ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 605 เฉินจู่อานผู้ไม่กลัวความตาย
ตอนที่ 605 เฉินจู่อานผู้ไม่กลัวความตาย
เอาเข้าจริงๆ แล้ว ถ้าเฉินจู่อานลองเสนอราคามา หลี่ว์ซู่อาจจะยอมขายผลไม้ให้ก็ได้ เพราะมีคนกล่าวไว้ว่าหากผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนมาปะทุพลังธาตุเพิ่มก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกในอนาคต นี่เป็นโอกาสที่ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานจะได้เปรียบทั้งคู่เลยนะ งั้นทำไมเขาไม่เอาด้วยล่ะ
แต่ตอนนี้เฉินจู่อานไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย…
“พี่ซู่ พี่ไม่อยากให้คนอื่นลองกินผลไม้ให้พี่เหรอ” เฉินจู่อานยิ้มอย่างประจบ
หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “ไม่ล่ะ ตอนนี้นายอยู่คนละฝั่งกับฉันแล้ว”
แล้วเฉินจู่อานงุนงง “คนละฝั่งเหรอ ไม่ใช่แล้วพี่ซู่ ผมเห็นพี่เป็นผู้นำมาตลอดเลยนะ”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คนที่อยู่คนละฝั่งกับฉันคือคนจนไงล่ะ” หลี่ว์ซู่พูดเรียบๆ
[แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!]
“เกินไปแล้วนะพี่ซู่…” เฉินจู่อานดูอารมณ์เสียไปเล็กน้อย
แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็มองขึ้นไปบนฟ้า เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม “ฉันคิดไปคนเดียวหรือเปล่า ว่าสีของท้องฟ้ามันดูหม่นลงไปหน่อย”
เฉินจู่อานมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความประหลาดใจ “น่าจะคิดไปเองแหละ ผมว่ามันก็เหมือนเดิมนะ”
หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว จากที่เจียงเฟิงบอก ที่นี่มันไม่น่ามีกลางคืนหรือกลางวันนี่นา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สีท้องฟ้าก็ไม่น่าเปลี่ยนไปได้
หรือเขาจะคิดไปเองจริงๆ นะ หลี่ว์ซู่เอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปท้องฟ้าและเดินทางไปข้างหน้าต่อไป หกชั่วโมงหลังจากนั้น เขาก็ถ่ายรูปท้องฟ้าซ้ำอีก พอเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว ทีนี้เฉินจู่อานก็เห็นความแตกต่างได้ “ต่างกันจริงๆ ด้วย ท้องฟ้ามันหม่นลง!”
ตอนที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีนั้นไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นเท่าไหร่หรอก เหมือนกับการต้มกบในน้ำร้อน ต้องทำให้น้ำนั้นร้อนอย่างช้าๆ กว่าที่กบจะรู้ตัวว่าร้อนเกินไป มันก็ไม่มีแรงจะกระโดดหนีออกจากหม้อแล้ว
ซึ่งถ้าคิดตามหลักการนี้แล้ว ก็เหมือนกับการเอามือจุ่มน้ำร้อนในหน้าหนาว พวกเขาจะคิดว่าน้ำร้อนมันร้อนจนลวกมือ เพราะมือของพวกเขานั้นหนาวเย็นเยียบ เพราะฉะนั้นในเหตุการณ์นี้มันก็มีความคล้ายคลึงกันนั่นแหละ
