ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 699 ไปลงนรกเสีย / ตอนที่ 700 เหราเอ๋อร์
ตอนที่ 699 ไปลงนรกเสีย
“ไม่ต้องพูด” อวี้อาเหราเอ่ย พิงไหล่ของเขาพลางร้องไห้ออกมา น้ำตาของนางไหลไม่หยุด จนทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกซึม เสียงร้องไห้ที่แทบจะไม่ได้ยินนั้น ค่อยๆ ดังขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อฉู่ป๋ายเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ปล่อยให้นางกอดเอาไว้
ราวกับโลกทั้งโลกมีเพียงเขาและนางเท่านั้น
ลมกลางคืนที่เย็นเฉียบพัดผ่านเสื้อผ้าบางๆ ของคนทั้งสอง
อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับร้องไห้เสียจนเหนื่อย เสียงร้องไห้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเบาลงเรื่อยๆ
เอวของฉู่ป๋ายถูกกอดเสียจนแน่น ร่างทั้งร่างก็แข็งค้างอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจที่จะผลักนางออกไป เมื่อนางร้องไห้จนไร้เสียงแล้ว เขาจึงกล้าที่จับไหล่ของนาง ค่อยๆ ก้มลงไปมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของนาง ดวงตาบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับลูกพุทราแดงไม่มีผิด
เมื่อฉู่ป๋ายมองแล้ว ก็จำต้องนิ่งไป
อวี้อาเหราเป็นคนเข้มแข็ง นางไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่น้อย หากนางร้องไห้ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
เพียงไม่นานก็สังเกตเห็นถึงเสื้อผ้าบนร่างของนาง สภาพเช่นนี้ก็ราวกับถูกฉีกกระชากก็ไม่ปาน ทั่วทั้งกายนางก็ร้อนผ่าว ราวกับโดนช้อนออกมาจากหม้อต้มร้อนๆ อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาของเขาจ้องมองไปทั่วร่าง สายตาของเขาก็ยิ่งเพิ่มความหนักหน่วงจนสีหน้าก็ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงถามขึ้นมาว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นอะไร”
“ข้า…” อวี้อาเหราไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร
ฉู่ป๋ายสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ ใบหน้าก็ยิ่งเข้มขึ้น “เป็นหนิงจื่อเย่หรือที่ทำเจ้า?”
“ไม่ใช่” อวี้อาเหรารีบส่ายหน้าในทันที
“หากเจ้าไม่พูด ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้” ฉู่ป๋ายพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“อย่านะ ฉู่ป๋าย” อวี้อาเหราส่ายหน้าอย่างเต็มที่ “ไม่ใช่เขาจริงๆ เป็น…”
“เป็นใคร?” ฉู่ป๋ายชะงักไปในทันที
“เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ข้าไม่อยากพูดถึงอีก…” อวี้อาหราไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อีกแล้ว หากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เหมือนจมอยู่ในฝันร้าย เมื่อฉู่ป๋ายยังคงไล่ถาม น้ำตาของนางก็ไหลนองใบหน้าอีกครั้ง หากเป็นในสถานการณ์ปกติ นางคงจะไม่ยอมที่ที่จะเผยใบหน้าร่ำไห้ให้เขาเห็นแน่ ทว่าตอนนี้นางไม่สนใจเรื่องอะไรอีกต่อไปแล้ว
รู้ได้เลยว่า ยามที่นางถูกจวินจื่อหร่านบีบบังคับนั้น ในใจของนางคงจะตื่นกลัวเป็นอย่างมาก
ขอเพียงได้อยู่ในอ้อมอกของเขา นางจึงค่อยๆ รู้สึกไว้วางใจขึ้นมา
นางไม่มีความรู้สึกต่อต้านกลิ่นกายของเขา ทั้งยังรู้สึกอาวรณ์เสียเหลือเกิน
“ได้ ข้าไม่ถามแล้ว” ฉู่ป๋ายได้ยินเสียงร้องไห้ของนางก็รับรู้ได้ถึงความตึงเครียดในอารมณ์ของนาง หากไม่ใช่หนิงจื่อเย่แล้ว หรือว่าจะเป็น… สายตาของเขาค่อยๆ หันไปมองทางเรือนพักของจวินจื่อหร่าน
จวินจื่อหร่าน
สายตาของเขาก็ค่อยๆ อับแสงลง จนดำมืดน่าหวาดกลัวยิ่งนัก เหมือนกับสระน้ำดำมืดไม่มีผิด
เขาลูบหลังของอวี้อาเหราอย่างแผ่วเบา เพื่อปลอบประโลมโดยไร้เสียง
เมื่ออวี้อาเหราถูกปฏิบัติเช่นนี้ นางก็รู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
แย่แล้ว นางก่นด่าในใจ ยามนี้นางกอดฉู่ป๋ายเอาไว้ ราวกับภูเขาน้ำแข็งไม่มีผิด จนทำให้นางอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปอีกก้าว นางไม่เคยต้านทานแรงดึงดูดจากเขาได้เลย แม้นางจะกอดเขาแน่นแล้ว แต่ก็ต้องกอดให้แน่นเข้าไปอีก แต่นางก็ยังพยายามที่จะเข้าไปใกล้อีก พยายามที่จะควบคุมความร้อนแรงของตัวเองเอาไว้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์
สติสัมปชัญญะของนางนั้น ได้ถูกขว้างทิ้งไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว
สติสัมปชัญญะอะไรกัน ลงนรกไปเสียเถิด!
อวี้อาเหราคิดเช่นนี้ พิงกายของเขา เบียดกายเข้ากับร่างของเขา
ฉู่ป๋ายสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของร่างกายของนาง นางยิ่งกอดรัดเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะรัดเขาให้แน่นไปจนถึงกระดูก
อีกทั้งยังลูบไล้นวดคลึงร่างกายของเขา ใบหน้าของฉู่ป๋ายก็เริ่มแดงซ่านขึ้นมา
สติหายเข้าไปในม่านหมอก และยังมีหมอกบางๆ คลุมเข้าไปอีกชั้น
มือของอวี้อาเหราคลายออกจากเอวของเขา ก่อนจะคว้าเข้าที่สาบเสื้อด้านหน้า ราวกับกลัวว่าเขาจะหายจากไป ท่าทีของนางทั้งระมัดระวังและเร่งร้อนรอไม่ไหว นางต้องการที่จะดึงสติสัมปชัญญะของตัวเองกลับมา แต่อย่างไรก็หาไม่พบ และตอนนี้นางก็ไม่อยากจะไปหาที่ไหนแล้ว
ตอนที่ 700 เหราเอ๋อร์
นางมองเขา พลางส่งเสียงครางต่ำ
น้ำเสียงครางต่ำนี้ ทำให้สีหน้าของฉู่ป๋ายเปลี่ยนไปในทันที
ร่างนางเครียดขมึงเหมือนคันธนูแข็งๆ
พวกเขายืนอยู่บนถนนสายเล็กๆ สองข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นป่าไม้ รัตติกาลยิ่งมืดดำ จนไม่มีใครออกมาเดินเลยแม้แต่น้อย
นางต้องการ…นางต้องการ ต้องการจริงๆ
ฉู่ป๋ายพยายามที่จะควบคุมสติให้เย็นลง แล้วเอ่ยกับนางด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าจะไปส่งเจ้ากลับจวน”
“ไม่…” ไหนเลยอวี้อาเหราจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป เมื่อคิดถึงเหตุการณ์แสนเศร้าเมื่อครู่ ตอนนี้ร่างกายของนางร้อนดังถูกไฟสุม ต้องอยู่ติดแนบร่างกับเขาเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยแก้ไขได้ แล้วนางจะปล่อยเขาไปได้อย่างไรกันเล่า?
