เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย - ตอนพิเศษ 1 สิบหกปีต่อมา / ตอนพิเศษ 2 ข้าอยากให้เจ้าแบกข้า
- Home
- เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย
- ตอนพิเศษ 1 สิบหกปีต่อมา / ตอนพิเศษ 2 ข้าอยากให้เจ้าแบกข้า
ตอนพิเศษ 1 สิบหกปีต่อมา
เด็กสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนวิ่งไปตรงเบื้องหน้าสตรีผู้สวมชุดขาว เบ้ริมฝีปาก และเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อรังแกรุ่ยเอ๋อร์อีกแล้ว ไม่ยอมให้รุ่ยเอ๋อร์ออกไปนอกจวน”
เด็กสาวคนนี้ก็คือจวินรุ่ยซี และสตรีชุดขาวที่นางกอดอยู่ก็คือหลิงลั่ว
สิบหกปีผ่านไป คล้ายว่าสวรรค์จะโปรดปรานดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาใดๆ เหลือเหลือไว้บนใบหน้าของนางเลยสักนิด มีบางคราวที่ทำให้จวินรุ่ยซีก็ยังอิจฉานาง
“เป่าเป้ย เจ้าอยากจะออกไปทำไมอีก?”
หลิงลั่วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถ้าหากจะกล่าวว่านางเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมอยู่ในบ้านนานๆ เช่นนั้น จวินรุ่ยซีก็เป็นคนประเภทที่ออกไปข้างนอกแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน!
มิน่าเล่าที่ไม่ว่าจะอย่างไรแล้ว จวินชิงเหยียนก็ไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอกเลย
“ท่านแม่ วันนี้ที่วังหลวงมีงานพิธีบวงสรวงใหญ่โต เพื่อเป็นการรำลึกถึงการสวรรคตไปยี่สิบปีของฮ่องเต้องค์ก่อน พิธีบวงสรวงใหญ่โตขนาดนี้รุ่ยเอ๋อร์จะอยู่ในวังได้อย่างไร? ท่านแม่ ท่านก็ให้รุ่ยเอ๋อร์ไปกับพวกท่านด้วยเถิดนะ!”
วันนี้เป็นวันบวงสรวงการสวรรคตยี่สิบปีของจวินเทียนจิ้นฮ่องเต้องค์ก่อน ทั้งครอบครัวของหลิงลั่ว รวมทั้งฉู่อิ้งหานองค์หญิงแคว้นซีหวาที่เพิ่งจะสมรสเข้าจวนเหยียนอ๋องได้หนึ่งปีก็เข้าร่วมด้วย แล้วจะให้จวินรุ่ยซีอยู่ในจวนอ๋องเพียงคนเดียว ก็ไม่ค่อยจะสมเหตุผลอยู่บ้าง
สุดท้ายหลิงลั่วก็ถอนใจเบาๆ “ก็ได้ แต่ว่าเป่าเป้ย ห้ามเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าไม่ยอมกลับจวนแบบครั้งก่อนอีกเด็ดขาด”
“ได้เลยๆ ท่านแม่กล่าวอะไรรุ่ยเอ๋อร์เชื่อฟังหมดเลย!”
จวินรุ่ยซียิ้มหวานๆ วิ่งออกไปนอกจวนอ๋อง และขึ้นไปบนรถม้าคันที่อยู่ข้างหลัง
หลิงลั่วส่ายหน้าอย่างจนใจ ก้าวเท้าเดินออกจากจวนอ๋อง และขึ้นไปบนรถม้าคันข้างหน้า
จวินชิงเหยียนนั่งหลับตาสงบจิตอยู่ในรถ
หลังจากรู้สึกว่าหลิงลั่วขึ้นรถแล้ว ก็ลืมตาขึ้น “หากครั้งนี้รุ่ยเอ๋อร์ยังวุ่นวายเอาแต่ใจ ข้าจะทำให้นางสลบและพากลับจวนทันที”
“เป่าเป้ยนางยังเด็ก สิบสี่ กับเด็กผู้หญิงควรจะผ่อนผันสักหน่อย อย่าได้เข้มงวดเหมือนที่ทำกับนั่วเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เลย”
หลิงลั่วหัวเราะเบาๆ แต่จวินชิงเหยียนกลับทำเป็นหูทวนลม “เพราะว่ารุ่ยเอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง ถึงไม่อาจปล่อยให้นางเอาแต่ใจขนาดนี้ได้ วิทยายุทธ์นางต่อสู้ไม่เป็น รักษาด้วยพิษไม่เป็น วิชาตัวเบาก็ได้แค่หางอึ่ง จะวางใจปล่อยนางเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”
หลิงลั่วเม้มปากไม่พูดจา จวินชิงเหยียนก็เป็นห่วงจวินรุ่ยซี แม้เขามักจะกล่าวกับบรรดาลูกๆ ว่า ‘พวกเจ้าเป็นเพียงแค่เหตุสุดวิสัย’ ก็ตาม…
รถม้าเดินทางมาตลอดจนถึงแท่นบวงสรวง จวินโม่เซิง ซย่าอี้อวิ๋นและคนอื่นๆ ก็มาถึงแล้ว และยังมีพระอริยะที่เชิญมาจากวัดหลวงวัดชิงย่วนด้วย
จวินรุ่ยซีโผล่ศีรษะออกมาจากรถม้า มองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหมือนเด็กที่สอบถามสิ่งที่อยู่รอบๆ บริเวณด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รุ่ยเอ๋อร์ อย่าวิ่งเพ่นพ่าน งานพิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”
จวินนั่วเหยียนร้องบอก มองเงาหลังจวินรุ่ยซีที่กำลังจะวิ่งไปไกล
“รู้แล้วน่า!”
เสียงของจวินรุ่ยซีแว่วมาจากที่ไกลๆ ระหว่างที่ไม่รู้ตัวนั้น ก็เดินไปที่ป่าหลังแท่นบวงสรวงเสียแล้ว
คล้ายปรากฏเสียงใครบางคนสวดมนต์ดังอยู่ใกล้หู เพียงแต่เสียงนั้นฟังแล้วอ่อนวัย ไม่เหมือนเสียงของพระชรา
จวินรุ่ยซีเดินเข้าไปในศาลาหินอย่างใคร่รู้อยู่บ้าง เห็นเณรน้อยคนหนึ่งในชุดจีวรขาวนั่งสมาธิอยู่กลางศาลา พนมมือสองข้างอยู่
จวินรุ่ยซีกะพริบตาปริบๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางได้เห็นเณรน้อยที่อายุน้อยขนาดนี้!
จวินรุ่ยซีเดินไปใกล้ นั่งยองลงข้างๆ เณรน้อย เอ่ยถามอย่างอยากรู้ว่า “เณรน้อย ข้านามว่าจวินรุ่ยซี เจ้านามว่าอะไรหรือ”
จวินรุ่ยซีแย้มยิ้ม ในดวงตาสองข้างที่สะอาดบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความเฝ้ารอ
เณรน้อยลืมตาขึ้น มองสตรีผู้งามเลิศที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง บนใบหน้าปราศจากอารมณ์อันใด
ตอนพิเศษ 2 ข้าอยากให้เจ้าแบกข้า
“เสี่ยวเซิง[1]มีนามนักบุญว่าเจียสือ ขอเข้าเฝ้าท่านหญิงขอรับ”
จวินรุ่ยซีกะพริบดวงตาสองข้าง เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้าเป็นท่านหญิง?”
“ท่านหญิงเลื่องชื่อลือนาม ชื่อเสียงโด่งดังกึกก้อง”
น้ำเสียงเรียบเฉยของเจียสือ เอ่ยตอบกลับมาเพียงเล็กน้อย
จวินรุ่ยซีบุ้ยปากขึ้นมาอย่างไม่พอใจ มองเณรน้อยผู้มีทิฐิตรงหน้าผู้นี้ “ในเมื่อเจ้าทราบว่าข้าชื่อเสียงลือนาม แล้วเจ้ายังกล้าใช้ท่าทางเช่นนี้ปฏิบัติกับข้า?”
“เสี่ยวเซิงเป็นแค่ภิกษุธรรมดารูปหนึ่งของวัดชิงย่วนเท่านั้น ย่อมควรจะปฏิบัติต่อท่านหญิงอย่างสุภาพ”
“คนในวัดพวกเจ้าน่าเบื่อแบบนี้กันหมดเลยหรือ”
จวินรุ่ยซีขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจ มองเณรน้อยที่อยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกสนิทสนมอย่างมากขึ้นมา ทำให้นางอยากจะเข้าใกล้
แต่! จวินรุ่ยซีกัดปากอย่างไม่พอใจ เณรน้อยผู้นี้จะมีทิฐิมากเกินไปแล้วกระมัง? นางเป็นฝ่ายมาเล่นกับเขาเช่นนี้แล้ว เขายังจะเมินเฉยอย่างนี้อีก!
แต่ว่า…
“เณรน้อย เจ้าก็หน้าตาดีจริงๆ!”
