ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 632 ปฏิเสธอีกรอบ
หลังจากบังเอิญเจออวิ๋นอี่ที่สนามบินและหลังจากนั้นเธอก็หายไปท่ามกลางกลุ่มคน หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก ใครจะรู้ละว่าเธอจะล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่แล้วฆ่าเขาทิ้งเมื่อไหร่
อีกทั้งระดับของเธอยังอยู่ระดับ A ด้วย ถ้าเธออยากสังหารใครขึ้นมา หลี่ว์ซู่ก็คงไม่อาจหวังพึ่งเนี่ยถิงให้มาปกป้องเขาได้ตลอดเวลาหรอกนะ
หรือเนี่ยถิงอาจจะใช้เขาเป็นตัวล่อเพื่อฆ่าพวกมันทิ้งก็ได้ แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากกลายเป็นตัวล่อเนี่ยสิ เธอแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาคงตายไปก่อนจะรู้ตัวเสียอีก!
วิธีรับมือของเนี่ยถิงนั้นก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย หลังจากผ่านไปสามวันก็มีการจัดตั้งกลุ่มผู้บำเพ็ญลับขึ้นมา และพวกเขากำลังมุ่งหน้าจากเมืองลั่วไปยุโรป เครือข่ายฟ้าดินจัดตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง และผู้นำของกลุ่มคนพวกนี้ก็คือสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินเอง
หลี่ว์ซู่รู้จักคนในกลุ่มนี้ดีถึงแม้จะมีคนธรรมดาอยู่ในกลุ่มด้วยก็ตาม พวกเขาเป็นยอดฝีมือด้านการเจรจากับกลุ่มคู่ค้าจากต่างประเทศ
พวกเขาจะไปทำการค้าขายทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนบำเพ็ญ และไปติดต่อกับองค์กรต่างๆ เพื่อทำธุรกิจและสร้างพันธมิตรทางการค้าด้วย
เนื่องจากการเดินทางพัฒนาขึ้นจนสะดวกและง่ายดาย โลกใบนี้จึงดูเล็กลงไปถนัดตา อย่างตอนที่โบราณสถานเปิดก็มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลกันไปที่นั่น
เครือข่ายฟ้าดินไม่คิดว่าพวกมันจะไม่มีพันธมิตรเลย และคนอื่นๆ นั้นเป็นศัตรูของพวกมันเพียงเพราะว่าพวกมันเป็นระดับ A กันถึงสองคน
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องมาแข่งขันกันเรื่องทรัพยากรการบำเพ็ญและอาจจะมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นก็ได้ ในสถานการณ์แบบนี้ เครือข่ายฟ้าดินจึงต้องการพันธมิตรมาอยู่ข้างกันสักหน่อย
เครือข่ายฟ้าดินอยากลดจำนวนของผู้บำเพ็ญลับฝ่ายศัตรูที่เข้ามาทางชายแดนให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงจะกำจัดได้ไม่หมดก็ไม่เป็นไร หากได้พันธมิตรมาใหม่ๆ มา เครือข่ายฟ้าดินก็อยากจะขอให้พวกเขาเป็นหูเป็นตาให้หน่อย และเพื่อเป็นการตอบแทน เครือข่ายฟ้าดินก็จะช่วยองค์กรนั้นๆ ตรวจสอบด้วยเหมือนกัน
แน่ล่ะว่านี่ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ทั้งคู่จะได้
เหตุผลที่มีคนธรรมดาอยู่ในกลุ่มด้วยก็เพราะในเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่มีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเจรจาโดยตรง กล่าวกันว่าเมื่อก่อนเคยมีทหารที่ใช้วาทศิลป์ในการพูดให้ทหารกว่าหมื่นนายยอมศิโรราบได้ หลายคนเชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์เป็นวาทศิลป์อันเยี่ยมยอดเช่นนั้น ถ้าได้เกิดมาอยู่ในยุคนั้นก็คงจะทำได้เหมือนกัน
