ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 647 ยุ่งเหยิงไปกันใหญ่!
สีหน้าของฮาเวิร์ดเปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดว่าหัวหน้าขององค์กรระดับต่ำจะบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้ ถึงกับกล้ามาที่นี่คนเดียวแล้วยังมาพูดเรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก!
หลี่ว์ซู่แสดงสีหน้าท่าทางตามเบ็นเนตต์ เขายังคงท่าทีสบายๆ แต่ยังมีสีหน้าดุดันอยูในที “อะไร คิดหรือว่าฉันต้องกลัวเพราะมาที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ ลองหยุดฉันดูก็ได้นะ กลุ่มฟีนิกซ์น่ะแข็งแกร่งก็จริง แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่อเมริกา”
เดี๋ยวก่อนนะ ฮาเวิร์ดรู้สึกว่าเบ็นเนตต์นั้นดูมั่นใจมากจริงๆ หรือเพราะเขาไปเซ็นสัญญากับฝ่ายศรัทธาก่อนแล้วนะ หรือว่าเป็นเครือข่ายฟ้าดิน
งั้นเบ็นเนตต์ก็ไม่ได้มาเจรจากับเขาน่ะสิ เขาแค่มาที่นี่เพื่อยั่วอารมณ์ฮาเวิร์ดและทำลายสมาชิกของฟีนิกซ์!
ถ้าที่แย่ที่สุดก็คือฝ่ายศรัทธาและเครือข่ายฟ้าดินได้ตกลงร่วมมือกับเขาไปแล้ว นี่คงอธิบายได้ว่าทำไมพวกเครือข่ายฟ้าดินถึงไม่ได้ส่งสมาชิกที่มีพลังสูงมาในการเจรจาครั้งนี้ และองค์กรทั้งสองก็ได้บรรลุข้อตกลงกันหมดแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งแค่ฟรานเชสโก้มา
ฮาเวิร์ดยังคิดไม่ตกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ฮาเวิร์ดไม่คิดว่าองค์กรอื่นๆ นอกจากทฤษฎีความเชื่อและเครือข่ายฟ้าดินจะมีผู้บำเพ็ญระดับ A อีก มีแต่ต้องมีองค์กรที่มีอำนาจในมือเยอะคอยหนุนหลังเท่านั้นละ เบ็นเนตต์ถึงได้กล้ามาพูดกับกลุ่มฟีนิกซ์ซึ่งๆ หน้าแบบนี้
“ส่งแขกซะ” ฮาเวิร์ดพูดพลางโบกมือ เขาไม่อยากจะทะเลาะกับเบ็นเนตต์เลยตัดสินใจที่จะสงบสติอารมณ์และไม่พูดอะไรที่ก่อให้เกิดการผิดใจกันก่อนความจริงจะเปิดเผยออกมา
องค์กรที่เบ็นเนตต์เชิญมานั้นทำให้ EO มีอิสระในการเลือกมาก และนี่ก็ยังเปิดโอกาสให้หลี่ว์ซู่ได้รังสรรค์วิธีการป่วนประสาทแบบใหม่ได้อีกเยอะ
หลี่ว์ซู่เดินออกไปก่อนไปหยุดที่วิลล่าของฝ่ายศรัทธา หลี่ว์ซู่คิดว่าวิธีการรับมือของคนที่รับหน้าที่ดูแลการต่างประเทศนั้นน่าทึ่งมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฟีนิกซ์หรือฝ่ายศรัทธาก็ตาม…
ดูเหมือนจะมีแต่คนที่มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบคอบเช่นพวกเขาเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แล้วทำไมเนี่ยถิงถึงคิดว่าเขาเหมาะสมกันนะ เขาน่ะรอบคอบแต่กับเรื่องชีวิตตัวเอง แต่สำหรับชีวิตของคนอื่นๆ แล้ว…ก็ถี่ถ้วนประมาณหนึ่ง
หากเขาได้รับผิดชอบดูแลการต่างประเทศจริงๆ พอถึงคราวที่ต้องไปรวมตัวกับองค์กรอื่นๆ คงเห็นได้ชัดเลยว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นมาก…
ฟรานเชสโก้จากฝ่ายศรัทธานั้นเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่เหมือนกับฮาเวิร์ด แต่นี่ก็อาจหมายความว่าเขาเป็นคนคิดรอบคอบเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็ขอเก็บแต้มอารมณ์จากฝ่ายศรัทธาสักหน่อยแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน…
หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา เขารู้ว่าฮาเวิร์ดนั้นเต็มใจจะมอบของต่างๆ อย่างผลไม้ที่ช่วยปะทุพลังให้เพื่อดึงเขาเข้าเป็นพวก แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่ได้อะไรมาเลย
และเพราะเขายังอยากได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป เขาเลยต้องร่วมมือกับใครสักคนแล้วเดินเรื่องหน่อย แต่เขาดันมาตัวคนเดียวนี่สิ แถมเขาไม่ใช่เบ็นเนตต์ตัวจริงด้วย แล้วเขาจะไปร่วมมือกับใครละ
หลังจากที่เขาเสร็จธุระกับองค์กรทั้งสองแล้ว องค์กรอื่นๆ ก็จัดการไม่ยาก องค์กรพวกนั้นแข็งแกร่งกว่า EO ก็จริงแต่ความแข็งแกร่งก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน อย่างมากพวกเขาก็มีผู้บำเพ็ญระดับ B สองสามคนแค่นั้นละนะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวเท่าไหร่หรอก
ไม่ว่าพวกเขาจะสงสัยกันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่กล้าเข้ามาโจมตีหรอก พวกเขาคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเบ็นเนตต์เท่านั้น คงคิดว่าเขาแปลกมากที่มาหาผู้คนในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้เพื่อกวนประสาทเล่นๆ
หลี่ว์ซู่เริ่มปรับตัวกับการแสดงเป็นเบ็นเนตต์ได้แล้ว บอกเลยว่าพวกเซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นๆ เขาก็ไม่เว้นไว้หรอก
เบ็นเนตต์ตัวจริงนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการหาตัวคนร้าย กระนั้นองค์กรอื่นๆ กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเล็งเป้าหมาย…
หลี่ว์ซู่กระโดดลิงโลดอย่างดีใจเข้าไปในห้องตัวเองพื่อกินผลชี่ไห่ ถึงแม้จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นข้างนอกแต่เขาก็ทำได้แค่นี้อยู่ดีนี่ สำหรับเรื่องอื่นเขาคงดูตามสถานการณ์อีกที เขาจะรอดูก่อนว่าองค์กรอื่นจะมีปฏิกิริยากันยังไง จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ
วันรุ่งขึ้น เบ็นเนตต์ก็เริ่มสงบจิตสงบใจได้แล้ว เขาเริ่มตระหนักแล้วว่าเขาไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้ และเขาก็ไม่สามารถยกเลิกการเจรจาได้ด้วยเหมือนกัน เขาลงทุนเชิญองค์กรใหญ่มากมายมาที่นี่ และเขารู้ว่าเขาสามารถหวังพึ่งความขัดแย้งและความเคลือบเคลืองใจระหว่างองค์กรใหญ่ๆ พวกนี้ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ควรอารมณ์เสีย
เพราะฉะนั้นเขาเลยสั่งคนให้ไปกระจายข่าวว่าเขาจะจัดการเจรจาครั้งที่สองขึ้น แต่พอคนของเขาส่งข่าวกลับมา ก็พบว่าความคิดของพวกองค์กรต่างๆ นั้นเปลี่ยนไปแล้ว องค์กรทั้งหมดปฏิเสธคำเชิญและไม่อยากเจรจาอีกต่อไป
เบ็นเนตต์ไม่เข้าใจเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย แล้วทำไมคนพวกนี้ไม่อยากมาคุยแล้วละ
ถ้ามีแค่องค์กรสององค์กรถอนตัวไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่ทั้งสิบเอ็ดองค์กรพากันเปลี่ยนใจไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ได้ยังไง! จะเปลี่ยนใจไวภายในคืนเดียวแบบนั้นเลยเหรอ…
เบ็นเนตต์เริ่มสงสัยขึ้นมา เขาสั่งให้ลูกน้องนำผลิตภัณฑ์พิเศษจากท้องถิ่นไปมอบให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นของขวัญ ของพวกนี้เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เขาแค่อยากเห็นว่าองค์กรใหญ่พวกนั้นจะแสดงท่าทียังไง อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงปฏิเสธการเจรจาได้
แต่ลูกน้องเขาดันกลับมาพร้อมกับความงุนงง คำตอบจากองค์กรอื่นเป็นไงน่ะเหรอ พวกเขาตอบกลับมาว่า ‘เราไม่คู่ควรหรอก’
เบ็นเนตต์งงยิ่งกว่าเดิม
[ได้แต้มอารมณ์จากเบ็นเนตต์ โธมัส +999!]