เมื่อเทียบกับยามที่นางอยู่กับจวินจื่อหร่านแล้ว ก็ไม่เหมือนกับฉู๋ป๋ายเลย ที่นางยินยอมพร้อมใจ
มองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เข้าไปกอดร่างของฉู่ป๋ายเอาไว้อย่างแน่นหนา ฉู่ป๋ายไม่อิดออด ทั้งสองกอดกันแล้วกลิ้งเข้าไปในป่า ทั่วทั้งบริเวณมืดสลัว ตอนนี้อวี้อาเหราปวดหัวไปหมด อีกทั้งการโดบบีบบังคับเมื่อครู่นี้และตอนนี้นางก็ไม่รู้ตัวเลยว่าอยู่ที่ใด นางจึงกล้าหาญมากยิ่งขึ้น
และยังคงคว้าคอเสื้อของฉู่ป๋ายต่อไป
ฉู่ป๋ายมองท่าทีของนางแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันขึ้นมา “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
อวี้อาเหรามองเขาอย่างสำรวจ ก่อนจะปีนป่ายขึ้นบนร่างของเขา แล้วออดอ้อนขึ้นมา “ข้าไม่ไหวแล้ว ฉู่ป๋าย ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ยอมก็ตาม”
ฉู่ป๋ายยิ่งหัวเราะเข้าไปกันใหญ่ เขาเพิ่งเคยถูกคนข่มขู่ถึงเพียงนี้
ต่อมาอวี้อาเหราก็ถอดเสื้อผ้าของเขา รอบข้างมืดสนิทจนมองไม่เห็น นางจำต้องปัดป่ายไปทั่ว เพราะว่าถอดไม่ออก ตอนนั้นนางก็เกือบจะร้องไห้ออกมาเสียแล้ว นางไม่สนใจอะไรอีก จึงก้มหน้าลงไปปัดป่ายไปทั่วเพื่อจูบเขา
นางไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรไป รู้แต่ว่านางต้องการเขา ต้องพึ่งเขา เขาเท่านั้น
“เหราเอ๋อร์…” ในความมืด เพียงชั่วพริบตาเขาก็คว้ามือของนางที่ปัดป่ายไปทั่วไว้ได้ ก่อนจะใช้น้ำเสียงแผ่วเบาถามนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไร?”
“ข้าไม่สน” อวี้อาเหรารีบส่ายหน้าในทันที ไม่สนใจคำพูดของเขา ยังคงสนใจแต่เรื่องที่ตัวเองต้องการเท่านั้น
“เหราเอ๋อร์” ฉู่ป๋ายเรียกขึ้นมาอีกครั้ง นางไม่สนใจเขาเช่นเดิม สนใจแต่จะฝังศีรษะของตัวเองเข้าไป
อวี้อาเหราได้ยินเขาเรียกนาง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะนึกรำคาญ แต่ที่มากกว่าก็คือความเย้ายวน เย้ายวนไปถึงใจของนาง ในชั่ววินาทีนั้นนางอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว เขาไม่รู้หรือว่าน้ำเสียงของเขานั้นน่าฟังและมีเสน่ห์มากเพียงใด?
เป็นเขาที่หาเรื่องเอง
อวี้อาเหราหาข้ออ้างที่ตัวเองทำเรื่องอุกอาจถึงเพียงนี้ได้แล้ว
หากเมื่อนางรู้ตัวแล้วรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เมื่อตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ แล้วรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คงจะอายเสีจนไม่อยากพบหน้าฉู่ป๋ายไปทั้งชีวิตแน่
“เหราเอ๋อร์ อย่าทำอะไรส่งเดช” ฉู่ป๋ายตามคว้ามือของนาง แล้วกอดนางเอาไว้เสียแน่น ไม่ยอมให้นางทำเรื่องอะไรส่งเดช เมื่อเห็นดังนั้นอวี้อาเหราที่ไม่อาจลูบไล้เขาได้ ทั่วทั้งร่างของนางก็รู้สึกเกินที่จะรับ ความร้อนผ่าวครอบคลุมร่างของนางไปทั้งร่าง จนทำให้ไม่สามารถที่จะคลองสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้เลย ทำได้แต่เพียงพยายามที่จะมุดเข้าหาอ้อมกอดของฉู่ป๋าย
ยากเหลือเกินที่จะยอมรับ
ฉู่ป๋ายจะหลบไปไหนกันเล่า?
หรือว่า กุลสตรีเช่นนางทำให้เขาต้องลำบากใจ?
นางจำต้องถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ มองท่าทีนิ่งสงบของอีกฝ่าย นางก็นึกสงสัยว่าเสน่ห์ของนางคงไม่พอ ตอนนี้นางไม่สนเรื่องอะไรแล้ว รีบก้าวไปข้างหน้า พร้อมทั้งพยายามที่จะแก้ผ้าคาดเอวของเขาออก
จะขี้เหนียวทำไมกัน หากจะพูดกันแล้ว เป็นนางต่างหากเล่าที่ขาดทุน!
ทำไมจึงทำเหมือนนางเป็นหญิงสาวแสนขี้เหร่และอัปลักษณ์ อุตส่าห์ส่งมาถึงหน้าประตูแล้วไม่เอาหรือ? เป็นเพราะนางบังคับเขาเกินไปหรือว่าอีกฝ่ายไม่ยอมกันแน่?