ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 491 คนเลว / ตอนที่ 492 ครอบครัวเดียวกัน
ตอนที่ 491 คนเลว
“นายน้อยสามสบายดี เพียงแต่พวกเราไม่ค่อยได้พบกันเท่าไรนัก จึงนับได้ว่าไม่รู้จักกัน” ฉู่เกอว่าเรื่อยๆ เมื่อเห็นความหมายของดวงตาของหลิงอ๋อง ก็พูดขึ้นมา “ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้นายน้อยสามกลับจวนในวันปีใหม่มิใช่หรือ พอเขากลับมาแล้วหลิงอ๋องก็คงได้มีช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันได้”
“อืม” หลิงอ๋องพิเคราะห์ จากนั้นก็พยักหน้าอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่านายน้อยสามจะอยู่นานเท่าไรถึงจะกลับไปยังค่ายทหารซีซาน” ฉู่ป๋ายเอ่ยถามขึ้นมาในฉับพลัน
“ไม่แน่ใจนัก เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับฝ่าบาท แต่ตัวเรานั้นอายุมากแล้ว นอกจากบุตรสาวสองคนที่อยู่ข้างกายก็มีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ปรารถนาให้ฝ่าบาททรงเห็นแก่อายุของเราที่มากขึ้น แล้วให้อวี้จื้ออยู่ที่นี่” หลิงอ๋องถอนลมหายใจ
ฉู่ป๋ายชะงัก มองไปทางอวี้อาเหรา มุมปากค่อยๆ เผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม “ดูแล้ว หลิงอ๋องคงคิดจะให้คุณหนูรองแต่งงานออกเรือนในช่วงปีหน้ากระมัง”
“นางเองก็อายุไม่น้อยแล้ว จำต้องแต่งงานแล้ว” หลิงอ๋องมองฉู่ป๋ายด้วยความลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยพยักหน้าลง
“เสด็จพ่อ อย่าไปฟังเขาเลยเพคะ ครั้งนี้ก็เป็นเพราะเขาที่ตั้งใจพาลูกเข้าไปในพระแท่นวายุจันทรา อีกทั้งยังวางแผนให้ข้ากินปลาร้อน ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่!”
อวี้อาเหราจ้องมองฉู่ป๋ายอย่างระแวดระวัง ไม่รู้ว่าชายผู้นี้มีความคิดอย่างไรกันแน่ หรือเขาอยากจะให้หลิงอ๋องให้นางแต่งออกไปเร็วๆ? แต่นางจะแต่งงานหรือไม่นั้นมันเกี่ยวอะไรกับเขากัน
ยังไม่รอให้ฉู่ป๋ายได้อธิบาย หลิงอ๋องก็ขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดอะไรของเจ้า เหตุใดเซิ่นซื่อจื่อจะต้องวางแผนให้เจ้ากินปลาด้วย นี่ก็เป็นเจ้าที่กินเข้าไปเองแต่กลับโทษผู้อื่น ก่อนหน้านี้พ่อก็สอนเจ้าว่าอย่างไร? เกิดเป็นคนกล้าทำก็ต้องกล้ารับ ทำเรื่องใดก็จำต้องยอมรับผิด แล้วยังอยู่หน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทอีก แต่เจ้ากลับโยนความผิดให้กับเซิ่นซื่อจื่อ ไม่เข้าเรื่อง!”
“เสด็จพ่อ ลูก…” อวี้อาเหรานึกอยากจะอธิบาย แต่เมื่อเห็นท่าทีของหลิงอ๋องแล้ว นางจึงหันไปมองฉู่ป๋ายมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง นางรู้ว่าตัวเองจะพูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ ในใจของหลิงอ๋อง ฉู่ป๋ายเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งมลทินใดๆ
มองไม่ออกว่าเขามีจิตใจเจ้าเล่ห์เพทุบายมากแค่ไหน
เหมือนกับนาง ที่โดนใส่ร้ายไปไม่เบา ก่อนหน้านี้นางไม่ค่อยเชื่อคำของจวินอู๋เหินมากนัก คิดแค่ว่าอย่างมากฉู่ป๋ายก็แค่ปากร้าย คงไม่อาจทำเรื่องร้ายกาจไปได้ แต่เมื่อเจอกับเรื่องปลาร้อนแล้ว นางจึงเข้าใจขึ้นมา
ว่าเขาน่ะเป็นคนเลวที่ไม่แยแสอะไรเลย!
