ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 914 ต้องทำการบ้าน
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดดูแล้วว่าเวลาครึ่งปีเพียงพอสำหรับเขาที่จะไปถึงจุดสุดยอดของระดับสองอาจจะถึงระดับหนึ่งก็เป็นไปได้
ในตอนนี้ วิถีกระบี่ของหลี่ว์ซู่ก้าวไปไกลมาก ส่วนเรื่องการบำเพ็ญเขาเองก็มีความมั่นใจ
ส่วนจางเว่ยอวี่และพรรคพวกต่างมองกันและกันเงียบๆ พวกเขาสังเกตว่าชายหนุ่มคนนี้มีพลังเพียงระดับสี่แต่มีความมั่นใจและความสุขุมไม่เหมือนกับผู้มีพลังระดับสี่เลย
เขาได้ระดับสี่จริงๆ เหรอ ทำไมไม่เหมือนเลยและความจริงมันก็บอกตรงหน้าแบบนั้น
ตอนแรกจางเว่ยอวี่และพรรคพวกคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ช่วยหลี่ว์ซู่จัดการบัญชีและสิ่งอื่นๆ ไม่ได้ช่วยเรื่องอื่นอะไรมากนักแต่คราวนี้พวกเขาก็เข้าใจผิด
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถเข้าไปสำรวจทัพเฮยอวี่ภายใต้สถานการณ์การต่อสู้และยังกลับมาอย่างปลอดภัย
แต่พวกเขารู้สึกใจชื้น เดิมทียังกังวลว่าอยู่ในภูเขาจะไม่ได้ข่าวคราวภายนอก ตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วเพราะมีแหล่งข่าว
เมื่อพวกเขารู้ว่าเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปี พวกเขาก็เริ่มเพิ่มความเข้มข้นกับทัพอู่เว่ยมากขึ้น กิจวัตรประจำวันของทหารอู่เว่ยกลายเป็นเรียนหนังสือหนึ่งชั่วโมงในตอนเช้า ทำการบ้านหนึ่งชั่วโมง ทำนาสองชั่วโมงจากนั้นตอนบ่ายถึงเย็นเป็นการฝึกหนักปางตาย
หลี่ว์ซู่คอยขอให้จางเว่ยอวี่ให้คำปรึกษาด้านจิตใจให้พวกทหารหลังจากการฝึก ทหารหกสิบคนเป็นหนึ่งกลุ่ม คอยสลับผลัดเปลี่ยนกันระบายความทุกข์ใจ ความรู้สึกและเรื่องอื่นๆ …
ในตอนแรกทุกคนต่างเคอะเขิน พูดเรื่องพวกนี้ทำไม แต่แล้วก็เริ่มชินกันและบางครั้งก็รู้สึกชอบกิจกรรมนี้ด้วย
หลี่ว์ซู่กำลังเปลี่ยนแปลงพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว โดยหวังว่าคนกลุ่มนี้จะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีความรู้สึกเป็นกลุ่มเดียวกันกับชื่อทัพอู่เว่ย
การฝึกทหารนั้นไม่ใช่แค่พัฒนาพลังเท่านั้น การรบไม่จำเป็นว่าฝ่ายไหนมีพลังมากกว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอ จางเว่ยอวี่และพรรคพวกค้นพบว่าความคิดเพี้ยนๆ ของหลี่ว์ซู่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทัพอู่เว่ยก็ให้ความร่วมมือกันมาก สามัคคีมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา พลังของทุกคนก็ขึ้นไปสู่ระดับใหม่ รวมถึงระดับสามทั้งเก้าคนและหลิวเชียนจือด้วยที่เลื่อนขึ้นสู่พลังระดับสอง พลังของทั้งกองทัพต่ำสุดจึงอยู่สูงกว่าระดับสี่ ตอนนี้พลังของทัพอู่เว่ยไล่ตามพลังของระลอกทองแดงในตอนนั้น
ถึงจำนวนคนจะไม่ได้มากเท่าระลอกทองแดง
“ตอนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น ด้วยวิธีการฝึกของพวกเรา กองทัพอู่เว่ยจะพลิกโฉมภายในครึ่งปี” จางเว่ยอวี่พูดอย่างภาคภูมิใจ “ถือว่านายโชคดีมาก บอกเขาติดอยู่ที่จุดคอขวดมันนาน ไม่มีใครช่วยให้เขาพัฒนา แต่ตอนนี้พวกเขาเติบโต แข็งแกร่งขึ้นภายใต้กองทัพของนาย”
หลี่ว์ซู่ชอบอกชอบใจที่เห็นเหล่าทหารกำลังทำการบ้านจึงไม่ได้สนใจจางเว่ยอวี่ ที่จริงเขารู้ว่าตัวเองโชคดี ทหารพวกนี้ก็ไม่ใช่พวกที่อกตัญญู พวกเขารู้สึกขอบคุณจากใจที่ช่วยให้พวกเขาพัฒนาพลังสูงขึ้น
แน่นอนว่าทั้งนี้ก็ได้ประโยชน์จากการฝึกและวิชาของจางเว่ยอวี่และพรรคพวก
แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะของจักรวาลนี้ หลี่ว์ซู่ทอดถอนใจที่เอามาเปรียบกับโลกไม่ได้
“แต่อย่าเพิ่งดีใจเร็วไป อย่างหลิวเชียนจือที่อยู่ระดับสองอย่าคิดว่าจะขึ้นสู่ระดับหนึ่งภายในครึ่งปีและอีกเก้าคนที่เหลือจะมีคุณสมบัติไปถึงระดับหนึ่งได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือทั้งชาตินี้อาจจะติดอยู่ที่ระดับสองก็ได้” จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่และพูดต่อ “นับจากวันนี้พวกเขาต้องเพิ่มการฝึกให้เข้มข้นขึ้นเท่าตัว จะต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานทุกวัน อีกห้าเดือนภายหลัง ทหารที่อยู่ระดับสี่ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จะลดการเรียนหนังสือลงไหม ให้มุ่งการฝึกไปก่อน? “
“ไม่รีบๆ ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ “การเรียนหนังสือจะลดลงไม่ได้ การบ้านที่มอบให้ก็ต้องให้เขาทำเสร็จภายในเวลาให้ได้ทุกวัน นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ”
จางเว่ยอวี่คิดในใจว่าหลี่ว์ซู่ทุ่มเทกับการสร้างความสามัคคีมากจริงๆ ไม่เหมือนผู้บัญชาการที่วิสัยทัศน์สั้นที่สนแต่เพิ่มพลังอย่างเดียว ส่วนหลี่ว์ซู่กลับหวังไปไกลว่าอยากให้กองทัพนี้พัฒนาทั้งบุ๋นและบู๊ไปพร้อมกัน…
มองการณ์ไกลมากจริงๆ!
ในความเป็นจริงหลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดซับซ้อนแบบนั้น…
การฝึกและการใช้ชีวิตอย่างดำเนินไปตามปกติ เหล่าทหารเมื่อเลื่อนพลังขึ้นไปอีกขั้นแล้วก็มีวิถีการเดินชีพจรแบบใหม่ พวกเขาเพิ่งจะรอดจากธาตุไฟเข้าแทรกมาได้ก็ต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง
ที่ตีนเขาจึงได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนเจ็บปวดอีกครั้ง ตอนนี้หลี่เฮยทั่นที่มีพลังระดับสองแล้วจึงเสียงดังมากขึ้น
ทุกคนเริ่มเข้าใจเหตุผลที่จางเว่ยอวี่ให้พวกเขาทำเช่นนี้ เพราะชีพจรพวกเขาถูกทะลุทะลวงจนพัฒนาพลังไปเร็วมากเกินไป
คนธรรมดารับความทรมานขนาดนี้ไม่ได้แต่จางเว่ยอวี่มีสมุนไพรคอยช่วย
หลี่ว์ซู่คิดอยู่เรื่องหนึ่งถ้าเขาปลดโซ่ตรวนนั้นได้แล้วหยิบผลชำระกระดูกแจกให้ทหาร ไม่รู้ว่าพวกเขาจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนกัน?
