ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 497 เช็ดตัว / ตอนที่ 498 เทพสมชื่อ
ตอนที่ 497 เช็ดตัว
“เหตุใดถึงเหลือเจ้าเพียงแค่ผู้เดียวเล่า พวกต้าเว่ยไปไหนเสียแล้ว?” อวี้อาเหรายิ้มตอบอย่างอบอุ่น จากนั้นจึงค่อยพูดเรื่องที่อยู่ในใจ
ชิงอวิ๋นตอบว่า “พวกต้าเว่ยไปตรวจสอบเรื่องของอนุรอง คุณหนู ท่านเหนื่อยหรือไม่ขอรับ ข้าน้อยจะได้บอกคนให้เตรียมอาหารให้”
อวี้อาเหราเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นสุขุมมากขึ้นของชิงอวิ๋นก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ชิงอวิ๋นพูดคุยกับนางนั้นมักจะชอบหน้าแดงอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขาค่อยๆ กล้าหาญมากขึ้น คงจะคุ้นชินมากขึ้นไม่น้อย เมื่อเห็นเขาเป็นกังวลเช่นนี้ นางจึงยิ้มบางๆ “ข้าไม่เป็นไร แต่เป็นเพราะเรื่องพระแท่นวายุจันทรา ไทเฮาจึงต้องการให้ข้าเข้าวังไปเรียนรู้เรื่องศิลปะของสตรี ดังนั้นจึงต้องตื่นเช้ากว่าปกติ”
“อ้อ ถ้าคุณหนูไม่เป็นไรก็ดีแล้วขอรับ” ชิงอวิ๋นถอนหายใจหนักๆ
อวี้อาเหรามองท้องฟ้าด้านนอกที่มืดครึ้ม หลังจากต้องติดอยู่ในวังหลวงอยู่ชั่วขณะ เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไป อีกทั้งยังถูกอนุรองและอนุสามถ่วงเวลา ตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มดำมืดเสียแล้ว
เมื่อมาถึงเวลาอาหารเย็น นางที่กินปลาร้อนและนกมาหลายตัวแล้ว ก็ยังรู้สึกอิ่มจนท้องกาง
หากจะโทษก็ต้องโทษที่เนื้อเหล่านั้นอร่อยเกินไป เมื่อกินไปคำหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะกินอีกคำ วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยๆ
ดังนั้นนางจึงส่ายหน้ากับชิงอวิ๋น “ไม่ต้องหรอก ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเสียเถิด”
“ขอรับ” ชิงอวิ๋นไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก จากนั้นก็ออกไปตามคำสั่ง
อวี้อาเหราเห็นชิงอวิ๋นเดินจากไปแล้ว จึงค่อยเดินเข้าห้องของตัวเอง
เมื่อขึ้นเตียงแล้วนางก็ไม่อาจฝืนลืมตาได้อีก แม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะยังคงลอยอยู่เหนือท้องฟ้า แต่ลมก็พัดโชยจนทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ยกน้ำร้อนเข้ามาก็เห็นอวี้อาเหรานอนหลับบนเตียงไปแล้วโดยที่ไม่ถอดแม้แต่เสื้อออก เช่นนั้นก็พากันยิ้มอ่อนๆ แล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ
เจาเอ๋อร์ก้าวมาข้างหน้า “คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าจะนอน อย่ามากวนข้า” อวี้อาเหราโบกมือปัดอย่างรำคาญ ฝังใบหน้าลงบนหมอนไม่ยอมเงยขึ้นมา
เมี่ยวอวี้ลอบยิ้ม “คุณหนู เหตุใดถึงได้นอนเร็วนักเจ้าคะ บ่าวไปต้มน้ำชาเพียงไม่นาน ท่านก็หลับลึกถึงเพียงนี้ รีบลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ ใช้น้ำร้อนเช็ดตัวเสียหน่อย ร่างกายท่านไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว มักจะป่วยอยู่เสมอ หากไข้กลับขึ้นมาอีกจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“โอย เมี่ยวอวี้เหตุใดเจ้าถึงได้ขี้บ่นนัก” อวี้อาเหราฟังจนรู้สึกรำคาญ เช่นนั้นจึงรีบลืมตาขึ้นในทันที แล้วปีนลงจากเตียง จ้องมองเมี่ยวอวี้ด้วยดวงตาสะลึมสะลือ