“ถ้าอย่างนั้นที่จริงแล้วที่นี่มีทั้งกลางวันและกลางคืน แค่กลางวันมันนานมากๆ และกลางคืนก็นานมากๆ เหมือนกัน” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น “พวกเราต้องระวังเกี่ยวกับกฎของโบราณสถานแห่งนี้ เพราะเมื่อกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนเมื่อไหร่ กฎเปลี่ยนไปแน่ แล้วทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตรายกันทั้งนั้น”
“อันตรายเหรอ อันตรายอะไร” เฉินจู่อานเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็มองต่ำลงไปที่กระจกบนพื้น “มันน่าจะมันจากด้านล่างเท้าของพวกเราเองนี่แหละ”
“มาจากใต้ดินงั้นเหรอ เดี่ยวจะมีอะไรโผล่มาจากใต้ดินหรือไงนะ” เฉินจู่อานกำลังงงหนักมาก
“เราไม่รู้เลยว่าช่วงกลางวันจะดำเนินไปนานแค่ไหน เมื่อก่อนคนในโบราณสถานยังมีเวลาให้พักกันบ้างตอนกลางคืน ถึงจะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เถอะ พอฟ้าสว่างแล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ที่นี่มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้เราตกอยู่ในอันตรายจริงๆ แล้ว เพราะเราใช้เวลาไปมากกว่าสิบวันต่อสู้กัลอันตรายในนี้โดนไม่ได้พักผ่อนกันเลย” หลี่ว์ซู่ประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น
คนเรามีมีขีดจำกัดของความแข็งแกร่งอยู่ ขนาดพวกผู้บำเพ็ญเองก็ยังไม่สามารถอดนอนมากกว่าสิบวันได้ ใครจะไปรู้ว่าที่นี่มันมีอะไรซ่อนอยู่
“งั้นพวกเราทำไงกันดี” เฉินจู่อานถาม พวกเขาไม่สามารถคำนวณระยะเวลาก่อนที่กลางคืนจะมาถึงได้
“เราก็ต้องมุ่งหน้ากันต่อไปนั่นแหละ” หลี่ว์ซู่พูดเสียงเรียบ “ก่อนกลางคืนจะมาถึง เราต้องหาที่เหมาะๆ เพื่อนอนพักและจัดการตั้งแนวป้องกันด้วย ฉันรู้สึกแล้วล่ะว่าเรากำลังอยู่ในอันตรายกันจริงๆ”
ปกติแล้วเฉินจู่อานจะไม่ค่อยหวังพึ่งใคร แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สำคัญจริงๆ
เขารู้ว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เขาฉลาดมากจริงๆ เขารู้ด้วยว่าถ้ายังอยากจะมีชีวิตต่อไปต้องทำตามที่หลี่ว์ซู่พูด
พวกเขาไปต่อกันข้างหน้า หลี่ว์ซู่ตรวจดูเวลาก็พบว่าผ่านไปแล้วสิบสองชั่วโมง เขาเพิ่งจะเห็นว่ากระจกนั้นไม่ค่อยลื่นมากเท่าไหร่แล้วเทียบกับตอนที่เข้ามา อยู่ๆ มันก็หนืดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
หลี่ว์ซู่หยุดไปต่อแล้วเก็บพรมกันน้ำไว้ในตราแผ่นดิน “จากนี้ไปเราต้องเดินต่อแล้ว”
กระจกเริ่มขุ่นขึ้น และพอเวลาผ่านไปมันก็กลายเป็นเหมือนหินอ่อนขัดมัน มันยังลื่นอยู่ แต่ว่าตอนนี้พวกเขาสามารถเดินบนพื้นได้แล้ว
เฉินจู่อานพูดขณะก้าวออกมาเหยียบพื้น “ผมว่าแบบนี้ก็ได้เปรียบอยู่นะ เพราะมันไม่ได้ลื่นขนาดไปแล้ว พลังโจมตีของเราจะได้เพิ่มขึ้นด้วย”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ แต่ฉันกลัวว่าเดี๋ยวพื้นมันอาจจะเปลี่ยนไปเอง” หลี่ว์ซู่พูดขณะก้มมองพื้น
แต่ข้อได้เปรียบอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือพวกเขาสามารถเร่งหาที่เหมาะๆ เพื่อตั้งค่ายพักแรมได้ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังสนั่นมาจากบนฟ้า ทั้งสองคนมองขึ้นไป แล้วจู่ๆ ก็มีคนใส่เสื้อคลุมลัทธิเต๋ากระโดดลงมา
หลี่ว์ซู่ถอนใจ “เจออาจารย์คนที่สองของนายในที่แปลกๆ แบบนี้เอาซะได้ เขาอยากตายมากเลยเหรอเนี่ย”
“เดี๋ยวนะพี่ซู่” เฉินจู่อานพูดขัด “ทำไมผมคิดว่าพี่กำลังด่าอาจารย์อยู่เนี่ย”
“ไม่ใช่สักหน่อยนายคิดไปเองละ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง
คนผู้นี้คือเฉินไป่หลี่ พอเขาเห็นทั้งสองคนแล้วก็รีบถลาตัวมาไวขึ้น และในที่สุดก็กระโดดลงมาอยู่ที่หน้าพวกเขา
หลังจากไม่ได้เจอเฉินไปหลี่มานาน หลี่ว์ซู่ก็เพิ่งสังเกตว่าทั้งเฉินไป่หลี่และหลี่เสียนอีนั้นดูอ่อนกว่าวัยลง ถึงแม้ทั้งสองคนจะยังดูชราก็เถอะ แต่หน้าตากลับไม่ค่อยมีริ้วรอยปรากฏให้เห็นแล้ว
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” เฉินไป่หลี่มองหลี่ว์ซู่แล้วยิ้มให้
ย้อนกลับไปตอนนั้น ในตอนที่เฉินไปหลี่กำลังมมุมานะฝึกฝนขั้นพื้นฐา เขามักจะโค้งคำนับให้หลี่ว์ซู่ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ค่อยมีความรู้สึกของความเป็นมนุษย์แบบที่หลี่ว์ซู่มีเท่าไหร่ เฉินไป่หลี่เป็นคนขี้หงุดหงิด นิสัยเช่นนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาเลยเห็นหลี่ว์ซู่เป็นทั้งรุ่นน้อง ทั้งเพื่อน และเป็นผู้มีบุญคุณกับตัวเขาเองด้วย
มนุษย์นั้นซับซ้อน พูดยกตัวอย่างไปอย่างเดียวก็คงอธิบายเขาไม่ได้หรอก
หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ “ผิวดูดีขึ้นเรื่อยๆ เลยนะครับ”
เฉินไป่หลี่หันไปพูดกับเฉินจู่อาน “นายปล่อยให้คนอื่นช่วยอย่างนั้นใช่ไหม”
พอเฉินจู่อานได้ยินแบบนั้นก็อ้าปาค้างและไม่ได้พูดอะไรตอบออกไป ราวกับว่าเฉินไป่หลี่ตอกตะปูลงไปบนหัวเขา ถ้าไม่มีหลี่ว์ซู่ ป่านนี้เขาก็ยังขยับไปไหนไม่ได้แล้วนอนอยู่บนพื้นสักที่แล้ว
พอเฉินไป่หลี่เห็นแบบนั้นก็เริ่มหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “วันๆ สนแต่จะเล่น ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย เคยมองดูบ้างไหมว่าหลี่ว์ซู่ฝีมือพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว ยังต้องตามคนอื่นอีกเยอะเลยนะ”
“มองสิครับ!” เฉินจู่อานพยายามแก้ต่าง
“อ้อ งั้นเหรอ ไหนพูดมาสิ” เฉินไป่หลี่เลิกคิ้ว
“เป็นเพราะกรรมพันธุ์ผมไม่ดีหรอก” เฉินจู่อานพูดอย่างระมัดระวัง เฉินไป่หลี่ผู้เป็นอาจารย์คนที่สองของเขาเลยฟาดแส้หางม้าใส่เขาให้หนึ่งที
“เฮ้อ เดี๋ยวค่อยกลับไปจัดการกับนายทีหลังแล้วกัน”
หลี่ว์ซู่รู้สึกเคารพเฉินจู่อานเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาก็คิดว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยนี่ทั้งเจ้าเล่ห์และใจกล้าไม่น้อยที่มาแหย่เขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฉินจู่อานน่ะไม่กลัวตายเลย เพราะเฉินจู่อานนั้นนอกจากจะกล้าแหย่หลี่ว์ซู่แล้ว เขายังกล้ายั่วโทสะเฉินไปหลี่อีกด้วย…