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขากราบทูลฮ่องเต้ไปเช่นนั้น ในส่วนลึกของนางก็พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เหตุใดถึงได้มีคนหน้าด้านเช่นนี้อยู่ในโลกนี้ได้? ทั้งๆ ที่เห็นว่านางโดนใส่ร้าย แต่เขากลับทำให้นางดูเหมือนคนผิดที่ไม่ยอมรับผิด และต้องการที่จะปัดความผิดให้พ้นตัว
โยนความผิดกับผีน่ะซี!
เมื่อพูดไปพูดมาก็เดินมาจนถึงประตูวัง ดังนั้นฉู่ป๋ายและฉู่เกอก็ขอตัวจากไป พวกเขานั่งรถม้าของตัวเองกลับ
อวี้อาเหรามองหลิงอ๋องอย่างนิ่งเงียบ
“ขึ้นรถเถิด” หลิงอ๋องมองรถม้าของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยหันไปพูดกับอวี้อาเหรา “เจ้ามานั่งกับพ่อ”
“เพคะ” อวี้อาเหรามองเห็นความเรียบนิ่งในดวงตาของหลิงอ๋องแล้ว ก็รู้ว่าเขาคงจะมีเรื่องที่ต้องการจะพูดคุยกับนางแน่
เรื่องวันนี้คงสร้างบาดแผลในใจของหลิงอ๋องมากทีเดียว เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทั้งหมด นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกชัน ความกล้าของนางในยามนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับฝ่าบาทได้ ก็ช่างไม่กลัวตายเอาเสียเลย
ตอนที่ 492 ครอบครัวเดียวกัน
“คุณหนู ขึ้นรถเถิดเจ้าค่ะ” ระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เจาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องเรียกขึ้นมา
เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงพลันได้สติ สายตามองไปทางรถม้า จึงเห็นว่าเมี่ยวอวี้เปิดม่านรอไว้ หลิงอ๋องใช้สายตาสำรวจตรวจตรามองนาง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ นางก็ก้าวขึ้นรถ เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์มองสบตากัน นึกอยากจะขึ้นไปบนรถม้าคันเดียวกัน แต่สุดท้ายหลิงอ๋องก็โบกมือเรียบๆ
“ไม่ต้องตามมา เรามีเรื่องที่จะคุยกับอาเหรา”
“เพคะ” เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์จึงจำต้องถอยหลังไป แล้วก้าวขึ้นรถอีกคันหนึ่ง
รถม้าเคลื่อนตัว ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น อวี้อาเหรามองไปยังร่างของหลิงอ๋อง พูดขึ้นโดยพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อมีเรื่องอะไรจะคุยกับลูกหรือเพคะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแต่อยากจะพูดคุยกับเจ้าเล็กน้อย” แม้ว่าน้ำเสียงของหลิงอ๋องจะฟังดูราวปกติ ไม่มีตรงไหนที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ เมื่อคิดอยู่ชั่วครู่ เขาจึงค่อยถอนหายใจออกมา “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ พ่อได้เห็นแล้วทั้งหมด ต่อไปหากเจ้ายังก่อเรื่องเช่นนี้อีก แม้แต่พ่อเองก็คงช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้งนี้โชคดีที่มีไทเฮาคอยช่วยเหลือ เจ้าต้องจำบทเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ดี”
