ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 618 ไพ่ตายของหลี่ว์ซู่
ลองจินตนาการดูว่าสถานการณ์สิ้นหวังขนาดไหนตอนที่ตัวคุณโดนทหารจากทะเลกว่าร้อยๆ คนประกบหน้าหลังอย่างกับแซนด์วิช!
ด้วยเหตุนี้หลี่ว์ซู่ก็เลยกำลังมีความสุขกับการได้แต้มอารมณ์เยอะๆ มีเด็กหนุ่มที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตายได้สารภาพรักกับเด็กผู้หญิงว่า “ต่อให้เราไม่ได้โชคดีเกิดมาด้วยกัน แต่ฉันก็หวังว่าเราจะได้จากไปด้วยกันนะ”
แม้เด็กผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกตราตรึงใจหลังจากได้ยินที่เขาพูด แต่สุดท้ายเธอก็ปฏิเสธเขาไปในตอนท้าย
แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแบบจบสวยอยู่เหมือนกัน เฉินจู่อานได้ยินว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งสารภาพรักกับเด็กผู้ชายด้วยกัน และลงเอยกันเสียด้วย…
กระนั้นความรู้สึกทั้งดีทั้งร้ายมากมายก็ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขาหลังได้รู้ว่าศัตรูที่เข้ามานั้น แท้จริงแล้วเป็นสหายร่วมรบของพวกเขาเอง…
หลายคนสงสัยว่ากองพันที่ 42 นั้นกลายเป็นกลุ่มที่เชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
ที่บอกว่าเชื่อถือไม่ได้ก็เพราะพวกเขาทำคนอื่นกลัวหัวหดขณะที่ยกพวกกันเข้ามาแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อถือได้เพราะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งกันเหลือเกิน ด้วยการนำของหลี่ว์ซู่นั้น ทำให้เขาทำลายขบวนทัพของศัตรูและเหลือเพียงเกราะทองแดงกองไว้ตามหลัง แถมยังไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสเลยด้วย…
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งทีมนั้นกลายเป็นที่ชื่นชมและน่ารำคาญไปด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากองเกราะทองแดงที่ทิ้งไว้ให้นั้นเป็นเหมือนของที่เทวดาผู้พิทักษ์วางไว้ให้ ช่วยให้พวกเขาอุ่นใจขึ้น
อย่างไรก็ตามก็มีบางคนที่ไม่สามารถตามต่อสู้ไปพร้อมกับคนอื่นๆ ได้ในระหว่างการประจันหน้าที่ดุเดือด
นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เก่งหรอก แต่เพราะเริ่มหมดแรงแล้วต่างหาก!
พวกเขาวิ่งไปมาตลอดเพื่อช่วยเหลือคนนั้นทีคนนี้ทีทุกครั้งที่มีคนต้องการ
ทหารจากทะเลตนหนึ่งเลยใช้โอกาสนั้นแทงเข้าไปที่ร่องของเกราะทองแดงบริเวณต้นขาของคนหนึ่ง หลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที “คนของเราล้มลงแล้ว! ไปปกป้องเขา!”
ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการออกนอกแผน เพราะการที่ทีมนั้นลดความเร็วลงอาจทำให้ถูกศัตรูล้อมได้
แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจแล้ว คนของเขาต้องปลอดภัยก่อนเป็นอันดับแรก!
กองพันที่ 42 เลยจัดขบวนแบบตั้งรับเป็นวงกลมและเอาคนเจ็บไว้ตรงกลาง มั่วเฉิงคงคำรามออกมา “อุ้มคนเจ็บไว้ แล้วฟังคำสั่งจากพี่ซู่ต่อ!”
ทันใดนั้นเอง ทหารจากทะเลก็รวมตัวกันขึ้นมาล้อมพวกเขาจากข้างนอก
มั่วเฉิงคงพึมพำเบาๆ “พระเจ้าช่วยเราด้วย ฉันยังไม่อยากมาตายที่นี่”
นั่นคงเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้มากที่สุดแล้ว สำหรับผู้บำเพ็ญเองก็ไม่สามารถทนการต่อสู้นานๆ กว่าห้าชั่วโมงติดกันได้ เฉินจู่อานพูดเยาะ “จะมาตายในมือของคนที่มาจากทะเลพวกนี้น่ะเหรอ ให้ตายเถอะ สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว พวกนี้กระจอกจะตาย ไม่มีใครจะมาตายวันนี้หรอก เชื่อฉันสิ!”
มั่วเฉิงคงชะงัก เขาไม่เข้าใจเลยว่าเฉินจู่อานมั่นใจอะไรใรตัวหลี่ว์ซู่ขนาดนั้น!
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังกริ๊งระหว่างพื้นโลกกับสวรรค์ แล้วทันใดนั้นลำแสงอสนีบาตสีม่วงก็พุ่งออกมาจากตัวหลี่ว์ซู่ มันทะยานขึ้นไปแตกกระจายบนฟ้าราวกับพลุ ดึงความสนใจจากทุกคนท่ามกลางความมืดมิด!
กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!
ณ จุดศูนย์กลางของขบวน หลี่ว์ซู่หลับตาลง ตั้งใจจดจ่อกับการโจมตีศัตรูด้วยพลังดาบรัศมีของเขา เขาพยายามที่จะยิงมันออกไปที่กะโหลกของศัตรูที่ไร้การป้องกันใดๆ!