เจาเอ๋อร์หมดคำจะเอ่ย “คุณหนู ข้าคือเจาเอ๋อร์ ไม่ใช่เมี่ยวอวี้เจ้าค่ะ”
ดังนั้นอวี้อาเหราจึงหันหน้าไปอีกด้าน “เมี่ยวอวี้ เจ้ากล่าววาจาอะไรเสียตั้งมากมาย จนข้าเถียงไม่ทันแล้ว ช่างร้ายกาจนัก”
“คุณหนู ลืมตาขึ้นเถิดเจ้าค่ะ อย่าจำคนผิดอีก หากท่านเช็ดตัวเสียหน่อยบ่าวก็จะไม่บ่นอีกแล้ว มิใช่หรือ” เมี่ยวอวี้ยิ้มอย่างอับจน มองอวี้อาเหราที่กึ่งกลับกึ่งตื่น ก็ไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนดี บางครั้งคุณหนูของนางนั้นก็มองดูปกติ แต่ทำไมบางครั้งจึงเปลี่ยนไปเป็นคนตลกถึงเพียงนี้เล่า?
เมี่ยวอวี้นิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยแย้มยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่นอกจากอวี้อาเหราจะไม่ยิ้มตอบ แต่กลับถูกจ้องมองกลับมาเสียอย่างนั้น
เมื่อเจาเอ๋อร์มองเห็นพวกนางถกเถียงกันเช่นนั้น ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “น้ำจะเย็นแล้ว คุณหนูท่านรีบเช็ดตัวเถิดเจ้าค่ะ เช็ดตัวแล้วจะได้นอน ดูสิร่างกายขของท่านเย็นถึงเพียงนี้ จะไม่สบายเอานะเจ้าคะ อีกสักครู่บ่าวจะเอาเตาอุ่นมือมาให้”
“อืม” อวี้อาเหราตอบรับเรียบๆ ลืมตาขึ้นเล็กน้อย แล้วหรี่ตาลงเพื่อหยิบผ้าในอ่างขึ้นมาเช็ดมือและล้างหน้า
ตอนที่ 498 เทพสมชื่อ
หลังจากที่เช็ดตัวเสร็จแล้ว อวี้อาเหราก็โยนผ้าเช็ดมือเปียกชื้นลงไปในอ่าง แล้วดึงผ้าห่มคลุมศีรษะก่อนจะนอนหลับไป
เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์เห็นแล้วก็หมดคำที่จะเอ่ย ยิ้มให้กันแล้วยกอ่างก่อนจะเดินออกไป
ในวันถัดมา ฟ้าเพิ่งจะสว่าง เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ก็มาเรียกนางให้ตื่นนอน แม้ว่าใจของอวี้อาเหราจะไม่อยากตื่น แต่ก็ไม่กล้าขัดพระประสงค์ของไทเฮา ในช่วงเวลานี้ นางนอนหลับอยู่ในจวนหลิงอ๋องจนถึงตะวันสายโด่ง ยากเหลือเกินที่จะตื่นเช้าได้ นางสะลึมสะลือ ปล่อยให้เจาเอ๋อร์และอวี้อาเหราเปลี่ยนเสื้อผ้า
เจาเอ๋อร์เบ้ปากออกมาอย่างขุ่นเคือง “คุณหนู อีกสักครู่ต้องนั่งรถม้าแล้วเข้าวังไปพบไทเฮาแล้วนะเจ้าคะ อย่าทำทีง่วงเหงาหาวนอนไปหน่อยเลย หากเข้าวังไปแล้ว ไทเฮาเห็นแล้วคงจะไม่พอใจแน่นะเจ้าคะ”
“ข้ารู้แล้วน่า” แม้อวี้อาเหราไม่ชอบฟังนางบ่นว่า แต่นางก็พูดเรื่องจริง เพราะเจาเอ๋อร์รู้ถึงนิสัยนางดี คนที่นางจะพบในอีกไม่นานนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงไทเฮา และจำต้องชื่นชมไทเฮาพระองค์นี้เสียเหลือเกิน แม้จะอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่ยอมชรา ยังอยากที่จะจัดการการแต่งงานของพวกนาง แล้วยังสอนศิลปะสตรีอะไรอีก แค่คิดก็เหนื่อยเสียแล้ว