แต่ผลชำระกระดูกไม่ใช่ว่าจะเอาก็เอาได้เลย ถ้าเทียบกับบนโลก จักรวาลนี้มีความเสี่ยงมากกว่าเสียอีก
เวลาผ่านไปช้าๆ เหล่าทหารก็เริ่มปรับตัวเข้ากับวิถีของวิชาใหม่และก็ไม่เกิดธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นจางเว่ยอวี่จึงให้เขาแบกหินก้อนใหญ่เดินทางระยะไกล ซึ่งหินก่อนนั้นมีน้ำหนักประมาณสองตัน
ถึงพวกเขาจะมีพลังแบกรับน้ำหนักขนาดนี้ได้ตั้งนานแล้วแต่เรื่องอยู่ที่ว่า…การเดินทางไกลใช้เวลายาวนาน
ถ้าพวกเขายกหินขึ้นมาจะไม่เสียแรงมากนัก แต่ถ้าต้องแบกแล้ววิ่งตลอดห้าชั่วโมงนั่นคือความทรมานอย่างมากเลย
การฝึกฝนเช่นนี้เจาะจงใช้กับผู้ที่มีพลังต่ำกว่าระดับสอง หลี่เฮยทั่น หลิวเชียนจือและคนอื่นๆ ที่อยู่ระดับสองขึ้นไปจึงไม่ต้องทำ ให้ทำตามการฝึกปกติไปก็พอ
ดังนั้นพอหมดการฝึกในหนึ่งวัน เหล่าทหารจึงเน้นเหนื่อยอ่อนล้าแทบหมดแรง…
เมื่อก่อน คนต่างแย่งกันไปทำนาไม่มีใครอยากจะเป็นหน่วยเฝ้ายาม เพราะถ้าเทียบกันแล้วการทำนายสบายกว่าเยอะแต่ตอนนี้ทุกคนต่างแย่งกันออกไปเฝ้ายามเพราะมันได้พักผ่อนทั้งวัน การไม่ต้องฝึกหนึ่งวันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆ เลย
ในตอนนี้เองมีทหารวิ่งกลับเข้ามาในภูเขา ทหารนายนั้นร่างกายของแคล่วว่องไว เขาเห็นหลี่ว์ซู่ก็พูดอย่างเหนื่อยหอบว่า “ทางใต้ห่างไปสามสิบลี้มีกองทัพไม่ระบุนาม จำนวนประมาณพันกว่าคน และไม่ใช่ครับเฮยอวี่! “
หลี่ว์ซู่ตกใจ “ไม่ใช่ทับเฮยอวี่แล้วจะเป็นใครกัน”
“ทัพชิงไซ่! ” จางเว่ยอวี่พูดอย่างมั่นใจ “มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่จะปรากฏตัวที่นี่ ก่อนนี้หลิวอี้เจานำทหารทัพชิงไซ่ฝ่าวงล้อม จากนั้นพวกเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ ถ้าคิดดูแล้วน่าจะเข้ามาในเทือกเขา! “
หลี่ว์ซู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “จะให้พวกเขาผ่านภูเขานี้ไปไม่ได้ พวกเราไม่มีผลประโยชน์ให้กันแล้วเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ รวมพลเข้ามาที่ถ้ำนี้และขับไล่พวกเขาไป! “
หลี่ว์ซู่กำลังคิดว่าถ้าทัพชิงไซ่จะอยู่ที่นี่จะทำอย่างไร หรือว่าเขาต้องเลี้ยงคนเพิ่มอีกนับพันคน มันคือการหาอาหารเลี้ยงคนพันหนึ่งเชียวนะ!
ยิ่งกว่านั้นทัพอู่เว่ยถึงเวลาที่ต้องฝึกรบจริงแล้ว ถึงจะไม่ได้ฆ่าคนแต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์
หลิวอี้เจาที่อยู่ห่างออกไปสามสิบลี้เดินเข้าสู่ภูเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ…