ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 593 รังกิ้งก่า
ตอนที่ 593 รังกิ้งก่า
ทั้งเฉินจู่อานและเฉินเฮ่าต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นคนฉับไวและหนักแน่นแบบนี้ เขาไม่รอให้ได้คุยเจรจากันเลย
แล้วหลี่ว์ซู่ก็ตะโกนขึ้นมาจากข้างล่างหลุมที่ค่อนข้างลึกพอตัว “พวกนายสองคนไม่ต้องตามมาหรอก”
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความลังเล เฉินจู่อานสูดหายใจเข้าลึกและถามออกไป “เราลงไปกันด้วยดีไหมพี่”
“แน่สิ เราตามเขาไปได้นี่” พอเฉินเฮ่ากำลังจะกระโดดลงไป เฉินจู่อานก็รีบหยุดเขาไว้ เฉินเฮ่าก็ไม่เข้าใจ “เป็นเพื่อนซี้กันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ตามเขาลงไปล่ะ ถ้าเขาตกอยู่ในอันตรายจะทำยังไง”
“ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากลงไปหรอก” เฉินจู่อานพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ตกลงไปลึกขนาดนั้น สำหรับเขาคงไม่เป็นไร แต่สำหรับเราเนี่ยสิ…”
ได้ยินเขาพูด เฉินเฮ่าก็เริ่มกังวลขึ้นมา เขาเลยสั่งให้คนของเขาไปอุปกรณ์ให้แสงที่มีประสิทธิภาพสูงมาให้ั
ทั้งความสามารถของเขาและเฉินจู่อานนั้นต่ำกว่าหลี่ว์ซู่มาก ถ้าตกลงไปพวกเขาอาจพิการเลยก็เป็นได้…
เมื่ออุปกรณ์ให้แสงมาถึง เฉินเฮ่าก็รู้สึกว่าที่เฉินจู่อานว่ามานั้นถูกต้องแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าโครงสร้างของหลุมนี้เป็นอย่างไร ดูแล้วก็น่าจะลึกราวๆ สักร้อยเมตรได้ เฉินเฮ่าสงสัยมากว่าหลี่ว์ซู่ไปเอาความกล้ามาจากไหนที่จะกระโดดลงไปแบบนั้น
ยิ่งกว่านั้นหลี่ว์ซู่ก็ดูเหมือนไม่อยากรอพวกเขาเลย เขาหายไปกับความมืดข้างล่างนั่นแล้ว! ในหลุมข้างล่างมีทางเดินที่เชื่อมไปยังทิศทางต่างๆ ได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหลี่ว์ซู่เลือกไปทางไหน อย่าว่าแต่เรื่องไปช่วยหลี่ว์ซู่เลย ถ้าพวกเขาเลือกผิดทางแล้วไม่แน่อาจจะตายอยู่ข้างในนั้นเลยก็ได้
“เราลงไปแบบนั้นไม่ได้หรอก” เฉินเฮ่าส่ายหัว ตอนนี้เขาเริ่มใจเย็นลงแล้ว เขามีหน้าที่รับผิดชอบค่าย เพราะฉะนั้นเขาจะทำอะไรตามใจคนเดียวแบบนั้นไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่และบทบาทที่ต้องทำ และเฉินเฮ่าจะต้องอยู่กับทีมของตัวเองในสถานการณ์แบบนี้
ไม่ใช่ว่าเขากลัวตายหรอกนะ เขาอยากตามหลี่ว์ซู่ไปจริงๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าหลี่ว์ซู่ไปไหนแล้ว
“จู่อาน อย่าไปที่โบราณสถานเลย” จากนั้นเฉินเฮ่าก็หันไปหาพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนและสั่งการพวกเขา “ฉันขอให้พวกนายทุกคนสร้างแนวป้องกันค่ายจนกว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมา มีใครมีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่มีครับ!”
“ไม่มีครับ!” เจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ ต่างตอบแบบเดียวกัน ตามแผนที่วางไว้ตอนแรกนั้น พวกเขาต้องไปที่โบราณสถานซึ่งย่อมได้รับประโยชน์มากกว่า แต่ความคิดของพวกเขาได้เปลี่ยนไปหลังจากผ่านการฝึกทหารมา
ทหารหลายคนคิดว่าการฝึกติดต่อกันสามเดือนนั้นหนักเกินกว่าที่คนที่เข้ามาใหม่จะทนได้ แต่พวกเขาก็ได้เติบโตขึ้นมากในเวลาที่ผ่านมา
…
หลี่ว์ซู่เดินอยู่ในหลุมถ้ำเพียงคนเดียว เขาไม่ได้ใช้กระจกส่องตะวันเป็นแหล่งให้แสงภายในนี้ ทว่าเขากลับใช้ซือโก่วและฝูฉื่อที่กะพริบให้แสงอยู่รอบๆ ตัว เนื่องจากกระจกส่องตะวันจะทำให้เขาตกเป็นเป้าได้ง่าย และกระบี่บินสองเล่มก็สามารถปกป้องเขาได้ด้วย
เขาไม่ได้ลงมาข้างล่างนี่เพื่อฆ่ากิ้งก่าหรอก มันเป็นหน้าที่เขาก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น
ทว่าเจ้างูแห่งความโกลาหลของเขาที่ว่ายเวียนเล่นอยู่ที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์สีดำในตราแผ่นดินนั้นก็กลับเริ่มร้อนรนขึ้นมา อย่างกับว่ามันหิวกิ้งก่าพวกนั้นอย่างนั้นแหละ!
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้างูยังดูจะสนใจอะไรบางอย่างใต้หลุมนี้ด้วย! หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าตอนนี้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์และงูแห่งความโกลาหลนั้นน่าจะเป็นอาวุธที่ไว้ใจได้ในขณะนี้ที่สุดแล้ว หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ว่าเขาสามารถทำให้อาวุธสองอย่างนี้ของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นได้
และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงกระโดดลงมาโดยไม่ต้องคิดมากเลย ว่ากันตามตรง ธารน้ำสีทองของเขานี่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของตัวเขาในต่างประเทศเลย แค่เห็นก็รู้ได้ทันที
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว หมอกหนาสีดำได้เข้าไปผสมกับในน้ำ ทำให้ธารน้ำกลายเป็นสีดำ ดังนั้นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาจึงไม่มีใครจำได้อีก แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเปิดเผยตัวเองอยู่แล้ว
ที่สุดแล้วทุกคนในค่ายก็ไม่ได้เชื่อถือได้ทั้งหมดหรอก
หลี่ว์ซู่เลยไม่สนใจพวกซากกิ้งก่าข้างบนพื้นนั่นและมาตามหากิ้งก่าใต้ดินตัวอื่นๆ ดีกว่า
แต่เขาก็ไม่แน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง เขาไม่ได้ค่าอารมณ์มาจากพวกกิ้งก่าเลย แปลว่ากิ้งก่าพวกนี้ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทักษะการคิดพัฒนาเท่าไหร่ พวกมันคงจะหาอาหารกินตามสัญชาตญาณ หรือไม่ก็อาจจะถูกบางอย่างสั่งพวกมันมาก็ได้
หลี่ว์ซู่คิดว่าอย่างหลังน่าจะเป็นไปได้ที่สุด เพราะธารน้ำศักดิ์สิทธิ์และงูของเขาจะไม่สนใจพวกสัตว์ทั่วไปหรอก
หลี่ว์ซู่ไม่กลัวด้วยหากศัตรูนั้นต้องการซ่อนตัว เพราะถ้าศัตรูเป็นผู้มีพลังระดับ A จริงก็คงโผล่หน้าออกมาให้เห็นนานแล้ว
