ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 651 มีเรื่องจะพูด / ตอนที่ 652 ไม่โกรธแล้ว
ตอนที่ 651 มีเรื่องจะพูด
หานสือเดินผ่านทางนี้พอดี เมื่อเห็นพวกนางบุกเข้ามาเช่นนี้ มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นมาในทันที จึงเดินไปหา แล้วทำความเคารพนาง “ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง”
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้?” อวี้อาเหราชะงักอย่างสงสัย
“เมื่อวานนี้ซื่อจื่อตรัสเอาไว้ว่าวันนี้ให้ข้าน้อยไปรับท่าน แต่ไม่คิดว่าท่านจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เราเข้าไป”
อวี้อาเหราเคลื่อนย้ายสายตาออกไปจากร่างของหานสือ
หานสือจำต้องเดินตามนางไป
คุณหนูรองหลิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ตามที่เขาเข้าใจ แน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องซื่อจื่อแน่
หลังจากเดินมาสักครู่ ก็มาถึงห้องของฉู่ป๋าย
เมื่อเดินเข้าไปแล้ว ก็มองเห็นคนสองคนนั่งอยู่ข้างเตาไฟ คนหนึ่งคือฉู่ป๋ายที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม อีกคนหนึ่งแน่นอนว่าคือฉู่เกอแน่ ทว่านางกลับก้มหน้า ใช้ที่คีบเหล็กเขี่ยไฟในเตาผิง ไม่สนใจสิ่งใด
อวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เพราะฉู่เกอมองเห็นฉากที่อวี้จื้อดูดพิษออกจากนิ้วมือให้นาง คงจะเข้าใจผิดเป็นแน่
“ซื่อจื่อ จวินจู่น้อย คุณหนูรองหลิงและนายน้อยสามมาแล้วขอรับ” หานสือก้าวเข้ามารายงาน
“อ้อ?” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วขึ้น สายตามองอย่างตกใจ “มาเร็วถึงเพียงนี้เชียว?”
“เป็นคุณหนูรองมาด้วยตัวเองขอรับ” หานสือตอบไปตามความจริง
ไม่ต้องบอก ในใจของฉู่ป๋ายก็เข้าใจขึ้นมา ปรายตามองอวี้จื้อที่อยู่ข้างกายของอวี้อาเหรา มีท่าทีไม่ยินดีอย่างชัดเจน
ฉู่เกอได้ยินเสียง มือที่เขี่ยไฟอยู่ก็หยุดชะงักในทันที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตกใจ สายตาสว่างไสวขึ้นมา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นมืดมัว มองไปทางอวี้อาเหรา แล้วพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่พอใจ
“พี่เหราเอ๋อร์วันนี้มาถึงจวนเซิ่นอ๋องของพวกเรา กว่านายน้อยสามจะกลับมาจากค่ายทหารซีซานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ควรจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเสียยังจะดีกว่า”
น้ำเสียงเยาะเย้ยในคำพูดนั้น สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
“เกอเอ๋อร์” ฉู่ป๋ายเรียกนางเอาไว้ แล้วมองไปทางอวี้อาเหรา “เจ้าจะมาก็มา แต่จะพาคนข้างๆ มาทำไม”
“หากไม่พาน้องชายของข้ามา แล้วจะให้ข้าพาจวินอู๋เหินมาหรืออย่างไร?” อวี้อาเหรากลอกตา
สองพี่น้องคู่นี้ทำไมต้องทำท่าไม่ชอบใจอวี้จื้อถึงเพียงนี้? แม้ว่าในใจจะไม่ชอบ อย่างไรเสียเมื่ออยู่ต่อหน้าก็ควรที่จะแสร้งทำเสียหน่อย มิเช่นนั้นแล้วก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดได้ อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะทำท่ารังเกียจอนุรองและอวี้จื่อเยียนถึงเพียงนี้ ทำไมถึงมีท่าทีเช่นนี้ต่ออวี้จื้อเพียงผู้เดียว
หรือว่าเป็นเพราะฉู่เกอนั้นมีความรู้สึกต่ออวี้จื้อ…ดังนั้นพี่ชายเช่นเขาจึงไม่ชอบขึ้นมาหรือ?
