ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 513 หลี่ว์ซู่หมัดเหล็ก
หลี่ว์ซู่หมัดเหล็ก
“นี่นายเป็นใครกันแน่” มิยาซากิถาม คิ้วขมวดแน่น
หลี่ว์ซู่นิ่งแล้วคิด ทำไมคนอื่นชอบถามแบบนี้กันจังนะ จะตอบไปว่าไงดีล่ะรอบนี้
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดสองวินาทีก่อนตอบ “ผมก็คือชายเปี่ยมพรสวรรค์ผู้งามสง่าในตำนานไงล่ะ เอ่อ… ไม่ค่อยเข้าท่าแฮะ เอาเป็นว่าเรียกผมว่าหมัดเหล็กแดนมังกร!”
“… นายว่าไงนะ!”
[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +999!]
เธอพูดต่อ “แต่เมื่อกี้นายก็ไม่เห็นจะใช้หมัดเลยนี่”
“???”
อุวะ ก็ไม่ได้หมายความตามนั้นเป๊ะๆ สักหน่อย!
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะคิดคำอธิบายออก มิยาซากิก็ดึงด้ายแวววับสีเงินเส้นบางออกมาจากเรือนผมแล้วจู่โจมเข้าไปที่หลี่ว์ซู่ เขาเอี้ยวตัวหลบการโจมตีของหล่อน ทำให้ด้ายเหวี่ยงไปโดนกำแพงด้านหลังเป็นรอย ปรากฏให้เห็นชั้นกันเสียงและเหล็กกล้าใต้กำแพงนั่น!
หลี่ว์ซู่ทึ่งกับมาตรการป้องกันที่แน่นหนา ถึงว่าทำไมคนข้างในไม่ได้ยินอะไรเลยตอนหลี่ว์ซู่เคาะประตู
ชั่วขณะต่อมา ผีเสื้อเงินตัวหนึ่งโผออกมาจากด้าย มันบินสะบัดปีกเป็นคลื่นฝุ่นสีเงินพุ่งตรงมาที่หลี่ว์ซู่ เขารีบแปรธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นกำแพงป้องกันตัวเองทันที!
อาวุธของมิยาซากิเป็นวัตถุวิญญาณนี่เอง!
ในขณะที่หลี่ว์ซู่วุ่นกับการป้องกันผีเสื้ออยู่นั้น มิยาซากิก็พุ่งตัวไปที่โต๊ะทำงานของคุริยามะ หลี่ว์ซู่ไม่ยอมให้เธอไปถึงตรงนั้นหรอก สังเกตจากที่เธอรีบวิ่งไปขนาดนี้ มันจะต้องมีปุ่มฉุกเฉินซ่อนอยู่ในโต๊ะแหง!
มิยาซากิประเมินธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ว์ซู่ต่ำไปเสียแล้ว พลังของเขาแข็งแกร่งขนาดทำให้ห้องนี้น้ำท่วมได้ง่ายๆ เชียวนะ!
และในชั่วพริบตา ธารน้ำก็แผ่เป็นข่ายน้ำขยายกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว หมายจะดึงมิยาซากิให้ติดกับ งูสีทองของเขาพุ่งเลื้อยไปจู่โจมคอมิยาซากิเร็วอย่างกับสายฟ้า!
คลื่นพลังจิตวิญญาณของมิยาซากิไหลออกมาเป็นอาหารอันโอชะของเจ้างูสีทอง เธอยอมแพ้แล้ว ป้องกันตัวไม่ได้อีกต่อไป ดวงตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้นและสิ้นหวัง
[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +1000!]
คราวนี้หลี่ว์ซู่เผยตัวตนที่แท้จริงไปเพื่อแลกกับศิลาวิญญาณจำนวนหลักหมื่น แต่กระนั้นเขาก็ต้องรายงานกับเนี่ยถิงไปว่าเขาสังหารพวกระดับ C ไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมไปถึงลูกน้องของทาคาชิมะ ทาอิรัตสึถึงสองคนด้วย ก็เลยต้องเข้าไปคลุกวงในกับพวกทวยเทพ
นั่นถึงจะฟังดูเข้าท่า แต่ก็นะ เขาเองก็อยู่ระดับ C เหมือนกัน
พวกทวยเทพโดนไปซะเละที่โบราณสถานเกาะช้าง แต่เสียใจด้วย นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก
ส่วนเรื่องศิลาวิญญาณ… เฮ้ย ศิลาอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย มันคืออะไรหนอ หึๆ
นอกจากเรื่องต่อสู้แล้ว เขาตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแพ้เรื่องของที่อุตส่าห์ตรากตรำหามาด้วยความยากลำบากหรอก
แต่ถ้าสถานการณ์จวนตัวเข้าจริงๆ เขาจะยอมสละศิลาสักร้อยเม็ดก็ได้ โชว์เหนือหน่อยว่ารวยขนาดไหน
หลี่ว์ซู่ทำความสะอาดพื้นที่ต่อสู้เพื่อทำลายหลักฐานอย่างระมัดระวัง เขาไม่ได้แตะในตู้หรือลิ้นชักเลย ดูจากที่มิยาซากิรีบวิ่งไปที่โต๊ะขนาดนั้น เขาคิดว่ามันอาจจะมีกับดักหรือสัญญาณเตือนดังขึ้นมาก็ได้ เขายังไม่อยากโดนจับได้ตอนนี้
ในระหว่างนั้น หลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นว่างูสีทองของเขาดูสนอกสนใจอาวุธของมิยาซากิพอตัว หลังจากเจ้าของหายไป เจ้าผีเสื้อเงินก็กลับเข้าไปในโซ่ แล้วงูของเขาก็สูดโซ่เข้าไปราวกับคนสูดบะหมี่เข้าปาก จนในที่สุดท้องของมันก็ป่องนูน
พอถึงตรงนี้หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกหิวขึ้นมา…
หลี่ว์ซู่ได้งูสีทองนี่มาตอนที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ดูดกลืนดาบคาตานะของโนกิวะ ฮากุชุนเข้าไป เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะถ้าเจ้างูนี่เขมือบอาวุธวิญญาณชิ้นอื่นเข้าไปอีก
ผ่านไปสักพัก หลังจากเจ้างูกินจนพอใจแล้ว ขนาดตัวของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม!
“ไม่จริงน่า งูนี่กินอาวุธวิญญาณเป็นอาหารงั้นเหรอ!” หลี่ว์ซู่อึ้ง อาวุธวิญญาณนี่เป็นที่ต้องการสุดๆ เลยนะ แถมยังไม่ค่อยมีขายในตลาดด้วย
ตอนที่เจ้างูกินอาวุธธรรมดาเข้าไป มีแค่ระดับของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้น แต่พอมันกินอาวุธวิญญาณเข้าไป กลับเป็นเจ้างูเองที่เปลี่ยนแปลง
ตอนนี้เจ้างูนี่ก็ตัวใหญ่พอจะขย้ำชูริเคนเข้าไปได้คำแล้ว ไม่ต้องค่อยๆ แทะทีละนิดเหมือนแต่ก่อน!
