่เห็นดังนั้นก็หรี่ตาลง ทันใดนั้นก็ฟาดฟันดาบลงมา ในใจของนางตื่นตระหนก กำลังเตรียมจะปัดป้อง แต่นึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่านี่คือการระบำดาบ ดังนั้นจึงเห็นว่าดาบของเขาเพียงแฉลบไปเท่านั้น เส้นผมหนึ่งปอยถูกดาบตัดออกจนขา
เพียงเส้นผมที่ปลิวไหวยังตัดจนขาด
ช่างเป็นดาบที่ดีนัก
เมื่อเห็นท่วงท่ากระบวนดาบของเขาแล้ว ก็เข้าใจทันทีว่าเป็นเพียงการเรียกสติของนางที่เหม่อลอยให้ฟื้นคืนเท่านั้น ไหนเลยจะเรียกว่าระบำดาบกัน
อวี้อาเหราเองก็ไม่ลังเล ตวัดปลายดาบด้านที่คม พุ่งเข้าสู้ตำแหน่งหัวใจของเขาในทันที
แต่นี่ก็ไม่น่าแปลกใจอันใด เมื่อครู่นี้ฉู่ป๋ายทำให้นางตกใจ ตอนนี้ก็ไม่แปลกที่จะเอาคืนบ้าง
แต่อีกฝ่ายกลับรู้เจตนาของนาง ดังนั้นจึงไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงยืนอยู่ที่เดิมปล่อยให้นางแทง
ในช่วงเวลานั้นเอง อวี้อาเหราก็นึกถึงข้อตกลงที่ทำไว้กับหนิงจื่อเย่ ดวงตาของนางหรี่เล็กลง แล้วจึงขยับดาบเข้าไปให้อีกนิ้ว ทว่าก็ยังห่างไกลหัวใจอยู่มากโข
หลังจากหยุดพักไปชั่วครู่ ในที่สุดนางก็ไล่ตามจนทัน
ระบำดาบเริ่มต้นขึ้น จนทำให้ดอกไม้บนพื้นปลิวว่อน ภาพฉากเช่นนี้ ช่างงดงามนัก
ในพื้นที่ที่ดอกไม้ร่วงโรย มองเห็นหญิงสาวสวมชุดสีแดงและชายหนุ่มสวมชุดสีขาว ทั้งคล่องแคล่วและทำให้อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากได้มากพอๆ กัน
ทว่าฉากนี้กลับทำให้พวกฉู่เกอต้องกลั้นหายใจอย่างกระชั้นชิด ศิลปะวรยุทธ์อันลุ่มลึกราวกับไม่เหมือนการเสี่ยงชีวิตเมื่อครู่นี้ ไม่เหมือนระบำดาบสักนิด ราวกับเป็นการฟาดฟันซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับเพลงดาบแสนอันตราย
อวี้อาเหราไม่เคยฝึกเพลงยุทธ์มาก่อน ฝีมือการออกเพลงดาบจึงไม่รวดเร็ว ห่างชั้นกว่าฉู่ป๋ายมากนัก
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ไม่ช้าก็เร็วต้องมีฝ่ายใดบาดเจ็บแน่
ฉู่เกอขมวดคิ้วแน่น ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “พวกท่านกำลังระบำดาบหรือกำลังจะฆ่าฟันกันแน่?”