เล็งไปที่ตัวเดียวก็ง่ายอยู่หรอก แต่เล็งไปที่หลายๆ เป้าหมายในเวลาเดียวกันนั้นไม่ง่ายเลย หลี่ว์ซู่เองยังไม่สามารถทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบได้
พลังดาบพลาดเป้าไปโดนส่วนที่มีเกราะทองแดงป้องกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าดาบเปล่งแสงจะมีพลังมากขนาดนี้ เพราะมันสามารถโจมตีศัตรูได้โดยตรง และมันยังสามารถส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเกราะทองแดงได้อีกด้วย…
“ใช้ไพ่ตายแล้วสินะ” เฉินจู่อานอุทานออกมาขณะมองดาบรัศมีอสนีบาต
หลี่ว์ซู่รู้ว่าการฟื้นฟูดาบรัศมีของเขาต้องใช้เวลามากอยู่เหมือนกัน ทำให้การใช้ไพ่ตายของเขานั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ว่าคนของเขานั้นเริ่มจะถึงขีดจำกัดของพวกเขาเองแล้ว
เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็นคนหยุดการต่อสู้นี้ด้วยตัวเอง
ทุกสายตานั้นจับจ้องไปที่หลี่ว์ซู่ที่กำลังจดจ่ออยู่กับการควบคุมดาบเปล่งแสงอยู่ แล้วทันใดนั้นเฉินจู่อานก็ตะโกนออกสุดแรงเกิด “กล้าหาญเข้าไว้! อย่าทำให้กองพันของตัวเองเสียชื่อ! ฆ่ามันให้หมด!”
แล้วจากนั้นเฉินจู่อานก็เป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกไป สีหน้าของเขาดุดันมาก และหลังจากนั้นกองพัน 42 ที่ติดอยู่ในดงศัตรูก็เดินหน้าออกไปและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า!
และในตอนนั้นเองที่ผู้คนได้สัมผัสพลังอันยิ่งใหญ่ของหลี่ว์ซู่
ทหารจากทะเลล่าถอยกันกลับไปในทะเล พวกที่โดนฟ้าผ่ากะโหลกไปแล้วก็สลายกลายไปเป็นฝุ่นไป ส่วนพวกที่ถูกฟ้าผ่าเฉยๆ นั้นเอาไว้ค่อยจัดการทีหลัง
หลังการต่อสู้อันดุเดือดจบลง กองพันที่ 42 ก็ล้มลงหลังแบกน้ำหนักเกราะหนักกว่า 50 กิโลกรัมมาตลอด พวกเขาทรุดตัวลงกันบนพื้น ทำให้กองพันอื่นๆ ที่เห็นนั้นมองพวกเขาอย่างเกรงๆ
“ใครก็ได้ขอมือมาฉุดฉันขึ้นไปหน่อยได้ไหม ยืนขึ้นเองไม่ได้เลย เหนื่อยเป็นบ้า” คนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“ช่วยฉันด้วยสิ ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ตายหรอกน่า มีพี่ซู่อยู่นี่”
“ฮ่าๆ ถ้ามีทหารอีกระลอกมาอีก เราได้ตายกันแน่ๆ”
“อย่าห่วงเลยเรามีพี่ซู่!”
เฉินจู่อานที่นอนอยู่บนพื้นถามขึ้นมา เขาแทบจะขยับหัวไม่ได้ “เซวี่ยเหมย เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เขาร้องเรียกอีกรอบ “เซวี่ยเหมย อยู่ไหนน่ะ! พี่ซู่ ช่วยผมหาเซวี่ยเหมยหน่อย!”
ในขณะที่ตะโกนอยู่นั้น เฉินจู่อานก็รวบรวมพลังงานเฮือกสุดท้ายเพื่อลุกขึ้นมา เกราะของเขากระทบกันเกิดเป็นเสียงกร๊องแกร๊งขณะเคลื่อนไหวตัว
ทันใดนั้นเองก็มีมือเล็กๆ คว้าจับมือเขาไว้ “ฉันไม่เป็นไร ฉันอยู่ข้างๆ นายแล้วนี่ไง ไปพักเถอะ ฉันก็ต้องไปพักด้วยเหมือนกัน เธอเปลี่ยนมุมมองของฉันที่มีต่อเธอมากนะจู่อาน”
อยู่ๆ ก็มีใครตะโกนขึ้นมาอย่างหัวเสีย “ได้ยินเปล่า อวดความรักกันไม่อายฟ้าดินไม่อายคนเลย!”
แต่พอพูดจบก็มีเสียงหัวเราะตามมา ทุกคนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ชนะการต่อสู้ละนะ
นักเรียนห้องเต้าหยวนคนอื่นๆ ที่รีบวิ่งมากลับดูเหตุการณ์กันอย่างอึ้งๆ หลี่ว์ซู่ยังคงยืนอยู่ในสนามรบขณะที่คนอื่นๆ ล้มลงไม่เป็นท่า มีคนบอกเอาไว้ว่าทีมนั้นๆ เป็นอย่างไร ให้ดูที่หัวหน้า และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทีมเด็กผู้หญิงของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นจึงแข็งแกร่งมาก
แล้วทีมนี้ล่ะ เป็นทีมแบบไหนกัน
คนอื่นๆ รีบเข้าไปช่วยมั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืน พวกเขาพูดออกมาด้วยความจริงใจว่า “เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมไปเลย”