เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย - ตอนที่ 505-506
ตอนที่ 505 ในเมื่อให้ลั่วมาเกิด เหตุใดถึงให้ฉือมาเกิดด้วย
หลิงลั่วมองฟังจั่วฉืออย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าบอกข้าเองมิใช่หรือ ว่าข้าเคยไปมาหาสู่กับคนคนนั้น และยังเป็นคนที่ข้าไม่มีทางคาดเดาออกเด็ดขาด”
ฟังจั่วฉือ “…” นี่ก็บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าคาดเดาไม่ออกหรอก… เพราะอย่างนั้น จริงๆ แล้วเจ้าทำได้อย่างไรเล่า?
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหวงชือชุนถูกเหยียนปินฆ่า?” หลิงลั่วมองฟังจั่วฉือ ในดวงตาฉายแววสงสัย
“หึๆ ในที่สุดก็มีสิ่งที่เจ้าไม่รู้แล้ว!”
ฟังจั่วฉือยังโอ้อวดไม่ทันเสร็จ ก็ได้ยินหลิงลั่วกล่าวอีกครั้งว่า “คงไม่ใช่ว่ามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเหยียนปินตกอยู่ในที่เกิดเหตุหรอกนะ?”
“…” ตอนนี้ฟังจั่วฉืออยากจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและส่งเสียงถอนใจยาวจริงๆ ในเมื่อให้ลั่วมาเกิด เหตุใดถึงให้ฉือมาเกิดด้วยเล่า!
จวินชิงเหยียนกับเจ้าเด็กน้อยมองสบตากัน ก้มหน้าอย่างรู้กันดี และคัดต่อไปอย่างสงบเรียบร้อย
ให้แล้วๆ ไปเถิด รอจนกระทั่งฟังจั่วฉือโน้มน้าวหลิงลั่วได้ คาดว่าพวกเขาก็คงคัดเสร็จหมดแล้ว
ฟังจั่วฉือหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากปากแขนเสื้อด้วยอารมณ์สลดอยู่บ้าง ยื่นให้หลิงลั่ว และยังกล่าวว่า “หลิงลั่ว เจ้าพูดมาว่าเจ้าเพิ่งจะตามรอยข้าไปใช่หรือไม่! เหตุใดไม่ว่าอะไรเจ้าก็รู้ไปหมด!”
“ตามรอยเจ้า? จำเป็นด้วยหรือ?”
หลิงลั่วรับป้ายอาญาสิทธิ์ที่ฟังจั่วฉือยื่นมาให้ ข้างหน้าเขียนตัวอักษรชิวหลานสองคำ ข้างหลังสลักว่าเหยียนปิน
แค่เห็นก็ทราบ ว่านี่เป็นของประจำตัว
“เจ้าไม่ตามข้าไปดูที่คุกสวรรค์หน่อยหรือ?”
“มีอะไรต้องดู?” หลิงลั่วโยนหยกแขวนไปข้างๆ “รู้หมดแล้วว่าใครเป็นคนทำ ยังมีอะไรต้องดูอีกรึ?”
ฟังจั่วฉือ “…” เจ้าไม่ไปกับข้า หากว่าชิงเหยียนนำตำราอบรมบุรุษ กับตำราเตือนบุรุษอะไรเหล่านี้ ส่งไปให้ที่จือเฉาล่ะก็…
ฟังจั่วฉืออดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้าน เขายังอยู่ในวัยแรกแย้มดุจพฤกษา จะจากไปด้วยวัยเยาว์ขนาดนี้ไม่ได้นะ!
เหมือนกับว่ามองความคิดของฟังจั่วฉือออก หลิงลั่วเก็บป้ายอาญาสิทธิ์ที่เพิ่งจะโยนทิ้งไปขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เดินไปข้างหน้าจวินชิงเหยียน “สิบสี่ คืนนี้เหยียนปินน่าจะปฏิบัติการ พกป้ายอาญาสิทธิ์ไป ตอนนี้ข้าไม่เหมาะที่จะลงมือกับเขา มอบให้เจ้าจัดการแล้วกัน”
สุดท้าย หลิงลั่วยังกล่าวเสริมเพิ่มอีกคำ “ที่เหลือไม่ต้องคัดแล้ว”
จวินชิงเหยียนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รับป้ายอาญาสิทธิ์ในมือของหลิงลั่วมา และพยักหน้า “วางใจเถิดลั่วลั่ว ข้าไม่มีทางปล่อยเหยียนปินไปเด็ดขาด”
“ไม่” หลิงลั่วส่ายหน้า “ปล่อยเขาไป และก็ต้องฉีกผ้าปิดหน้าของเขาออกด้วย สุดท้ายให้เขารู้สึกว่าเขาหลบหนีไปได้โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง”
“ทำไมกัน?” เจ้าเด็กน้อยเอ่ยปากพูดในเวลาที่เหมาะสม วางพู่กันในมือลง วิ่งมาที่ข้างกายหลิงลั่วและเอ่ยถาม
“ให้เขากลับไปรายงานให้เซียวชวีฟู่ทราบว่าเขาโดนเปิดโปงแล้ว และที่พวกเราส่งเขากลับไป เซียวชวีฟู่ต้องทราบเจตนาของข้าแน่”
“โอ้! ข้ารู้แล้ว!” ฟังจั่วฉือตบต้นขา “หลิงลั่วเจ้าอยากจะแสดงศักดาให้ฟู่อ๋องเห็นสินะ! นี่มันมาถึงไหนแล้ว พวกเจ้ายังจะวิวาทบาดหมางเช่นนี้อยู่อีก?”