แต่คนพวกนั้นก็ทะนงตัวมากเกินไป การเจรจาในชีวิตจริงนั้นไม่ง่ายเหมือนเรื่องที่เล่ากันมาเลย เพราะไม่เพียงแต่ต้องใช้สำนวนในการพูดให้ดีเท่านั้น แต่ต้องใช้ความกล้า ความเข้าใจในเนื้อความให้ทะลุปรุโปร่ง และยังต้องมีเวลาเตรียมคำพูดก่อนหน้าที่จะไปพูดให้มากๆ ด้วย
หลี่ว์ซู่ไม่ได้เกลียดเรื่องพวกนี้เลยนะ และครั้งนี้เขาก็คิดด้วยว่าเนี่ยถิงน่าจะส่งเขาไปกับกลุ่มนี้เพื่อรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขานี่เอง
เรื่องมันก็ง่ายๆ เท่านี้แหละ พวกผู้บำเพ็ญลับไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรมาก พวกเขาแค่ต้องคอยคุ้มครองคนธรรมดาในกลุ่มให้ปลอดภัยก็เท่านั้นแหละ
เอาจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้คาดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน แต่เขาก็ยังยอมรับได้อยู่
แล้วสำหรับรูปลักษณ์ที่หลี่ว์ซู่จะใช้นั้น เขาได้คิดมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ที่โยวหมิงอวี่ได้เตรียมไว้ให้เค้าก่อนหน้านี้ ก็คือคนที่เป็นเจ้าของชื่อผู้ใช้งานอาณาจักรแห่งความมืดที่ชื่อหลี่เถิงนั่นเอง
ทั้งความสูงและรูปร่างเขานั้นดูคล้ายกับหลี่ว์ซู่ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเขายังเป็นทั้งสายลับและนักธุรกิจอีกด้วย หลี่ว์ซู่ก็เลยใช้รูปักษณ์นี้ได้ง่ายหน่อย
เนี่ยถิงได้คิดแทนหลี่ว์ซู่ไปหนึ่งก้าวแล้ว หลี่ว์ซู่คิดแค่ว่ารูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงนี้นั้นเหมาะจะให้เขาใช้งาน แต่เนี่ยถิงนั้นคิดต่างออกไป ถ้ามีเกิดเหตุการณ์ที่ข่าวกรองลับถูกขายออกไปนอกประเทศแล้ว เนี่ยถิงตั้งใจจะโยนความผิดนั้นไปให้หลี่เถิงและเอาหลี่ว์ซู่ออกมาให้พ้นจากความผิด
เนี่ยถิงเข้าใจว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนแบบนี้ จึงจัดการเตรียมเรื่องพวกนี้ไว้แล้วตอนเขาเลือกรูปลักษณ์ที่จะให้หลี่ว์ซู่ใช้…
และที่สำคัญที่สุด เนี่ยถิงนั้นมีความสุขมาก ไอ้เจ้าปัญหาคนนี้จะได้ไม่ต้องไปก่อปัญหาให้คนอื่นเสียที!
ถึงหลี่ว์ซู่จะสามารถทำลายกลุ่มนี้ได้แต่เนี่ยถิงก็ยังจะทำตามแผนของสือเสวจิ้นอยู่ดี หลี่ว์ซู่นั้นมีความรู้ผิดชอบอยู่บ้าง เขารู้แหละว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร
ไอ้เจ้านี่ชอบทำให้เนี่ยถิงโมโหอยู่เรื่อย แต่เขาก็สามารถพึ่งพาได้ในสถานการณ์คับขัน…
คืนนั้นโยวหมิงอวี่มาที่บ้านบนถนนชิงชู่เพื่อมาพบหลี่ว์ซู่ เขาเตรียมของสำหรับการเดินทางไปตะวันตกครั้งนี้มาให้ รวมถึงตำแหน่งของราชันฟ้าด้วย
โยวหมิงอวี่มองไปที่เสี่ยวอวี๋และกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ เขาไม่ได้อยากจะแยกเสี่ยวอวี๋ออกไปไกลๆ หรอกเพราะเขารู้ว่าหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋นั้นสนิทกันมากแค่ไหน