จู่ๆ จวินรุ่ยซีก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มตาหยีมองเจียสือ
ทว่าเจียสือกลับไม่ได้ดีใจหลังจากที่ถูกชม เขาพนมมือสองข้างไว้ที่หน้าอก พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความเคลื่อนไหวช้าๆ เบาๆ
“ท่านหญิงสรรเสริญเยินยอกันเสียแล้ว”
ฉับพลันจวินรุ่ยซีรู้สึกว่าเณรน้อยตรงหน้าคนนี้ช่างเป็นผู้ที่ชอบตัดบทสนทนาเสียจริง!
ดวงตาชุ่มฉ่ำหันเคลื่อนเล็กน้อย จู่ๆ ก็กุมมือปิดท้องน้อย และนั่งลงบนพื้นช้าๆ
“โอ๊ย! ข้าปวดท้องจังเลย”
ใบหน้าดวงน้อยย่นเข้าหากันเพราะความเจ็บปวด แต่นางกลับลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในขณะที่เจียสือมองไม่เห็น
“ท่านหญิง ท่านเป็นอะไร?”
เจียสือเห็นจวินรุ่ยซีนั่งบนพื้นก็ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างๆ จวินรุ่ยซีแล้วก็นั่งยองๆ ลง
“ข้าก็ไม่รู้… คือปวดท้องจังเลย เช่นนี้ข้าก็ไม่สามารถเดินไปที่แท่นบวงสรวงได้แล้ว แย่ล่ะ… ท่านพ่อจะต้องด่าข้าอีกแล้ว…”
“เช่นนั้นท่านหญิงรอสักครู่ เสี่ยวเซิงจะไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้”
“อ๊ะ! เณรน้อย! เจ้าหยุดนะ!”
จวินรุ่ยซีรีบขวางเจียสือเอาไว้ เดิมทีนางก็เสแสร้งทำอยู่แล้ว หากว่าถูกท่านแม่กับพี่ใหญ่สองคนนั้นที่ฝีมือการแพทย์เป็นเลิศทราบเข้า แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า
“ท่านหญิง?”
ดวงตาชุ่มฉ่ำของจวินรุ่ยซีกลอกกลิ้งไปมา จู่ๆ ก็เกิดความคิดอยากเล่นพิเรนทร์ขึ้น แล้วก็ชายตาขึ้นมา “ข้าอยากให้เจ้าแบกข้า!”
“ท่านหญิง เช่นนี้ไม่ถูกต้องตามขนบประเพณี โปรดอภัยที่เสี่ยวเซิงไม่อาจเชื่อฟังคำสั่ง”
เจียสือนิ่วคิ้วเล็กน้อย นี่ก็เป็นครั้งแรกที่จวินรุ่ยซีได้เห็นการแสดงออกทางอารมณ์บนใบหน้าของเจียสือ
แต่ว่าจวินรุ่ยซีกลับมีอาการชั่วแล่นอยากจะลูบคิ้วที่ขมวดนั้นให้คลายออก
“มีอะไรไม่ถูกต้องตามขนบประเพณีกัน? ข้าเป็นท่านหญิง! ข้าให้เจ้าแบกข้า เจ้ายังจะกล้าโต้แย้งรึ? อีกอย่าง สภาพข้าในตอนนี้ นักบวชอย่างเจ้าจะใจร้ายให้ผู้หญิงอ่อนแออย่างข้ารออยู่ที่นี่เชียวหรือ”
จวินรุ่ยซีมองเจียสืออย่างไม่พอใจ ไม่ว่าจะอย่างไร จะปล่อยให้เณรน้อยผู้นี้ออกไปแจ้งข่าวไมได้เด็ดขาด!
เจียสือขมวดคิ้วคล้อยดวงตาลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และหันหลังนั่งลงยองๆ ที่ข้างหน้าจวินรุ่ยซี
“เช่นนี้ เสี่ยวเซิงจะพาท่านหญิงไปพักผ่อนที่ห้องด้านหลัง”
เจียสือหันหลังให้จวินรุ่ยซี ทำให้ย่อมไม่เห็นรอยยิ้มที่แผนการสำเร็จผลปรากฏออกมาบนใบหน้าของจวินรุ่ยซี
เจียสือก็เลยแบกจวินรุ่ยซีเดินเข้าไปในป่าเช่นนี้ จวินรุ่ยซีกอดคอของเจียสือไว้แนบแน่น รู้สึกหวานชื่นในใจ และพอใจเป็นอย่างมาก
จวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองเช่นนี้คืออะไร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้กับเณรน้อยที่เพิ่งจะพบหน้ากัน เพียงต่ว่าจวินรุ่ยซีกลับคิดว่า หากในชั่วขณะนี้สามารถกลายเป็นชั่วนิรันดร์ได้ อย่างนั้นก็น่าจะดี
[1] เสี่ยวเซิง คือ คำสรรพนามของพระที่ใช้เรียกแทนตัวเองอย่างนอบน้อม