“ข้าไม่ได้วิวาทบาดหมาง” หลิงลั่วมองฟังจั่วฉือ สีหน้าท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง “ต่อให้จับเหยียนปินเอาไว้ ก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดระบุตัวเซียวชวีฟู่ อีกทั้งต่อให้ขาดเหยียนปินไปสักคน สำนักชิวหลานก็ยังส่งคนอื่นมาได้ เทียบกับคนอื่นแล้ว พวกเรารู้จักเหยียนปินดีกว่า ดังนั้นปล่อยเขาไปก่อน”
“อืม…”
คืนนั้น เหยียนปินมาเยือนที่หลิงลั่วจริงๆ เวลานี้หลิงลั่วกับเจ้าเด็กน้อยกำลังหลับอยู่พอดี จวินชิงเหยียนสวมชุดขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่ตำหนักชั้นนอก บนโต๊ะข้างกาย มีเพียงแค่เทียนซึ่งมอดไหม้อยู่เล่มหนึ่ง
ยามเมื่อเหยียนปินมา เป็นเพราะว่าลม แสงเพลิงจึงเคลื่อนกวัดแกว่งเบาๆ ดวงตาจวินชิงเหยียนเคลื่อนไหวเล็กน้อย มุมปากเม้มขึ้นอย่างแผ่วเบา
ตอนที่ 506 พลังอำนาจเบื้องหลังของสำนักชิวหลาน คือใคร
ยามเมื่อเหยียนปินมา เป็นเพราะว่าลม แสงเพลิงจึงเคลื่อนกวัดแกว่งเบาๆ ดวงตาจวินชิงเหยียนเคลื่อนไหวเล็กน้อย มุมปากเม้มขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ผู้พิทักษ์กฎแห่งสำนักชิวหลาน มาที่วังหลวงแคว้นจื้อโหยวในยามดึกสงัด เพื่อการอันใดหรือ”
เหยียนปินเพิ่งจะกระโดดเข้ามาในตำหนักชั้นใน เมื่อได้ยินเสียงอันเฉยชาของจวินชิงเหยียน พลันชะงัก เมื่อหันหน้ากลับมา ก็เห็นจวินชิงเหยียนที่กำลังเล่นเพลิงเทียนอยู่
“ดึกดื่นขนาดนี้แล้วท่านเหยียนอ๋องยังไม่พักผ่อน ไม่ใช่ว่ากำลังรอคนแซ่เหยียนอย่างข้าอยู่ที่นี่หรอกหรือ?”
“เหอะ…” นัยน์ตาของจวินชิงเหยียนละออกจากเชิงเทียน เคลื่อนไปบนใบหน้าของเหยียนปิน เม้มมุมปากและหยันเสียงทางจมูกเบาๆ “บังเอิญนัก เจ้าช่างกล่าวได้แม่นยำจริงๆ”
กล่าวเสร็จ จวินชิงเหยียนก็นำป้ายอาญาสิทธิ์อันดำขลับที่อยู่หลังเชิงเทียนมาถือไว้ในมือ ดูท่าทางเหมือนกับพินิจดูอย่างไม่ได้สนใจไยดี “เจ้ามา เพื่อสิ่งนี้”
น้ำเสียงจวินชิงเหยียนเป็นการยืนยัน เมื่อสายตาของเหยียนปินได้สัมผัสเข้าที่ป้ายอาญาสิทธิ์ซึ่งอยู่ในมือของจวินชิงเหยียน ก็พลันตระหนกจนม่านตาหดตัว เพียงชั่วพริบตา ก็กลับมาเป็นปกติ
“ในเมื่อของของข้าอยู่ในมือของท่านเหยียนอ๋อง ท่านเหยียนอ๋องก็โปรดมอบคืนให้ข้าเสีย”
“คืนให้เจ้าได้ แต่ว่า…” จวินชิงเหยียนกุมป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ในมือ “หลังเจ้ากลับไปที่จวนฟู่อ๋องแล้ว บอกเซียวชวีฟู่ว่า ฉากแรกพวกข้าชนะแล้ว พวกข้าก็พร้อมจะรอหมากต่อไปของเขาอยู่ทุกเมื่อ”
“ข้าไม่ทราบว่าท่านเหยียนอ๋องหมายความว่าอะไร”
ในความมืด สายตาเหยียนปินที่ปรากฎความแปลกใจแวบหายไป และไม่อาจหลบสายตาของจวินชิงเหยียนพ้น แต่ว่าเขาไม่ได้แสดงออกใดๆ เลย หยันเสียงเย็นชาว่า “ไม่ทราบหรือ? ทราบหรือไม่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเลย เจ้าเพียงแต่ต้องนำคำพูดไปบอก ไม่จำเป็นต้องกล่าวอย่างอื่นมากความ”
กล่าวจบ ก็โยนป้ายอาญาสิทธิ์ไปทางเหยียนปิน
เหยียนปินเอื้อมมือออกมารับป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากกล่าว หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ แล้วออกไปทางหน้าต่าง
สายตาจวินชิงเหยียนหม่นลง สำนักชิวหลาน อยู่ได้กับอะไรกันแน่นะ?
มันเหมือนปรากฏขึ้นมาอย่างลอยๆ แต่หากเบื้องหลังไม่มีพลังอำนาจอยู่บ้างสักหน่อย จะเป็นไปได้อย่างไรที่ในเวลาอันสั้นขนาดนี้ สามารถก้าวมาอยู่ขั้นนี้ได้?
เพียงแต่เบื้องหลังของสำนักชิวหลานไม่มีทางเป็นแคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวา และแคว้นจื้อโหยวสามแคว้นนี้แน่ แต่บนแผ่นดินใหญ่นี้ นอกจากสามแคว้นนี้แล้ว ยังจะมีตระกูลขุนนางหรือประเทศใดที่แอบซ่อนอยู่อีกหรือ?
ฟ้าสางวันต่อมา เหยียนปินนำเรื่องนี้บอกแก่เซียวชวีฟู่ บรรยากาศอึมครึมอยู่รอบกายเซียวชวีฟู่ และกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า
“เริ่มการปฏิบัติการนั้นได้แล้ว”
เหยียนปินขยับเล็กน้อย และพยักหน้า “ได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา อาจจะประมาณเจ็ดแปดเดือนในการเตรียมพร้อมและปฏิบัติ”
“เจ็ดแปดเดือนก็เจ็ดแปดเดือน ครั้งนี้ ข้าต้องกำจัดความเย่อหยิ่งจองหองของหลิงลั่วให้ได้!”
ในดวงตาเซียวชวีฟู่ ฉายแววอารมณ์อะไรที่ไม่อาจทราบได้ นิ้วมือคว้าขอบหน้าต่างไว้แน่น จนบนไม้ของขอบหน้าต่างนั้นปรากฏเป็นรอยแนวสี่เส้นจริงๆ!
เหยียนปินเพียงแต่มองเงาหลังของเซียวชวีฟู่ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยปาก และยังหันหลังกลับไป พร้อมจากไป
อีกทางด้านหนึ่งที่ในวังหลวง จวินชิงเหยียนไม่ได้นอนตลอดคืน คิดอยู่ตลอดว่าคนซึ่งอยู่เบื้องหลังของสำนักชิวหลานคือใครกันแน่ แต่ใคร่ครวญตลอดทั้งคืนแล้ว ก็ยังคิดคำตอบที่เหมาะสมไม่ได้เลย
ดูเหมือนว่าเมื่อเขามีเวลา คงต้องพลิกค้นหาบันทึกประวัติศาสตร์ของทุกแคว้นและคัมภีร์โบราณของสามแคว้นเสียแล้ว
หลิงลั่วกับจวินนั่วเหยียนเดินออกมาจากตำหนักชั้นใน เห็นใต้ตาของจวินชิงเหยียนดำคล้ำนิดหน่อย คิ้วของหลิงลั่วก็ขมวดเล็กน้อย
ให้จวินนั่วเหยียนไปทานมื้อเช้าก่อน แล้วนางก็เดินไปที่ข้างๆ จวินชิงเหยียน และสอบถามสาเหตุ
จวินชิงเหยียนบอกเรื่องที่ตนเองคิดอยู่ตลอดคืนให้หลิงลั่วทราบ หลังจากที่หลิงลั่วได้ยินแล้ว คิ้วก็ขมวดแน่น
“เรื่องนี้ไม่สามารถเดาสุ่มได้ ต้องมีหลักฐานแท้จริงที่ประจักษ์ชัด อย่างไรแล้วก็ไม่อาจกำหนดขอบเขตความจำกัดอยู่เพียงแต่ในแคว้นจวิน แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวแค่สามแคว้นได้”