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… เจ้างูนี่จะขายได้เท่าไหร่กันนะ หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด ถ้ามีโอกาสก็เอาอาวุธวิญญาณนี่ไปขายดีมั้ย มันใช่เรื่องมั้ยเล่าที่เขาต้องเป็นท่อน้ำเลี้ยงคอยหาอาหารให้งู
จะเลือกอะไรดีล่ะ ระหว่างอาวุธที่เป็นไพ่ตายกับเงิน เลือกไม่ได้เลยแฮะ
หลี่ว์ซู่ไม่ได้หน้าเงินขี้เหนียวอะไรขนาดนั้น เขาก็แค่อยากมีทรัพย์สินในครอบครองเพื่อความอุ่นใจเท่านั้นเอง
ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว มันก็เพราะความจนในอดีตนั่นแหละที่ทำให้เขาหิวเงินขนาดนี้
หลี่ว์ซู่ไม่อยากกลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ชีวิตที่เขาต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะซื้อขนมบ๊วยสักแท่งให้เสี่ยวอวี๋ดีมั้ย ชีวิตที่เขาไม่มีปัญญาจะซื้อของมาทำมะเขือเทศผัดไข่ให้เสี่ยวอวี๋กินทุกวันได้
เมื่อก่อนเขาจะต้องมีเงินก่อนถึงจะรู้สึกปลอดภัย ส่วนตอนนี้การที่เขาให้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ดูดกลืนพลังจากอาวุธก็เป็นหลักประกันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้เหมือนกัน
“เงินไม่ได้หายไปไหนหรอกน่า ก็แค่อยู่ในสภาพอื่นเท่านั้นเอง” หลี่ว์ซู่ปลอบใจตัวเอง
เขาเดินออกจากห้องทำงานของคุริยามะแล้วขึ้นลิฟต์ไปบนพื้นดิน ทุกอย่างช่างดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีใครรู้เลยว่าระดับ D กำมะลออย่างเขาจะเป็นคนกำจัดลูกน้องระดับ C สองคนของทาคาชิมะและหัวหน้าระดับ D ของพวกทวยเทพทิ้งเสียไม่เหลือ
คุริยามะอาจจะตั้งตัวไม่ทัน แต่สำหรับมิยาซากิ เธออยู่ในสภาพงามสง่าได้แค่สิบวินาทีเท่านั้นแล้วก็ม่องเท่ง ซี้แหงแก๋ไป
หน้าที่ของหลี่ว์ซู่ก็คือปลอมตัวมาแฝงอยู่ในหมู่พวกศัตรู จากนั้นก็ค่อยฉวยโอกาสฆ่าทิ้ง
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าจะฉกศิลาวิญญาณนับหมื่นมามันก็ต้องหลั่งเลือดกันหน่อย
โทโมซากะดีใจมากที่เจอหลี่ว์ซู่ “เป็นยังไงบ้างครับท่านยามาดะ ท่านคุริยามะตอบตกลงหรือเปล่าครับ”
หลี่ว์ซู่ยิ้ม “แน่นอน ท่านตอบตกลงสิ ท่านคุริยามะบอกฉันให้มาตรวจโกดังหมายเลข 19 สักหน่อย ไปทำงานต่อได้ไป”
หลี่ว์ซู่เลือกที่จะไม่แหย่โทโมซากะเพื่อปั๊มแต้มอารมณ์ ปล่อยให้ดี๊ด๊าแบบนี้แหละ ตอนหลี่ว์ซู่ออกไปจะได้ไม่มีใครมายุ่งให้เป็นปัญหา เขาต้องวางแผนทุกอย่างให้รอบคอบ
ตอนนี้เขาแค่ต้องโกยของในโกดังหมายเลข 19 ออกมาให้เงียบเชียบที่สุด
โทโมซากะวิ่งไปบอกอีกสองคนด้วยความระริกระรี้ ในฐานะที่พวกนี้เป็นยศร้อยโท พวกเขาจึงเป็นคนที่มียศสูงสุดบนพื้นดิน เพราะพวกระดับสูงไม่เสียเวลาขึ้นมายุ่งกับคนธรรมดาแบบนี้
โทโมซากะรู้สถานการณ์ดี จะให้คนอย่างเขาไต่ขึ้นไปเป็นระดับ C หรือระดับ D เพราะงั้นจะฉลาดกว่าถ้าเขาอยู่บนพื้นดินนี่เพื่อขยายอำนาจ
เมื่อประตูโกดังหมายเลข 19 เปิดออกตรงหน้าหลี่ว์ซู่ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป ศิลาวิญญาณอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
เยอะขนาดนี้ไม่น่ามีใครขนหมด แต่เขามีตราแผ่นดินอยู่กับตัว!