นางหัวหมุน คิดไม่ออกว่าจะต้องทำอย่างไร
ฉู่ป๋ายชะงัก “หากเจ้าพาจวินอู๋เหินมาด้วย คงจะต้องไล่เจ้าทั้งคู่ออกไปจากจวนเสีย”
“เจ้า!” อวี้อาเหราโกรธขึ้นมา ทว่ากลับถูกเจาเอ๋อร์ดึงมือเอาไว้ ปลอบให้นางพูดดีๆ
เมื่อคิดว่ายังมีเรื่องที่จะต้องถามเขา นางก็ยิ่งไม่ยินดีมากยิ่งขึ้น
มองฉู่ป๋ายอย่างพิจารณา นางจะพาใครมาด้วยเขาก็คงไม่พอใจหรอก
ชั่ววินาทีที่นางอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาใจแคบเหลือเกินหรือเปล่าที่ทำต่อนางเช่นนี้
บรรยากาศตึงเครียด ไม่มีใครพูดออกมา อวี้จื้อก็มองไปทางฉู่เกอ ทันใดนั้นก็เอ่ยปากขึ้น “เจ้าออกมาหน่อย ข้ามีเรื่องที่จะพูดกับเจ้า”
“มีเรื่องอะไร” ฉู่เกอถามขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย เขาไม่เคยพูดกับนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วทำไม…
“ออกมาก่อนแล้วจะบอก” อวี้จื้อทำตัวมีพิรุธ แล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
ฉู่เกอหรี่ตาลงแล้วก้าวเท้าเดินออกไป
ฉู๋ป๋ายหน้าตึง “หยุดนะ ใครให้เจ้าออกไปกัน”
ทั้งสองกำลังจะออกไปพูดคุยกันด้านนอก เขารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เขาไม่ต้องการให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกันเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 652 ไม่โกรธแล้ว
“ท่านพี่ ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานก็จะกลับมาแล้ว” เมื่อฉู่เกอเห็นอวี้จื้อเรียกตัวเองเช่นนี้ ในใจของนางก็แทบจะโผบิน ไหนเลยจะสนใจคำพูดของฉู่ป๋าย และไม่สนใจว่าเขาจะพอใจหรือไม่ รีบเดินตามไปทันที ทิ้งให้พี่ชายหายใจฮึดฮัดอย่างโมโห
“พวกเจ้าออกไปก่อน” อวี้อาเหรามองไปทางเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ บอกให้พวกนางทั้งสองออกไป
เมื่อทั้งสองเดินออกไปแล้ว อวี้อาเหราก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า ยิ้มแล้วเอ่ยปากว่า “เซิ่นซื่อจื่อ ดูท่าแล้ว ในสายตาของน้องสาว เจ้าคงจะมีเสน่ห์น้อยกว่าน้องสามของข้ากระมัง”
“สู้เขาไม่ได้หรือ?” ฉู่ป๋ายหัวเราะเบาๆ ถือโอกาสตอนที่นางยังไม่ทันระวัง ยื่นมือออกไปคว้าเอวของนาง “แล้วทำไมข้าจะต้องไปเทียบตัวเองกับเขาด้วย เมื่อครู่นี้ได้ยินว่าเจ้าจะพาจวินอู๋เหินมาที่จวนของข้า เจ้านี่ช่างกล้าพูดนัก หากต้องการที่จะยั่วโมโหข้าจริงๆ ข้าก็จะไล่พวกเจ้าทั้งสองออกไปจากจวนของข้าเสียเลย”
เมื่อยามที่เขาพูดขึ้นมา ลมหายใจร้อนๆ ของเขาก็ค่อยๆ รินรดบนร่างกายของนาง
“ออกไป” อวี้อาเหราตบแรงๆ ลงไปที่หลังมือของเขา พยายามที่จะขัดขืนเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมอกของเขา ลูบคอตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อครู่นี้ถูกฉู่ป๋ายใช้เสน่ห์ล่อลวง ตอนนี้จึงรู้สึกกระวนกระวายใจ แล้วกลอกตาใส่เขาอย่างสุดกลั้น “เจ้าก็ลองไล่ข้าออกไปดูสิ”
“ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่ในใจนั้น…” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายเปลี่ยนไป แล้วเสียงก็ทุ้มลง “แต่ใจของข้าก็ทำไม่ลง”
อวี้อาเหราแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดเสียแล้ว คำพูดหวานเลี่ยนออกมาจากปากของเขาเช่นนี้ ทำไมจึงฟังแล้วอยากจะหัวร่อนัก ขนทั่วทั้งร่างกายลุกชันไปหมด ลมหนาวเย็นพัดผ่านแผ่นหลัง ช่างทำให้ใจสั่นยิ่งนัก
เป็นเพราะนางฟังผิดหรืออีกฝ่ายพูดผิดเจตนากันแน่เล่า
จะเป็นไปได้อย่างไร คำพูดเช่นนี้
อวี้อาเหรารู้สึกว่าร่างกายกำลังกระวนกระวายไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อลูบไล้ก็รู้สึกมือเท้าเย็นไปหมด
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฉู่ป๋ายเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนของนางเข้าก็ชะงัก
อวี้อาเหราพยายามที่จะยกยิ้ม “เจ้าแก่แล้ว ไม่ควรพูดเช่นนี้ มิเช่นนั้นคนอื่นเขาจะตกใจเอา”
“แก้? ข้าน่ะหรือแก่? ข้าอายุมากกว่าเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เอาที่ไหนมาแก่กัน” ฉู่ป๋ายได้ยินดังนั้น กลับจับประเด็นไปในทางอื่นเสีย
อวี้อาเหราจึงค่อยตระหนักถึงช่องว่างระหว่างวัยของพวกเขาทั้งสอง แท้ที่จริงแล้วพวกเขานั้นไม่ใช่คนในยุคเดียวกันด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการพูดเจรจาต่อกันย่อมมีปัญหา นางพูดว่าแก่นั้นเป็นเพียงการล้อเล่น ทว่าเมื่อเห็นหน้าเขาที่กำลังอธิบายเรื่องอายุของตัวเองอย่างจริงจัง นางก็หลุดหัวเราะออกมา
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ว่าเขาช่างน่าขันนักเชียว
เมื่อเห็นนางหัวเราะ ฉู่ป๋ายก็หน้าตึงขึ้นมาในทันที “เจ้าหัวเราะอะไรอีก?”
“เปล่าเลย ไม่ได้หัวเราะเสียหน่อย” อวี้อาเหราไม่กล้าบอกความคิดของตัวเองให้เขาฟัง เพราะไม่อยากให้เขาจะต้องโกรธ นางพยายามที่จะหุบรอบยิ้มของตัวเองเอาไว้
ยิ่งนางทำเช่นนั้น ฉู่ป๋ายก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้น
“พี่เหราเอ๋อร์ กำลังหัวเราะอะไรอยู่น่ะ?”
ในยามนั้น ทั้งสองคนที่พูดคุยกันเรียบร้อยแล้วก็เข้ามา ฉู่เกอเดินเข้ามาถามอย่างแปลกใจ
อวี้อาเหราชะงัก เมื่อมองเห็นฉู่เกอที่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า จึงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าไม่โกรธแล้วหรือ?”
“ไม่แล้วล่ะ” ฉู่เกอหัวเราะแล้วส่ายหน้า มองไปทางอวี้จื้อ “เมื่อครู่นี้พวกเราคุยกันแล้ว เป็นข้าเองที่เข้าใจพวกท่านผิดไป ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าผิดไป ขอให้พี่เหราเอ๋อร์อภัยด้วย”
“ไม่เป็นไร ในเมื่อเข้าใจว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ดีแล้ว” อวี้อาเหราโบกมืออย่างไม่ติดใจ
ฉู่เกอยังคงไม่ลืมเรื่องที่นางเข้ามาเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ สาดสายตาแห่งความสงสัยเข้าใส่ร่างของอวี้อาเหรา “เมื่อครู่นี้พวกท่านคุยอะไรกัน ให้ข้าฟังบ้างสิ พี่เหราเอ๋อร์ ท่านบอกข้าหน่อย”