ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 702 ความไม่พอใจของเหล่าคนโสด
พวกจีนคนไม่เอาอ่าวเป็นพวกน่ากลัวที่สุด ตอนนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นแล้ว
หลายปีผ่านมาพวกคนต่างชาตินิยมสักตัวอักษรจีนกันมาก แต่พวกเขาก็ต้องไปลบรอยสักออกในระหว่างที่มาเที่ยวประเทศจีนเนื่องจากตัวอักษรพวกนั้นมีความหมายที่น่าอายมาก
หลี่ว์ซู่เข็นรถเข็นของคอรัลกลับไปในเมือง พวกเขาจะมุ่งไปทางเหนือเพราะคอรัลต้องการแบบนั้น
แต่ตอนนี้พวกเขาจะนั่งรถไฟรางเบาไปไม่ได้แล้วเพราะมีคนจับตาดูอยู่มาก โยวหมิงอวี่บอกหลี่ว์ซู่ไว้แล้วว่าพวกดังเคอร์ส่งคนมาประจำที่ทางเหนือของซาร์ดิเนียซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือหลายแห่ง คอรัลต้องไปที่นั่นก่อนจะกลับไปสวีเดนได้อย่างลับๆ
ในระหว่างนั้นพวกคาร์เทลและองค์กรใหญ่อื่นรวมถึงพวกดังเคอร์ด้วยก็สงบศึกทางเหนือแล้ว ทุกคนรู้ว่าคาร์เทลเป็นพวกที่เป็นกลาง และจะทำอะไรก็ได้ในถิ่นของพวกเขาตราบใดที่ไม่ไปยุ่งกับคอนเสิร์ตหรือไปกวนอารมณ์พวกเขาในแบบอื่นๆ
หลายๆ องค์กรเตือนสมาชิกของตัวเองว่าอย่าไปยุ่งกับพวกคาร์เทล เพราะพวกเขาอาจจะแพ้กลับมาได้
ตามข้อมูลทั่วไปแล้ว หัวหน้าของคาร์เทลที่ชื่อว่าอาร์ตูโรนั้นเป็นคนระดับ B แต่ข่าวเขียนว่าเขาเอาชนะแพทริคได้อย่างง่ายดาย และทำให้ความสามารถที่แท้จริงของเขายังเป็นเรื่องลึกลับอยู่ทุกวันนี้
คนบางคนบอกว่าคาร์เทลไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเรื่องการบำเพ็ญมากเท่าไหร่ แต่ความสามารถโดยรวมของพวกเขาก็น่าทึ่งอยู่ดี
และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่ารำคาญใจสำหรับองค์กรอื่นๆ อยู่เหมือนกัน
ครั้งนี้หลี่ว์ซู่และคอรัลจะไปเมืองทางเหนือที่ชื่อว่าโอลเบีย
หลี่ว์ซู่รู้สึกได้เลยว่ามีนาฬิกาจับเวลาอยู่ในหัว และมันกระตุ้นให้เขาใช้ชีวิตตัวเองให้เต็มที่ตอนที่ยังมีโอกาส เพราะฉะนั้นเขาก็เลยต้องเร่งพาคอรัลไปที่โบสถ์นั้นให้ได้
“ที่จริงแล้วเราอยู่กันที่นี่ก็ได้นะหลี่ว์ซู่” คอรัลกระซิบขณะนั่งลงบนรถเข็น “ทางเหนือมันอันตราย และฉันก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก เราไม่น่าจะจริงจังเรื่องที่จะไปโบสถ์กันเลย ฉันอยู่ในโอริสตาโน่ก็ดีอยู่แล้ว”
คอรัลรู้ว่าเธอไม่มีเวลาเหลือมากเท่าไหร่ และการเดินทางไปทางเหนือก็เป็นเพียงความต้องการของเธอเท่านั้น จะรั้งเอาหลี่ว์ซู่ไปด้วยก็เสียเวลาเปล่า
แต่หลี่ว์ซู่ส่ายหัวตอบ “เราจะไปที่นั่นถ้าเธออยากไป”
เมื่อผู้คนอายุมากขึ้น พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าเวลาไม่ได้เยียวยาทุกสิ่ง พวกเราจะรู้สึกสงบและชินไปกับแผลเป็นต่างๆ ที่ได้มาระหว่างทาง แต่มันจะติดตรึงไปกับเราจนถึงวันตาย
หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะให้คอรัลรู้สึกเสียดายกับอะไรทั้งนั้น และมันอาจจะติดตัวเธอไปจนถึงอนาคตข้างหน้าด้วย