ไม่คู่ควรอะไรกัน ถ้าพวกแกไม่คู่ควรแล้วใครในโลกของผู้บำเพ็ญนี้จะคู่ควรอีกละ
แล้วทำไมทุกคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันด้วย ล้อกันเล่นรึไง!
หลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์มาอย่างไม่ขาดสาย หลังจากที่ได้มาระลอกใหญ่ระลอกแรกแล้ว เขาก็ได้แต้มอารมณ์จากตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แต่ก็ได้เร็วกว่าตอนที่เขาเริ่มสร้างภูเขาแห่งพลังมาก ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จอีกเยอะ เขาไม่ต้องกินผลดวงดาวอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกว่าแค่กินผลชี่ไห่ก็ได้ผลที่ดีมากแล้ว
ภูเขาแห่งพลังลูกที่สองของเขาเกือบจะก่อตัวขึ้นมาเสร็จแล้ว เขาไม่สนใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเขากำลังรอให้จิตวิญญาณกระบี่ที่สองถือกำเนิดขึ้นมาอยู่
หลังจากที่เขาได้สร้างภูเขาแห่งพลังขึ้นมาแล้วเขาก็ยังต้องขุดมันอีก แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม เขาจะเริ่มขุดจากตีนเขาในขณะที่มันกำลังก่อตัวขึ้นมานั่นแหละ เขาจะไม่รอช้าอีกต่อไปแล้ว
พอถึงเวลาอาหาร หลี่ว์ซู่ก็เร่งไปที่ห้องรับประทานอาหารเพื่อทำอาหารกิน เขาเห็นหลิวฝาน เซี่ยเหรินเซิง และหลินกานอวี่คุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
หลี่ว์ซู่อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “การเจรจาเป็นไงบ้าง”
หลิวฝานลังเลใจที่จะตอบ “…พวกเขายังไม่เริ่มกันเลย”
[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +399!]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
หลี่ว์ซู่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มต่อไป เขาเลยให้กำลังใจคนอื่นๆ “สู้ๆ นะ เดี๋ยวก็มีการเจรจาในตอนท้ายเองแหละ!”
[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +499!]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกันหมดแหละ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องการไปทำให้ความกะตือรือร้นของพวกเขาจางไป มันก็แค่เวิธีที่คนอื่นๆ เลือกใช้นั้นต่างออกไปเท่านั้นเอง หลี่ว์ซู่ก็อยากให้กำลังใจพวกเขานะ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้แต้มอารมณ์มาก็ไม่รู้…
แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นข้างนอก มีคนสู้อยู่!
การต่อสู้นั้นเริ่มอย่างไวและจบอย่างเร็วเหมือนกัน เซี่ยเหรินเซิงมองออกไปข้างนอกแล้วกลับเข้ามา เขาพูดว่า “องค์กรเหล็กจากเยอรมันและคนองค์กรซาร์ดินจากอิตาลีทะเลาะกันน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก”
แล้วทุกคนก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้องค์กรขนาดใหญ่กทั้งหลายควันออกหูกันแล้ว!