“ฉันไม่คิดเลยว่านายจะยอมเป็นราชันฟ้าแบบปุบปับแบบนี้” โยวหมิงอวี่ถอนหายใจ “ราชันฟ้าคนที่เก้าเหรอ โลกคงจับตามองดูนายตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ”
เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะส่ายหัวทันที “ผมเป็นราชันฟ้าไม่ได้หรอก ไปบอกราชันฟ้าเนี่ยทีว่าผมไม่อยากเป็น”
หลี่ว์ซู่คิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องราชันฟ้า ถ้าเขาตอบรับตำแหน่งนี้ไปแล้วก็ย่อมมีความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงตามมา
บางทีความคิดเขาอาจไม่เป็นผู้ใหญ่พอ หรือประสบการณ์ที่เขาเจอมาอาจทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจว่าจะปกป้องกลุ่มนี้ให้ดีในการเดินทาง และจะทำในสิ่งที่ควรทำด้วย
เขาสามารถตัดสินใจเข้าไปฆ่างูในสนามหญ้าได้ง่ายมากกว่าจะเข้าไปในโบราณสถานที่ถ้ำกิ้งก่า และเขาสามารถนำกลุ่มเพื่อนร่วมรบเข้าไปฆ่าศัตรูได้ แต่เขาไม่อยากเป็นราชันแห่งฟ้าจริงๆ
โยวหมิงอวี่ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็อึ้งไป “ล้อเล่นหรือเปล่า ตำแหน่งราชันฟ้าเชียวนะ คนอยากเป็นกันจะตาย! ไม่รู้เหรอว่ามีคนที่เลื่อนเป็นระดับ B มาตั้งหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีใครได้รับเสนอตำแหน่งนี้เลย พวกเขาจะเป็นราชันฟ้าด้วยความสามารถที่มีไม่ได้”
หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “ผมยังรับตำแหน่งนี้ไม่ได้จริงๆ”
โยวหมิงอวี่พูด “ตบฉันทีสิ นี่ฉันกำลังฝันไปอยู่หรือเปล่า”
หลี่ว์ซู่ตอบกลับ “พูดอะไรออกมาครับเนี่ย!”
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้ทำอะไรออกไป เขาไม่ได้จะให้หลี่ว์ซู่ตบหน้าเขาจริงๆ ใช่ไหม แต่แล้วโยวหมิงอวี่ก็เร่งเขา “เอาเลย ตบเลย เร็วสิ!”
หลี่ว์ซู่อึ้งทำอะไรไม่ถูก ทำไมขอกันแปลกๆ เนี่ย เขาลังเลไปนิดหนึ่งก่อนจะมือตบเข้าให้
เพียะ!
“โอ๊ย!” โยวหมิงอวี่ตะโกนออกมา
หลี่ว์ซู่อึ้ง
เสี่ยวอวี๋งุนงง
เจ้ากระรอกเองก็งงเหมือนกัน
เอาจริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ตบใครเข้าไป ทำไมเขารู้สึกว่าถูกหลอกใช้เลยล่ะ…
เสี่ยวอวี๋มองไปทางโยวหมิงอวี่ “เขาดูไม่ใช่คนที่ดูจริงจังอะไรแบบนั้นเลยนะ”
ส่วนกระรอกเสี่ยวเสี่ยวซยงสวี่ไม่เข้าใจกับสิ่งที่พวกมนุษย์ทำกันในเวลาว่างเลย พวกมนุษย์นี่ช่างแตกต่างจากสายพันธุ์ของมันเสียจริงๆ
“อะแฮ่ม” หลี่ว์ซู่มีสีหน้าแปลกๆ “ขอบคุณสำหรับของพวกนี้นะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับไปได้แล้วล่ะครับ ไว้ผมจะลองเช็กของพวกนี้ดู”
โยวหมิงอวี่เอ่ยก่อนจากไป “แม้ว่านายจะต้องปิดบังตัวตนของตัวเองและต้องปกป้องพวกกลุ่มพวกนั้นแบบลับๆ แต่ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่านายสามารถเปิดเผยตัวตนและนำทางกลุ่มไปตอนไหนก็ได้นะ ถ้าทุกอย่างมันเสี่ยงเกินไป นายก็ได้รับอนุญาตให้ทิ้งพวกเขาออกมาได้ บางทีมันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์ที่ไม่มีหวังแบบนั้น”