คอรัลดูลังเล หลี่ว์ซู่เลยพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บชองเธอหรืออันตรายที่รอเราอยู่หรอก มีประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉันยังมีความหวังอยู่ในความลำบากได้ มันกล่าวไว้ว่าทุกๆ ตอนจบจะมีเรื่องดีรออยู่เสมอ ถ้ายังไม่มีก็แปลว่ามันยังไม่ใช่ตอนจบที่แท้จริงหรอก”
คอรัลได้ยินแล้วจึงยิ้มออก นี่เป็นผู้ชายที่เธอตกหลุมรักจริง ๆ
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มมาจากข้างหน้า หลี่ว์ซู่หยุดเดินแล้วบังคับให้กระบี่เฉวียอินโฉบออกมาจากแผนที่ดวงดาวเพื่อไปบินปกป้องรอบๆ ตัวคอรัล
แต่เขาก็ต้องชะงักไปในอีกวินาทีต่อมา เพราะคนพวกนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ในนั้นมีคนขายไอศกรีม คนชายหมูหัน และอีกคนหนึ่งด้วย
“เอ่อ เราแค่เดินผ่านมาทางนี้เฉยๆ จะไปไหนกันเหรอ เราไปส่งพวกเธอได้นะ” คนขายไอศกรีมตุรกีที่เล่นให้โคนไอศกรีมเปล่าๆ กับหลี่ว์ซู่พูดขึ้นมา เหมือนกับว่าการที่พวกเขามาเจอกันที่นี่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น
ตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้แล้วว่าพวกคนซาร์ดิเนียได้ออกไปหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่พอเห็นว่าพวกเขายืนหยัดต่อหน้าพวกองค์กรใหญ่ๆ และออกมาช่วยพวกเขาสองคนขนาดนี้หลี่ว์ซู่ก็ซึ้งใจที่ยังมีความยุติธรรมอยู่บนโลก
แม้แต่การที่พวกเขาออกมาเดินเล่นข้างนอกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่ามันดูน่ารักดี เมื่อก่อนเขามีความคิดว่าคนธรรมดาที่อยู่ต่างประเทศจะต้องอยู่กันอย่างลำบากแน่ๆ แต่พอมาเห็นของจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
หรือนั่นอาจจะเป็นในกรณีที่คนธรรมดาถูกองค์กรอย่างดังเคอร์หรือแก่นความเชื่อควบคุมอยู่ก็ได้ ไม่เหมือนกับคนธรรมดาที่มีองค์กรที่มีความยุติธรรมอย่างคาร์เทลดูแลอยู่
หลี่ว์ซู่เชื่อจับใจเลยว่าการที่คนธรรมดามีส่วนร่วมมากขนาดนี้เพราะคาร์เทลเป็นคนสนับสนุนพวกคนธรรมดาให้ออกมาทำอะไรแบบนี้
ที่จริงแล้วพวกคาร์เทลไม่ได้ถูกจำกัดให้เป็นผู้มีพลังเข้าร่วมได้เท่านั้นเหมือนกับที่องค์กรใหญ่อื่นๆ ทำ แต่พวกเขามีคนธรรมดาที่เป็นคนบนเกาะนี้ร่วมอยู่ในกลุ่มเหมือนกัน เป็นองค์กรที่ทั้งคนธรรมดาและผู้มีพลังอยู่ด้วยกันได้อย่างสามัคคี
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราจะไปที่ที่ไกลมากๆ ที่ชื่อว่าโอลเบีย” หลี่ว์ซู่บอกความจริงกับพวกเขาไปแบบยิ้ม ๆ
“บังเอิญอะไรอย่างนี้ล่ะ! เราจะไปโอลเบียเหมือนกัน…เราจะไปที่นั่นกันทำไมอีกรอบนะ” คนขายไอศกรีมถามผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขา
“ไปคอนเสิร์ต!” ผู้หญิงคนนั้นตอบ “เราจะไปดูคอนเสิร์ต มาเถอะ! ไปกับเราดีกว่า!”
คอรัลเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่ว์ซู่ และเธอยิ้มออกมาสดใสอย่างกับพระอาทิตย์
“ได้สิคะ ขอบคุณนะคะทุกคนที่จะส่งเราไปที่นั่น”
…
เรือสำราญที่ชื่อว่าไวกิ้งกำลังจะเทียบท่าช่องแคบยิบรอลตาร์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนของสเปนและโมรอคโค เรือนี้จะวิ่งไปเรื่อยๆ ทางเหนือเพื่อต้านลมทะเล ปลายทางของเรือคือฮอลแลนด์
ในขณะนั้นเองหน่วยข่าวกรองของเครือข่ายฟ้าดินทั้งหมดก็พุ่งความสนใจที่ที่ซาร์ดิเนียเป็นพิเศษ มีคนมากมายรอการปรากฏตัวอีกครั้งของหลี่ว์ซู่และคอรัลเพื่อที่จะรอช่วยเหลือพวกเขาต่อไป
บอกได้เลยว่าทุกๆ คนที่มีเครือข่ายอยู่ที่ยุโรปทั้งหมดเตรียมจะช่วยหลี่ว์ซู่เพียงแค่คนเดียวเลย และเจ้าหน้าที่ก็ต่างยอมที่จะเสียสละชีวิตตัวเองให้เขา แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่ยอมรับความช่วยเหลือของพวกเขา
สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วนี่มันก็เหมือนคำถามเดิมๆ ที่แสนจะเจ็บปวด มีทางรถไฟแยกออกไปสองทาง แล้วมีคนสิบคนยืนอยู่ในทางหนึ่ง ส่วนอีกทางมีแค่คนคนเดียว ถ้าเขามีแผงควบคุมอยู่ในมือแล้วเขาจะยอมให้รถไฟชนใครล่ะ
จะเลือกผลออกมาให้เป็นอย่างไร หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าตัวเองเป็นคนคนเดียวที่ยืนอยู่ในทางรถไฟนั้น และพวกเพื่อนๆ หน่วยข่าวกรองคนอื่นๆ ยืนอยู่อีกทางแยกหนึ่ง เขาจะต่อยทำลายรถไฟนรกให้แหลกคามือไปเลย!
และแน่ล่ะที่เรือไวกิ้งก็ได้รับการแจ้งเตือนนั้น
เฉินจู่อานที่อยู่บนเรือลำนั้นทั้งชื่นชมและอิจฉาเขามา “งั้นพี่หลี่ว์ซู่ก็เป็นหัวหน้ากลุ่มเองน่ะเหรอ และเขาก็ทิ้งเราหนีไปกับสาวยุโรปคนนั้น”
นี่เป็นการเดาสถานการณ์แบบตัดตัวเลือกที่มีเหตุผลดี เพราะหลี่ว์ซู่คงไม่ไปอยู่ที่นั่นถ้าไม่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาจริงๆ อีกอย่างข้อมูลของหัวหน้าก็ถูกเก็บเป็นความลับจากคนในกลุ่ม และพวกเขาก็รู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาเป็นคนที่คุ้นเคยกันดี
ในระหว่างนั้นเฉินจู่อานก็เพิ่งจะผ่านเวลายากลำบากมาหลังจากเลิกรากับตู้เซวี่ยเหมย พวกเขาใช้เวลาหวานๆ ด้วยกันมากว่าหนึ่งสัปดาห์ และตอนนี้ทั้งเรือสำราญนี้ก็มีแต่ความไม่พอใจของเหล่าคนโสดที่หลี่ว์ซู่กลับไปมีแฟนสาวได้
เฉิงชิวเฉี่ยวบอกกับตู้เซวี่ยเหมยว่าเธอฉลาดแล้วที่รู้ธาตุแท้ของเฉินจู่อานได้ภายในสัปดาห์เดียวและตัดสินใจเลิกกับเขาไป…