อวี้อาเหราคืนสติขึ้น เพลงดาบจึงอ่อนโยนลงในฉับพลัน อีกฝ่ายเองก็โอนอ่อนตามไปด้วย
ยามนี้ก็เริ่มเข้าสู่ระบำดาบที่ถูกต้องตามหลักแล้ว
มองข้ามความอันตรายเมื่อครู่เสีย ฉากนี้ช่างงดงามยิ่งนัก
ทั้งสองล้วนมีหน้าตาไม่ธรรมดา เมื่อยืนอยู่ด้วยกันแล้ว จึงเป็นชายสง่าหญิงงดงามอย่างแท้จริง
ฉู่เกอเห็นแล้วก็ยินดีนัก
ทั้งสองเริงระบำอยู่นาน อวี้อาเหรารู้สึกเหนื่อยอ่อนขึ้นมา พยายามยืนหยัดจนกระบวนท่าสุดท้าย
เมื่อระบำดาบสิ้นสุดลง ทั้งสองก็วางดาบลง อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมาทันที แล้ววางดาบลงบนคอของเขาอย่างแม่นยำ
การกระทำของนางทำเอาทุกคนนิ่งงัน ฉู่ป๋ายนึกอยากจะยกดาบขึ้นปัดป้อง แต่ก็ช้าไปหนึ่งก้าว
ในยามที่ดาบของอวี้อาเหรากำลังจะแทงทะลุคอของเขานั้น มือของนางก็บิดออก จึงทำได้เพียงตัดปอยผมสองสามปอยที่อยู่ในมือ
“ต่อไปหากอยากจะต่อต้านข้าอีก มากกว่าผมข้าก็ตัดได้” อวี้อาเหราแกว่งเส้นผมตรงหน้าของเขา แล้วว่าขึ้นมาอย่างลำพองใจ
ฉู่ป๋ายหัวเราะออกมาอย่างจนใจ สีหน้าท่าทางก็แปรเปลี่ยน ยกมือกุมคอของตัวเองเอาไว้ “เจ็บยิ่งนัก เกรงว่าเมื่อครู่ไม่ระวังได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” อวี้อาเหรารีบเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อครู่นี้นางมั่นใจว่ากะระยะได้แม่นยำแล้วแท้ๆ ไม่น่าจะทำให้เขาบาดเจ็บได้นี่ ทว่าในยามที่นางแตะตัวเขานั้น ในชั่ววินาทีนั้นเอง ฉู่ป๋ายก็สะบัดดาบคมในมือ ตัดปอยผมของนางออกหลายปอย
“เจ้าหลอกข้า?” อวี้อาเหรามองมือที่ละออกจากคอของตัวเอง ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ในมือของเขายังกุมเส้นผมของนางเอาไว้ ทันใดนั้นนางก็พลันเข้าใจกระจ่าง ผุดลุกขึ้นจากพื้น โกรธเสียจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ตอนที่ 470 ความผิดของใคร
ช่างน่าโกรธแค้นยิ่งนัก! เหตุใดเขาจึงได้ฉลาดถึงเพียงนี้? ไหนใครบอกว่าคนโบราณโง่เขลาจะตายมิใช่หรือ?
ไม่เพียงแต่ไม่โง่เขลาเท่านั้น แต่ยังฉลาดเสียจนเกินไปด้วยซ้ำ
เมื่อครู่นี้เขาก็เลียนแบบกลลวงของนางได้ทันทีที่เห็นเลยมิใช่หรือ? เรื่องนั้นก็ช่างมันเถิด สิ่งที่น่าโมโหก็คือ แม้แต่นางก็ยังตกหลุมพรางด้วย!
ฉู่ป๋ายมองไปยังนางแล้วยกยิ้มขึ้น “ในเมื่อเจ้าลอบโจมตีข้าก่อน แล้วจะถือว่าข้าหลอกเจ้าได้อย่างไร”
“…” อวี้อาเหราไม่อาจโต้กลับได้ เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ นางจึงจำต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล้ำกลืนคำพูดลงไป ไม่พูดอะไรให้เข้าตัวไปมากกว่านี้
“พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ฉู่เกอและคนอื่นๆ เข้ามาล้อมรอบ เมื่อเห็นสถานการณ์น่าหวาดเสียวเมื่อครู่แล้วขวัญก็แทบจะกระเจิง
“ไม่เป็นไร” ฉู่ป๋ายค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ในมือกุมเส้นผมเอาไว้ แล้วยัดเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบงัน การกระทำนั้นกลับไม่มีใครมองเห็น
“เขาสบายดีจะตาย” อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน
ฉู่ป๋ายยิ้มอย่างอ่อนใจ รู้ดีว่านางยังคงเคืองโกรธกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อยู่
ฉู่เกอผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยวาจาคล้ายสั่งสอน “พวกท่านนี่จริงๆ เลย เหตุใดถึงได้วุ่นวายกันเช่นนี้ ระบำดาบก็ระบำอย่างสะเปะสะปะยิ่งนัก สร้างเรื่องขึ้นมาในพระแท่นวายุจันทราแห่งนี้ สร้างเรื่องใหญ่โต หากมีใครรู้ว่าเพราะระบำดาบจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต่อไปจะไม่อับอายขายขี้หน้าแย่หรือ”
“นางกำลังว่าเจ้า ตั้งใจฟังเสียสิ” ฉู่ป๋ายมองอวี้อาเหรา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยวาจาตำหนิ
“พวกเราต้องแบ่งรับความผิดเท่าๆ กันสิ” อวี้อาเหราว่าอย่างเหลืออด ยังมีหน้ามาบอกว่านางผิดแต่เพียงผู้เดียวอีกหรือ? สิ่งที่เรียกว่าหน้าด้านหน้าทนนั้น นี่คงเป็นหลักฐานชั้นต้นสุดแล้ว
ฉู่เกอหมดคำจะเอ่ย “นี่พวกท่านก็ไม่เกรงกลัวกันเลยใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เสียหน่อย” อวี้อาเหรายิ้มอย่างประนีประนอม “เมื่อครู่นี้เป็นเพราะเราสองคนที่ผิด แต่เจ้าก็เห็นนี่ หากเขาไม่ลงมือทำให้ข้าตกใจ ไหนเลยข้าจะแกล้งเขาได้”
“วาจานี้เหมือนจะมีเหตุผล” ฉู่เกอพยักหน้า
ฉู่ป๋ายไม่ยินดีนัก “มีเหตุผลตรงไหนกัน? เป็นเพราะนางอยากจะให้ข้าร่วมระบำดาบด้วย แล้วข้าก็ไม่ได้จับอาวุธมานาน แน่นอนว่าจะต้องมีพลาดพลั้งไปบ้าง แต่นางตัดผมของข้าไปตั้งมากขนาดนั้นเป็นเรื่องล้อเล่นหรืออย่างไรกัน”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” ฉู่เกอพยักหน้าอีกครั้ง
“เจ้าก็เอาคืนข้าไปแล้วมิใช่หรือ” อวี้อาเหราไม่ยอมแพ้ มองฉู่ป๋ายด้วยสายตาขุ่นเคือง
ยอมผู้หญิงสักคนจะตายหรืออย่างไรกัน?
ฉู่เกอหันหน้าไปหาคนทั้งสอง ถูกคำพูดของทั้งสองคนทำให้หัวหมุนจนวิงเวียนเสียแล้ว
อวี้อาเหราและฉู่ป๋ายต่างหมดคำจะกล่าว “เจ้าว่าใครที่ผิดกัน”
“ข้า…ท่าน…” ฉู่เกอรู้สึกสับสนเป็นที่สุด สุดท้ายจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วกล่าวโทษคนทั้งสองอย่างรำคาญ “พวกท่านทั้งสองล้วนแล้วแต่ผิดด้วยกันทั้งนั้น!”
“ไม่ได้” อวี้อาเหราและฉู่ป๋ายล้วนส่ายหน้า
ยามนี้ฉู่เกอรู้สึกผิดขึ้นมาเสียแล้ว หากรู้เสียอย่างนี้นางคงไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ตอนนี้จึงต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้ ในยามที่นางกำลังคิดไม่ตกว่าจะต้องทำอย่างไรดี หานสือก็วิ่งเข้ามา
“ซื่อจื่อ คุณหนูรอง ย่างปลาเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เร็วถึงเพียงนั้นเชียว?” ฉู่เกอยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยมาเร็วถึงเพียงนี้แล้ว เพียงแค่เล่าเรื่องอะไรขึ้นมาสักเรื่อง จากนั้นก็ดูระบำดาบไปหนึ่งท่อน ไม่คิดเลยว่าปลาจะย่างจนสุกแล้ว จึงขี้เกียจจะวุ่นวายเรื่องของฉู่ป๋ายและอวี้อาเหราอีก “หากพวกท่านอยากจะเถียงกันไปมาก็เชิญ ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
เมื่อพูดจบก็เดินตามหานสือไป
เมื่อพวกนางไปแล้ว ทั่วทั้งบริเวณก็ว่างเปล่า
อวี้อาเหรามองไปที่เขา “เจ้าไม่กินปลาหรือ”
“กินสิ” ฉู่ป๋ายพยักหน้า
อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ไปสิ”
“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้าอีกครั้ง
ทั้งสองทำราวกับลืมเลือนความขัดแย้งเมื่อครู่นี้ กลับไปกินปลาด้วยด้วยกันเหมือนเดิม