นางนิ่งคิดไปสักพัก ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ จึงค่อยหันไปถามเจาเอ๋อร์ “เจ้าบอกว่าอีกสักครู่จะต้องเข้าวังไปพบไทเฮา หรือว่าข้าจะไม่ได้กินข้าวเช้าอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ ไม่ได้กิน” เจาเอ๋อร์พยักหน้า มองไปที่ใบหน้าของอวี้อาเหราที่ได้ยินแล้วก็ทำหน้ายุ่งขึ้นมา รีบอธิบายขึ้นมาในทันที “ปกติไทเฮาจะตื่นพระบรรทมเร็ว อีกอย่างกว่าจะอาบน้ำแต่งตัว กว่าจะเดินทางเข้าวัง จำต้องใช้เวลามาก หรือคุณหนูจะรอให้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วค่อยออกเจ้าคะ? หากเป็นเช่นนั้นไทเฮาคงไม่พอใจแน่ ดังนั้นไปเช้าหน่อยจึงจะดีนะเจ้าคะ”
“ก็ได้” อวี้อาเหราลูบท้องของตัวเอง “แต่ว่าข้าก็หิวนี่”
“อีกสักพักบ่าวจะนำของว่างขึ้นรถไปด้วย หากคุณหนูหิวก็ทานรองท้องไปก่อน เมื่อเข้าวังแล้วบ่าวจะไปที่ห้องเครื่องแล้วนำอาหารมาให้ คงใช้เวลาไม่นานหรอกเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ว่าขึ้นมาเป็นฉากๆ เพราะไม่อยากให้อวี้อาเหราต้องลำบากใจ
“ก็ได้” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง แล้วยิ้มอย่างดีอกดีใจ
หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้ว เพราะอาการก็ยังหนาวเย็น ยังคงสวมชุดดอกเหมยแดงตัวเดิม สง่างามและงดงาม เพียงแต่ผัดหน้าหนักไปหน่อย จนทำให้ดูขาวมากกว่าปกติอยู่บ้าง หลังจากจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้วอวี้อาเหราก็มองกระจกด้วยความพอใจ ตอนนี้นางก็ยังคงแสร้งทำเป็นป่วยอยู่ ดีที่นางยังคงกินยาเม็ดใจดอกพุดตานเจ็ดห้อง จึงทำให้ดูผอมแห้งซูบซีดกว่าปกติ แต่นางก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติตรงไหน
ยานี้ ช่างเทพสมชื่อ!
เจาเอ๋อร์เห็นแล้วก็ลังเล “คุณหนูทานยาอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดสีหน้าจึงดูย่ำแย่นัก? ท่านกล่าวว่าเพียงแต่แกล้งป่วยเท่านั้นมิใช่หรือ?”
อวี้อาเหราและเมี่ยวอวี้มองหน้ากัน ไม่กล่าววาจาอะไร
“คุณหนู” เจาเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติระหว่างพวกนางทั้งสอง จึงถามอย่างไม่ลดละ “พวกท่านมีอะไรที่ข้าไม่รู้หรือ รีบบอกบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
“เมี่ยวอวี้ เจ้าบอกนางเถิด” อวี้อาเหราขี้เกียจอธิบาย โยนปัญหาให้เมี่ยวอวี้ตอบ
เมี่ยวอวี้จึงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้นางฟังอย่างละเอียด เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วเจาเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วมองอวี้อาเหราด้วยความตกใจ “คุณหนู ท่านช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้าที่จะหลอกไทเฮาเช่นนี้ได้ ท่านกินยาที่เซิ่นซื่อจื่อให้มาจริงๆ หรือ? แต่ดูแล้วก็เหมือนป่วยจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยเจ้าค่ะ!”
“กินไปแล้ว” อวี้อาเหราเลิกคิ้ว “หากยาของเขาไม่ดีจริงข้าคงไม่ซื้อหรอก”