หลี่ว์ซู่สนใจกำแพงหินข้างล่างนี้มากกว่า บนพื้นมีรอยเท้าของพวกกิ้งก่ายักษ์ปรากฏอยู่ แปลว่ามันต้องวิ่งมาทางนี้แล้วก็ปีนขึ้นไป ขณะที่เขาเดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามีบ่อน้ำใต้ดินที่เชื่อมต่อไปถึงข้างบน แต่มันก็ถือว่าไกลจากค่ายพอควรเลย หลี่ว์ซู่คิดว่าเฉินเฮ่า เฉินจู่อานและทุกคนคงทำหน้าที่ปกป้องค่ายได้ ถ้าไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างที่เพิ่งเกิดไปเมื่อครู่
และเขาก็คงช่วยคลายกังวลให้คนข้างบนได้ ถ้าเขาทำภารกิจล่ากิ้งก่าต่อไปด้วยตัวเอง
อุโมงค์สีดำนี่ทอดยาววกวนไปเรื่อยๆ มันไม่เล็กเลยนะเนี่ย เพราะกิ้งก่ายักษ์ที่ขนาดตอนนอนราบก็ยังสูงกว่าหลี่ว์ซู่นั้นสามารถลอดผ่านอุโมงค์นี้ไปได้
หลัวปู้พัวนี่ช่างลึกลับเสียจริง มีความลับยิ่งใหญ่ที่ถูกปกปิดภายใต้พื้นที่แห้งแล้งแบบนี้ พวกกิ้งก่าที่รอดชีวิตจากการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ได้นั้นเป็นเพราะว่ารังของมันอยู่ลึกไปใต้ดินถึงหลายร้อยเมตรนี่เอง
แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หยุดเดิน เขาได้ยินเสียงน้ำหรือของเหลวอะไรสักอย่างหยดลงมาจากข้างหลังของเขาเอง
หลี่ว์ซู่เอาเสื้อยืดออกมาจากตราแผ่นดิน เสื้อตัวนี้มีกระเป๋าทรงกลมติดอยู่ที่ข้างหน้า ซึ่งน่าจะเอามาใส่กระจกส่องตะวันได้พอดิบพอดี…
เมื่อก่อนนั้นกระจกส่องตะวันถือว่ามีประโยชน์มากในความมืดในขณะที่หลี่ว์ซู่ต่อสู้กับโนกิวะ ทาเกะโนบุใต้โบราณสถานเกาะช้าง นอกจากจะช่วยสร้างแสงสว่างแล้วยังสร้างความเสียหายให้กับสายตาของศัตรูด้วย แต่อย่างไรมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ถ้าต้องถือตลอดเวลาน่ะนะ
หลี่ว์ซู่ไม่อยากยอมรับความจริงเลยว่าอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้กลับมีข้อจำกัดในการใช้งานจากภายนอก เขาก็เลยเย็บกระเป๋าให้เสื้อตัวนี้เพื่อการณ์นี้แหละ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนไอรอนแมนก็เถอะ เขาไม่สนใจหรอก แถมแสงที่ส่องออกมาจากอกยังสว่างกว่าไอรอนแมนอีก…
หลี่ว์ซู่หมุนตัวกลับทำให้แสงจากหน้าอกส่องไปข้างหน้าเขาด้วย ทำให้กิ้งก่าที่ถูกแขวนกลับหัวไว้บนเพดานถ้ำกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วตกลงมาบนพื้นถ้ำ
บอกเลยว่าผู้เชี่ยวชาญระดับ B อย่งโนกิวะ ทาเกะโนบุยังไม่สามารถต้านทานแสงนี้ได้เลย แล้วกิ้งก่าระดับ C พวกนี้เหรอจะทนได้
กิ้งก่าตัวนี้คงจะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าผู้ชายคนนี้เตรียมอุปกรณ์มาครบครันแบบนี้ด้วย แต่หลี่ว์ซู่แอบเสียดายเล็กๆ ที่กิ้งก่าให้ค่าอารมณ์เขาไม่ได้
หลี่ว์ซู่ยกมือขึ้น แล้วธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลออกมาจากตราแผ่นดินและโอบรัดตัวกิ้งก่าไว้ เพียงสิบวินาที กิ้งก่ายักษ์ก็ถูกกัดกร่อนไปเสียหมด นี่แหละคือพลังของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการดูดซับพลังจากหมอกหนาสีดำ!