“ลูกทราบแล้วเพคะ” อวี้อาเหราก้มหน้าลง
วาจาของหลิงอ๋องไม่ได้ไร้ซึ่งความหมายโดยสิ้นเชิง แม้ครั้งนี้นางจะถูกฉู่ป๋ายใส่ร้าย แต่ถ้าหากนางสามารถอดกลั้นต่อนิสัยหุนหันพลันแล่นของตัวเองได้ ก็คงไม่ติดกับเช่นนี้ ฉู่ป๋ายช่างรู้ถึงนิสัยของนาง จึงสามารถทำให้นางติดกับได้ หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเองแล้ว
อวี้อาเหราคิดอยู่สักครู่ เมื่อเห็นหลิงอ๋องไม่กล่าวอะไร นางจึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อได้เห็นสีหน้าลำบากใจของเขา ในใจของนางก็เข้าใจขึ้นมา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อมีเรื่องอะไรก็กล่าวออกมาเถิดเพคะ เราเป็นพ่อลูกกัน ไม่จำเป็นต้องลำบากใจถึงเพียงนี้”
“ดี ถ้าเช่นนั้นพ่อจะพูดตรงๆ” เมื่อหลิงอ๋องได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เอ่ยปากขึ้นอย่างหนักใจ “อีกไม่กี่วันก็จะถึงช่วงปีใหม่แล้ว จื้อเอ๋อร์ก็จะกลับมาจากค่ายทหารซีซาน พ่อรู้ว่าเจ้ามีเรื่องในใจกับอนุรองและเยียนเอ๋อร์ แต่เพื่อเห็นแก่ความทุกข์ยากของจื้อเอ๋อร์ที่ต้องพรากจากมารดาตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าก็ไปรับเยียนเอ๋อร์ออกมาจากหนานย่วนเถิด เมื่อจื้อเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าก็ทำดีต่ออนุรองเสียหน่อย อย่างไรเสียพวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรมีข้อบาดหมางต่อกันจึงจะดี”
ครอบครัวเดียวกัน? อวี้อาเหราสบถในใจ พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่นางไม่ใช่
หลิงอ๋องนั้นใจอ่อน หลังจากที่เขาตีอวี้จื่อเยียนแล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา นี่ก็คงจะเป็นอนุรองที่ไปเป่าหูอะไรเข้าให้อีก ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าอวี้จื่อเยียนใส่ร้ายนาง ขังนางไว้เพียงไม่กี่วันก็ปล่อยนางออกมาเช่นนี้ จะไม่เห็นแก่หน้านางเลยหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมาบ้าง
แต่นี่ไม่อาจแสดงออกให้เห็นทางสีหน้า นางพยายามที่จะยิ้มออกมา “หากเสด็จพ่อคิดถึงท่านพี่ เช่นนั้นก็ปล่อยนางออกมาเถิดเพคะ อีกอย่างเสด็จแม่เองก็สิ้นพระชนม์ไปนานหลายปีแล้ว เหลือเพียงลูกคนเดียว ลูกก็เคยชินเสียนานแล้ว เสด็จพ่อต้องการจะทำสิ่งใดก็ตามนั้นเถิดเพคะ ลูกคงพูดอะไรไม่ได้”
“ดูเจ้าสิ พูดอะไรอย่างนั้นกัน?” เมื่อหลิงอ๋องได้ยินนางพูดถึงพระชายาหลิงอ๋อง ในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
อวี้อาเหราก้มหน้าลง “ในเมื่อเสด็จพ่อตัดสินพระทัยแล้ว จะต้องมาถามลูกทำไมอีกเล่าเพคะ”
“หากพ่อตัดสินใจแล้ว ก็คงจะไม่มาถามเจ้าเช่นนี้ เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง เรื่องในเรือนหลังล้วนเป็นเจ้าที่เป็นผู้จัดการ ถ้าหากเจ้าไม่ยินยอม พ่อก็จะไม่ปล่อยตัวเยียนเอ๋อร์ออกมา เช่นนี้ดีหรือไม่” หลิงอ๋องเห็นท่าทีเศร้าโศกของนางแล้ว ก็รีบเปลี่ยนคำพูดในทันที